13 ก.พ. 2020 เวลา 01:26 • สุขภาพ
11 วิธีเพาะเมล็ดผักฟองน้ำให้งอกเเละโต 100%
การงอกของเมล็ดพืช
การเพาะเมล็ดผักมีหลายวิธีที่จะเพาะให้ผักโตพอที่จะอนุบาลต่อได้ เเต่สำหรับ 11 วิธีที่จะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการเพาะโดยฟองน้ำเนื่องจากมีโอกาสเจริญเติบโตเกือบ 100% มีโอกาสเสียหายน้อยมาก สำหรับวิธีการเพาะเมล็ดที่แนะนำด้านล่างนี้เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยง จากการที่ต้องเพาะเมล็ดซ่อมในกรณีที่เราเพาะลงในฟองน้ำหรือวัสดุปลูกโดยตรง แล้วเมล็ดงอกไม่สม่ำเสมอกันหรือเมล็ดไม่งอก ทำให้เราต้องเสียเวลาในการเพาะซ่อมเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่งอกทำให้ผักในแปลงปลูกอายุไม่เท่ากัน สำหรับผู้ที่ต้องการเพาะเมล็ดลงวัสดุปลูกโดยตรงสามารถทำได้ครับ แต่แนะนำให้เพาะเผื่อไว้กันพลาด อย่างเช่นการเพาะสลัดปกติกเราจะใส่ 1 เมล็ดต่องฟองน้ำ 1 ก้อน ก็ให้เราใส่ไปประมาณ 2 - 3 เมล็ด เมื่อต้นเกล้าอายุได้ประมาณ 7 วัน ก็ให้เลือกต้นที่สมบูรณ์ที่สุดไว้ 1 ต้น ที่เหลือก็ถอนออกครับ
ลำดับการงอกของเมล็ดพืช
อุปกรณ์ที่ใช้ในการเพาะเมล็ด
1. ถาดพลาสติกสูงประมาณ 1 นิ้ว (สำหรับอนุบาลต้นกล้า)
2. กล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดสนิท (สำหรับเพาะเมล็ด)
3. กระดาษชำระสีขาว (ไม่มีการเคลือบน้ำยา)
4. เมล็ดผักสลัดที่จะทำการเพาะ (ทั้งแบบเคลือบ หรือ แบบไม่เคลือบ)
5. ฟองน้ำสำหรับปลูกพืช
6. คีมคีบขนาดเล็ก (สำหรับใช้คีบเมล็ด)
1
วิธีการเพาะเมล็ดผักสลัด (แบบเคลือบ และไม่เคลือบ)
1. นำกระดาษชำระวางลงด้านในกล่องถนอมอาหาร โดยวางกระดาษชำระซ้อนกันประมาณ 2 - 3 ชั้น
2. เสปรย์น้ำลงบนกระดาษชำระ หรือใช้วิธีค่อยๆ เทน้ำลงไปบนกระดาษให้ทั่ว ให้กระดาษซับน้ำไว้ในตัว แล้วเทน้ำที่เหลือออกจากกล่องให้หมด อย่าให้มีน้ำขังอยู่ในกล่อง (ให้กระดาษซับน้ำไว้อย่าให้กระดาษแฉะมากเกินไป) น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในน้ำประปาจะทำให้เมล็ดเน่า และไม่งอกได้ แนะนำให้ใช้น้ำดื่มขวดใส อย่าใช้น้ำดื่มขวดขุ่นเพราะน้ำขวดขุ่นจะกรองด้วยเรซิน ซึ่งใช้เกลือในการล้างสารกรอง เกลือจะมีผลต่อการงอกของเมล็ดสลัด
3. นำเมล็ดวางลงบนกระดาษชำระที่เปียกน้ำนั้น สำหรับเมล็ดสลัดแบบไม่เคลือบหลังจากวางลงบนกระดาษแล้วไม่จำเป็นต้องเสปรย์น้ำซ้ำอีกรอบ เนื่องจากเมล็ดสลัดจะมีขนอ่อนๆที่จะดูดน้ำขึ้นมาจากกระดาษได้เอง (สำคัญที่กระดาษชำระอย่าให้แห้ง หรือแฉะเกินไป) ส่วนเมล็ดแบบเคลือบควรที่จะเสปรย์น้ำซ้ำอีกรอบเพื่อให้วัสดุหุ้มเมล็ดเปียก แต่อย่าให้กระดาษที่รองแฉะมากเกินไป จากนั้นให้ปิดฝากล่องเพาะเมล็ดให้สนิท ถ้าเป็นไปได้ช่วง 12 - 24 ชม.แรกในการเพาะเมล็ดนี้ให้นำกล่องเพาะนี้ไปวางไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิประมาณ 18 - 25 องศา C (ห้องปรับอากาศ) จะทำให้อัตราการงอกสูงขึ้นครับ
4. เมื่อผ่านไปประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง หลังจากเพาะเมล็ด ให้สังเกตุดูที่เมล็ด จะเริ่มมีรากสีขาวของต้นกล้างอกออกมาประมาณ 2 มิลลิเมตร ก็สามารถย้ายลงปลูกในก้อนฟองน้ำได้เลย อย่าปล่อยให้เกิน 2 วัน เพราะช่วงนี้รากของสลัดจะยาวเร็วมาก ถ้าย้ายช้ากว่านั้นรากจะติดกับกระดาษชำระทำให้ดึงออกได้ยาก แต่ถ้ารากยาวมากให้เราแก้ไขโดยใช้ฟ็อคกี้ค่อยเสปรย์น้ำลงไปให้กระดาษฉุ่มน้ำพอกระดาษอ่อนนิ่มแล้วจะทำให้เราใช้คีมเล็กๆค่อยๆ ดึงเมล็ดออกมาได้ง่ายโดยที่รากจะไม่ขาด
ลักษณะเมล็ดที่งอก 1-2 วัน
5. ให้นำฟองน้ำที่จะใช้ในการปลูกเรียงในถาดเพาะ แล้วเทน้ำสะอาดให้เต็มถาดอนุบาล (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในประปาจะทำให้รากเน่าได้) จากนั้นใช้มือกดก้อนฟองน้ำเพื่อไล่อากาศจากก้อนฟอง และให้น้ำดูดซับน้ำเข้าไปแทน แล้วเทน้ำลงไปในถาดเพิ่ม ใช้มือกดก้อนฟองน้ำอีกครั้งเพื่อให้ก้อนฟองน้ำอิ่มน้ำ แล้วเทน้ำในถาดอนุบาลให้สูงเกือบท่วมก้อนฟองน้ำ โดยห่างจากด้านบนฟองน้ำประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร
ฟองน้ำสำหรับเพาะเมล็ดพืช
6. นำเมล็ดที่เพาะได้ประมาณ 1 - 2 วัน ที่มีรากสีขาวงอกออกมา (เลือกเมล็ดที่งอกใกล้เคียงกัน) นำไม้จิ้มฟัน หรือคีมเล็กๆ ค่อยๆ คีบเมล็ดที่มีรากงอก นำรากไปสอดในช่องตรงกลางของฟองน้ำ (ต้องระมัดระวังอย่าให้รากหักหรือพับงอ) โดยสอดเมล็ดลงไปให้ส่วนท้ายของเมล็ดโผล่จากก้อนฟองน้ำเล็กน้อย ช่วงนี้แนะนำให้ถาดเพาะโดนแสงสว่างธรรมชาติช่วงเช้าหรือเย็น บ้างอย่างน้อย 2 - 4 ชั่วโมงต่อวัน แนะนำผักสลัดให้ใส่ 1 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อนและ ผักไทย,ผักจีนให้ใส่ 2 - 3 เมล็ดต่อฟองน้ำ 1 ก้อน
การเพาะเมล็ดในฟองน้ำ
7. เมื่อครบ 4 - 5 วัน หลังจากเพาะเมล็ด ต้นกล้าจะงอกใบเลี้ยงคู่ออกมาให้คอยรักษาระดับน้ำในถาดให้สูงประมาณ 1/2 ของฟองน้ำอย่าให้น้ำในถาดแห้ง ให้ใช้น้ำเปล่าเติมลงในถาด (น้ำที่ใช้เป็นน้ำดื่มสะอาด ห้ามใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนโดยเด็ดขาด เนื่องจากคลอรีนในประปาจะทำให้เกิดโรครากเน่า และโคนเน่าได้) ให้นำถาดอนุบาลต้นกล้า ไปวางรับแสงแดดในตอนเช้าหรือช่วงเย็น ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงต่อวัน (ความถี่แสงสีแดงช่วยเร่งอัตราการเจริญเติบโตของต้นกล้าได้ดี โดยเฉพาะแสงแดดในช่วงเช้าประมาณ 6.00 - 9.00 โมง และช่วงเย็น 16.00 - 18.00 เป็นช่วงที่มีแสงสีแดงมากที่สุด)
การให้เเดดกัยต้นพืชเพื่อเจริญเติบโต
8. เมื่อครบ 7 วัน หลังจากเพาะเมล็ด ต้นกล้าเริ่มมีใบจริง งอกออกมาให้เทน้ำเก่าในถาดอนุบาลออกให้หมด แล้วนำน้ำผสมธาตุอาหาร A, B แบบเจือจาง เติมลงไปในถาดแทนน้ำเดิม และลดระดับน้ำให้เหลือ 1/3 ของก้อนฟองน้ำ และเพิ่มระยะเวลาในการรับแสงแดดของต้นกล้า 5 - 6 ชั่วโมง/วัน การเพิ่มปริมาณแสงแดดให้ต้นเกล้าจะทำให้ต้นเกล้าแข็งแรงและเคยชินกับแสงแดดทำให้เวลาย้ายลงปลูกผักจะไม่มีอาการเฉี่ยวเฉาได้ง่ายเมื่อถูกแสงแดดแรงๆ
ส่วนผักสลัด ปุ๋ย A, B อย่างละ 1 - 2 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร และผักไทย ปุ๋ย A, B อย่างละ 2 - 3 ซีซี/น้ำ 1 ลิตร
การให้เเดดกัยต้นพืชเพื่อเจริญเติบโต
9. เมื่อครบ 14 วัน (2 สัปดาห์) ต้นกล้าก็พร้อมที่ย้ายลงแปลงปลูกได้แล้ว มีข้อปฎิบัติดังนี้
(ระยะเวลาการอนุบาลในแต่ละฤดูอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศเป็นปัจจัย บางฤดูอาจใช้เวลาอนุบาลเพียง 10 วันก็สามารถย้ายลงปลูกได้เลย โดยเราจะสังเกตุได้จากต้นเกล้าเป็นหลักถ้าต้นเกล้ามีใบจริงอย่างน้อย 2 ใบก็สามารถย้ายปลูกได้เลยครับ) สำหรับฟาร์มใหญ่ๆ มักจะมีแปลงอนุบาลในแต่ละช่วงอายุผัก ก็สามารถย้ายลงอนุบาลได้ตั้งแต่เกล้าอายุได้ประมาณ 5 - 7 วัน จะทำให้รอบการปลูกแต่ละรอบสั้นลง โดยก่อนย้ายเกล้าผักลงแปลงให้ปฎิบัติดังนี้
ต้นพืชที่เจริญเติบโตเเล้ว
- ให้สเปรย์น้ำให้ทั่วก้อนฟองน้ำก่อนย้ายลงแปลงปลูก และควรเลือกย้ายในช่วงเย็น เนื่องจากช่วงเย็นจนถึงค่ำ พืชจะปรับตัวได้ดีกว่าช่วงกลางวัน และลดความเสี่ยงที่ต้นเกล้าจะเฉาตายจากแดดได้
- ให้เลือกต้นกล้าที่สมบูรณ์และมีขนาดต้นใกล้เคียงกันลงแปลงปลูก
10. นำต้นกล้าใส่กระถางปลูก (สอดต้นกล้าจากด้านล่างกระถางเพื่อป้องกันการพับหักงอของรากพืชจากการใส่ฟองน้ำจากด้านบนกระถาง) โดยให้ก้นของฟองน้ำโผล่ออกมาจากก้นกระถาง
11. นำต้นกล้าที่สวมกระถางปลูกแล้วไปใส่ในช่องปลูกของรางปลูก โดยสังเกตุว่าก้นของฟองน้ำสัมผัสกับน้ำในรางปลูกหรือไม่ หากยังไม่สัมผัสก็ให้ขยับฟองน้ำลงมาเพื่อให้ก้นของฟองน้ำแตะกับน้ำในรางปลูก (ให้น้ำในรางปลูกสัมผัสกับฟองน้ำประมาณ 2 - 3 มิลลิเมตร)
โฆษณา