17 ก.พ. 2020 เวลา 04:55 • ประวัติศาสตร์
แฮร์มาน เฟเกไลน์' จากคนขี่ม้าสู่จอมเชือดแห่งเอสเอส
“คุณพูดมาได้อย่างไรว่าหาตัวเขาไม่เจอ ก็ไปหาให้เจอสิ ผมอยากเจอตัวเฟเกไลน์เดี๋ยวนี้ ถ้าเขาหนีไปก็ถือว่าเขาหนีทหาร ทรยศชาติ เอาตัวเฟเกไลน์มา !! เฟเกไลน์ เฟเกไลน์ เฟเกไลน์”
.
นี่คือบทสนทนาในภาพยนตร์ที่คนทั้งโลกต่างรู้จัก 'Downfall' หรือชื่อไทยว่า 'ปิดตำนานบุรุษล้างโลก' และเป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องบนโลกนี้ที่บอกเล่าเรื่องราวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่บังเกอร์ใต้ดินใจกลางกลุงเบอร์ลิน ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนการล่มสลายของไรซ์ที่ 3 ซึ่งเคยผงาดครองอำนาจเหนือยุโรปเกือบทั้งหมด
ในภาพยนตร์ฉากนี้ ฮิตเลอร์หัวเสียอย่างมากที่ 'เฟเกไลน์' หายตัวไป แล้วเฟเกไลน์คนนี้เขาเป็นใคร? ชายหนุ่มในเครื่องแบบนายทหารระดับสูงของกองกำลังเอสเอสที่งามสง่า กับท่าทีที่ดูหยิ่งทะนงของเขา บุรุษที่พยายามจะผละหนีจากฮิตเลอร์ไปในเวลาที่ความล่มสลายของนาซีเยอรมันใกล้เข้ามาถึง ชายผู้นี้เป็นใคร และมีประวัติอย่างไร ร่วมหาคำตอบได้ในบทความนี้
ฮาน ออตโต้ เกิร์ก แฮร์มาน เฟเกไลน์ (Hans Otto Georg Hermann Fegelein) เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1906 ที่เมือง อันส์บาค (Ansbach) ในแคว้าบาวาเรีย (Bavaria) เขาเป็นบุตรชายของเจ้าของคอกม้าและโรงเรียนสอนขี่ม้าที่มีชื่อเสียงของเมือง ซึ่งพ่อของเฟเกไลน์ก็ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่เกี่ยวกับการบังคับและขี่ม้า รวมทั้งการดูแลสัตว์สี่เท้าตัวนี้อย่างดี นั่นจึงทำให้เขาเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น เพราะเขากลายมาเป็นนักขี่ม้าฝีมือเยี่ยม ทักษะของเขาสามารถบังคับม้าข้ามเครื่องกีดขวาง หรือควบม้าข้ามภูมิประเทศต่างๆได้อย่างรวดเร็ว เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเอาดีในการขี่ม้าตลอดมา พ่อของเฟเกไลน์ก็สนับสนุนและส่งเสริมให้เขาลงแข่ง หรือออกไปแสดงโชว์ฝีมือขี่ม้าให้เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกๆ คน
ในช่วงระยะเวลานั้น ประเทศเยอรมันยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังอยู่ในระยะของความวุ่นวายและการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง พรรคการเมืองต่างๆ และกลุ่มหัวรุนแรงต่างชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ
.
และหนึ่งในพรรคการเมืองที่กำลังเป็นที่นิยมคือพรรคนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในหมู่ชาวเยอรมันเป็นอย่างมาก ครอบครัวของเฟเกไลน์โดยเฉพาะพ่อของเขาไม่ต้องการให้สมาชิกในครอบครัว เข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาเองก็ทราบดีว่าลูกชายของเขากำลังโน้มเอียงไปกับการโฆษณาชวนเชื่อของนาซี ดังนั้นเขาจึงส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อหนีให้ไกลจากความวุ่นวายนี้
ปี ค.ศ. 1925 ด้วยวัย 19 ปี เฟเกไลน์ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมิวนิค หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของเยอรมันและของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย แต่ถึงแม้พ่อของเขาจะตั้งใจเพียงใดที่จะนำลูกชายที่พยศเหมือนม้าให้ห่างไกลจากความวุ่นวายนี้ ตัวของเฟเกไลน์ก็รั้นที่จะออกไปเผชิญกับความวุ่นวายนี้ให้ได้
.
เขาเข้าเรียนในมหาลัยเพียง 2 เดือนก็ลาออกมาสมัครเป็นทหาร และแน่นอนเหล่าทหารที่เขาเลือกนั้นก็คือเหล่าทหารม้า โดยเขาสังกัดในกรมทหารม้าบาวาเรียนที่ 17 หรือ 17. (Bayerisches) Reiter-Regiment ชีวิตทหารของเฟเกไลน์คือสิ่งที่ขัดใจพ่อของเขาเป็นอย่างมาก แต่ความสามารถในการขี่ม้าของเขากลับทำให้เขาเป็นดาวเด่นในกรมทหารม้า
.
ปี ค.ศ. 1927 เขาถูกโอนย้ายไปเข้าฝึกอบรมเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ประจำกรมตำรวจแห่งรัฐบาวาเรีย (Bayerische Staatliche Polizei) ดูเหมือนชีวิตของเขากำลังไปได้ด้วยดี แต่ด้วยความที่อุปนิสัยที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของเฟเกไลน์ และความหยิ่งทะนงไม่ต้องการจะแพ้ผู้ใด มันจึงทำให้เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้รับการยกย่องเหนือกว่าผู้ใด เขาถูกจับได้ว่าโกงสอบ และนั่นทำให้อนาคตการเป็นตำรวจต้องดับวูบลงทันที เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนจากการกระทำนี้
พ่อของเฟเกไลน์นำเงินมาลงทุนให้เขาทำธุรกิจ เปิดโรงเรียนสอนขี่ม้าในนาม ไรเอนซิทูท เฟเกไลน์ (Reitinstitut Fegelein) แต่หลังจากนั้นไม่นาน โชคชะตาของเฟเกไลน์ก็นำพาให้เขามาพบกับคริสเตียน วีเบอร์ สมาชิกพรรคนาซีคนสำคัญ ได้ชักชวนเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคนาซีอย่างเป็นทางการ วีเบอร์ชื่นชมความสามารถในการขี่ม้าของเฟเกไลน์อย่างมาก และเขาเองก็นำเสนอต่อฮิตเลอร์ว่า กองกำลังเอสเอ (Sturmabteilung) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรคนาซีในตอนนั้น ยังขาดครูฝึกสอนขี่ม้าให้แก่กำลังพล โรงเรียนขี่ม้าของเฟเกไลน์จึงเป็นสถานที่เหมาะสมที่จะนำกำลังพลเอสเอมาฝึกขี่ม้า
.
ขณะเดียวกันวีเบอร์ก็นำเฟเกไลน์เข้าพบกับฮิตเลอร์ พร้อมกับชักชวนให้เขาสมัครเป็นสมาชิกพรรคนาซีเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่า เขายินดีเป็นอย่างยิ่งในสิ่งนี้ แม้จะถูกพ่อของเขาคัดค้านก็ตาม แต่ก็มิอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ เฟเกไลน์ยังคงใช้โรงเรียนที่พ่อลงทุนเปิดให้แก่เขาฝึกสอนพวกนาซีขี่ม้าอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยมีเขาเป็นครูฝึกซึ่งทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขันและฝึกกำลังพลเอสเอให้ขี่ม้าได้อย่างชำนาญทุกคน นับเป็นผลงานที่ฮิตเลอร์พึงพอใจในตัวเขาอย่างมาก
หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในพรรคนาซี เมื่อผู้บัญชาการกองกำลังเอสเอถูกปลดและถูกสังหาร กองกำลังเอสเอส่วนใหญ่ถูกแปรสภาพและเข้าร่วมกับกองกำลังเอสเอส อันเป็นกองทัพส่วนตัวของฮิตเลอร์ นั่นจึงทำให้เฟเกไลน์กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ในกองกำลังเอสเอส ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1933 โดยยังคงทำหน้าที่เป็นครูสอนขี่ม้าเช่นเดิม และได้รับมอบหมายให้เขาคุมหน่วยทหารม้าของกองกำลังเอสเอส หรือ SS-Reitersturm จากนั้นชีวิตของเขาก็ค่อยๆก้าวหน้าเป็นลำดับ
.
ปีถัดมา เขาได้รับเลื่อนยศเป็น เอสเอส-ฮอพชตวร์มฟือเรอร์ (SS-Hauptsturmführer เทียบเท่ากับยศร้อยเอก) และในปี ค.ศ. 1935 เอสเอส-ฮอพชตวร์มฟือเรอร์ เฟเกไลน์ ก็เป็นตัวแทนของชาวเยอรมันร่วมลงแข็งขันกีฬาโอลิมปิกที่จัดขึ้น ณ กรุงเบอร์ลิน เขามีส่วนสำคัญในการจัดเตรียมการแข่งขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง และอำนวยการให้การแข่งขันเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้เฟเกไลน์ยังได้เลื่อนยศเป็นเอสเอส-ชตวร์มบานฟือเรอร์ (SS-Sturmbannführer เทียบเท่ากับยศพันตรี) จากผลงานครั้งนี้อีกด้วย
1
ปี ค.ศ. 1937 ไฮนด์ริช ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการกองกำลังเอสเอส ออกคำสั่งให้มีการจัดตั้งโรงเรียนสอนขี่ม้าในส่วนของกองกำลังเอสเอสขึ้นมาที่เมืองมิวนิค และแน่นอนเฟเกไลน์ คือผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ พร้อมๆกับยศที่ขยับขึ้น นั่นคือ เอสเอสช-ชตานดาร์ทเอินฟือเรอร์ (SS-Standartenführer เทียบเท่ากับยศพันเอก) เขาจัดหาครูฝึกขี่ม้าและผู้ดูแลม้ามาจากทั่วประเทศ บุคคลากรหลากหลายหน่วยงานที่มีความสามารถในการขี่ม้าและรู้วิธีเลี้ยงม้าถูกย้ายเข้ามาอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ความทะเยอทะยานของเฟเกไลน์ยังคงมีต่อไป และเขามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งนักเรียนที่เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ รวมทั้งตัวเขาด้วย จะกวาดเหรียญทองในกีฬาขี่ม้าในโอลิมปิกครั้งต่อไปซึ่งจะจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1940 แต่ทุกอย่างก็จบลงเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้นเสียก่อน
.
กองทัพเยอรมันรุกรานโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 เฟเกไลน์ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่อยู่ในหน่วย กรมทหารม้าเอสเอสโทเทนคอฟ (SS Totenkopf Reiterstandarte Regiment) ซึ่งหน่วยนี้จะพัฒนามาเป็นกองพลยานเกราะเอสเอสที่ 3 โทเทนคอฟ อันเลื่องชื่อในเวลาต่อมา ทหารม้าเอสเอสโทเทนคอฟมาถึงโปแลนด์หลังจากที่การรบยุติลงแล้ว โดยพวกเขามีภารกิจสนับสนุนสารวัตรทหารเยอรมันในการดูแลพื้นที่ยึดครอง
1
และที่โปแลนด์นี้เองที่เปลี่ยนให้เขากลายมาเป็นเครื่องจักรล่าสังหารพลเรือน โดยเฉพาะชาวยิวในโปแลนด์ ทหารม้าใต้การบังคับบัญชาของเฟเกไลน์ สังหารหมู่พลเรือนโปแลนด์ที่ป่าคอมพีนอส (Kampinos Forest) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงวอร์ซอร์ นครหลวงของโปแลนด์ ผู้บริสุทธิ์กว่า 2,000 คน ถูกสังหาร
.
นอกจากหน่วยทหารม้าของเฟเกไลน์จะแสดงความเหี้ยมโหดต่อพลเรือนแล้ว ทั้งตัวผู้บังคับบัญชาและกำลังพลก็ไม่ต่างจาก 'โจรในเครื่องแบบ'
.
สตรีโปแลนด์มากมายถูกข่มขืนและฆ่า เฟเกไลน์ลักพาตัวสตรีโปแลนด์คนหนึ่งมาและข่มขืนเธอจนตั้งครรภ์ แต่เขาก็บังคับให้เธอทำแท้ง มิหนำซ้ำพวกเขายังปล้นชิงทรัพย์สินต่างๆอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด บ่อยครั้งที่เฟเกไลน์จะบังคับให้พลเรือนโปแลนด์ให้บอกที่ตั้งบ้านของคนรวยในพื้นที่ หรือทรมานจนกว่าจะยอมบอกว่าเอาทรัพย์สินไปซ่อนไว้ที่ไหน มันเลยเถิดกลายเป็นเกมกีฬาที่เขาคิดว่าคนโปแลนด์เหล่านี้เป็นเพียงสัตว์ที่ถูกกองทหารม้าของเขาออกล่า
1
นอกจากนี้ การกระทำของหน่วยทหารม้าของเฟเกไลน์ยังเป็นการก้าวก่าย และสร้างความวุ่นวายให้แก่การปฏิบัติงานของหน่วยทหารในสังกัดกองทัพบกเยอรมัน ซึ่งรับผิดชอบดูแลความมั่นคงในพื้นที่ยึดครอง กระทั่งทางกองทัพบกเยอรมันทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของเขาและลูกน้อง พวกเขาจึงถูกจับและถูกตั้งข้อหาว่ากระทำการปล้นทรัพย์สินพลเรือนโปแลนด์ รวมทั้งแอบลักลอบส่งทรัพย์สินมีค่ากลับไปเยอรมันและยึดเอาไว้เป็นของตนเอง
.
เฟเกไลน์และลูกน้องถูกจับขึ้นศาลทหารและถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่ชะตาชีวิตของเขายังไม่จบลงที่นี่ เพราะฮิมเลอร์ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา และเป็นผู้นำระดับสูงของพรรคนาซี เข้ามาแทรกแซงการตัดสินคดีครั้งนี้ นั่นจึงทำให้เฟเกไลน์ถูกนำตัวออกจากคุกมาพบกับอิสรภาพอีกครั้ง
.
เฟเกไลน์ถูกย้ายไปประจำการในพื้นที่ยึดครองส่วนอื่นของโปแลนด์ โดยมีภารกิจในการกวาดล้างกองกำลังต่อต้านในพื้นที่ ซึ่งแน่นอนว่าการกวาดล้างของเขาคือการสังหารพลเรือนที่ต้องสงสัย หรือเผาทำลายหมู่บ้านใดก็ตามที่ให้การช่วยเหลือกองกำลังต่อต้าน เขาและลูกน้องในหน่วยทหารม้าเดิม ยังแสดงออกซึ่งความป่าเถื่อน โหดเหี้ยมต่อผู้อ่อนแอกว่าราวกับว่ามันคือความสุขที่ได้ทำ ซากศพของชาวบ้านจำนวนหลายศพที่สังหารถูกแขวนคอและนำมาห้อยติดบนต้นไม้เพื่อบ่งบอกถึงชัยชนะของเขา หลังจากสาสมกับการล่าสังหารพอสมควรแล้ว เขาถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในการรุกรานเบลเยี่ยมและฝรั่งเศส ซึ่งที่แนวรบด้านนี้เองที่เขาได้รับเหรียญกางเขนเหล็กเป็นครั้งแรก
1
เมื่อการรุกรานสหภาพโซเวียตเริ่มขึ้น เฟเกไลน์กระเหี้ยนกระหืออยากจะนำหน่วยทหารม้าของตนเองออกรบ ณ ที่ราบกว้างใหญ่ของโซเวียต แม้หน่วยทหารม้าไม่ควรจะเป็นกำลังรบหลักในการเข้าตีแนวรบข้าศึก แต่เขาก็ดึงดันจะนำทหารม้าห้อตะบึงบุกเข้าชาร์จใส่ทหารโซเวียตแบบไม่ให้ทันตั้งตัว เขาแสดงออกถึงความเด็ดขาดและภาวะผู้นำในสนามรบที่พึงมี และผู้บังคับบัญชาของเขาก็หวังจะให้หน่วยในสังกัดของกองกำลังเอสเอส สร้างผลงานให้ท่านผู้นำได้ชื่นชม
.
ฮิมเลอร์ออกคำสั่งให้เฟเกไลน์คุมกองกำลังเทียบเท่ากองพลน้อยทหารม้า นอกจากจะใช้ม้าเป็นพาหนะแล้ว ในหน่วยนี้ยังมียานยนต์และยานเกราะแบบต่างๆ รุกเข้าตีและปิดวงล้อมทหารโซเวียตไม่ให้หนีรอดไปได้ โดยเฉพาะการรบที่เมืองเบียวลิสตอค ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ฮิมเลอร์ผิดหวัง ด้วยการจับและสังหารทหารโซเวียตได้เกือบ 2 หมื่นนาย
.
อีกหนึ่งภารกิจที่ขาดไม่ได้สำหรับกองกำลังเอสเอส คือการกวาดล้างชาวยิว และกองกำลังต่อต้าน ซึ่งเป็นงานถนัดของเขามาตั้งแต่โปแลนด์และแผ่นดินโซเวียต ความโหดของเขาก็ยังไม่ลดน้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว เฟเกไลน์ออกคำสั่งให้จับสตรีและเด็กเชื้อสายยิวลำเลียงสู่ค่ายกักกันเพื่อเป็นแรงงานทาส นอกจากนี้ยังสั่งให้คัดเลือกผู้ชายเชื้อสายยิวในหมู่บ้านต่างๆที่มีทักษะแรงงาน เป็นหมอ หรือวิศวกรเท่านั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป นอกนั้นหากไม่สามารถทำงานหรือเป็นบุคคลพิการพวกเขาทั้งหมดจะถูกยิงทิ้ง หรือในบางครั้งก็ถูกแขวนคอเพื่อประหยัดกระสุน
เมื่อรายงานการปฏิบัติการของเขาถูกส่งไปยังฮิมเลอร์ สิ่งที่ตามมาก็คือคำชมเชยและคำสั่งให้เพิ่มการกำจัดชาวยิวที่พบเจอให้ได้มากที่สุด เฟเกไลน์ตอบสนองต่อคำสั่งนี้ทันที เขาสั่งให้ลูกน้องของเขาสังหารชาวยิวที่อายุมากกว่า 14 ปี ทุกคน ปฏิบัติการสังหารผลาญชีวิตดำเนินต่อไป บ่อยครั้งที่หน่วยของเฟเกไลน์จะจัดการกับผู้หญิงและเด็กด้วยการบังคับให้ลงไปในหนองน้ำและผลักดันให้ลงไปอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดเพื่อหวังให้เหยื่อจมน้ำเสียชีวิต หรือหากมีคนพยายามตะเกียกตะกายหนีก็จะถูกยิง
.
ความเหี้ยมโหดของเขายังกระทำต่อทหารโซเวียตที่ยอมแพ้ด้วยเช่นกัน ทหารโซเวียตที่ยังสวมใส่เครื่องแบบแม้จะยอมแพ้แล้ว แต่พวกเขาจะถูกยิงทิ้งทันทีหากยังสวมเครื่องแบบทหาร มีการประมาณการณ์กันว่าเหยื่อที่ถูกสังหารโดยคำสั่งของเฟเกไลน์ตลอดเวลาที่เขายังอยู่ในแนวรบด้านตะวันออก ทั้งพลเรือน ทหาร และกองกำลังต่อต้าน รวมกันแล้วคาดว่าน่าจะถึง 5 หมื่นคน นอกจากนี้เฟเกไลน์ยังแสดงออกทั้งความเหี้ยมโหดและความกล้าหาญ ตัวอย่างในสมรภูมิที่เพอเชสกี้ (Rzhevsky) ปี ค.ศ. 1942 เขานำหน่วยทหารออกรบด้วยตัวเองอย่างกล้าหาญจนได้รับเหรียญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน
ครั้นพอถึงช่วงปลายปี ค.ศ. 1943 เขายุติชีวิตในสนามรบด้วยคำสั่งย้ายของฮิมเลอร์ให้ไปดำรงตำแหน่ง ที่สำนักงานฝ่ายปฏิบัติการกองกำลังเอสเอส (SS-Führungshauptamt) โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าขณะเจ้าหน้าที่ประจำแผนกการข่าว หรือ Amt VI จากผลงานที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ฮิมเลอร์ เขาจึงได้รับตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งซึ่งก็คือ เจ้าหน้าที่ของกองกำลังเอสเอสประจำสำนักงานใหญ่ ณ กองบัญชาการของฮิตเลอร์ ซึ่งมีหน้าที่ประสานงานและตัวแทนของกองกำลังเอสเอส พร้อมกับยศใหม่ของเขาก็คือ บริกเกดฟือเรอร์ (Brigadeführer เทียบเท่ากับยศพลจัตวา)
.
การได้มาทำงานใกล้ชิดท่านผู้นำในครั้งนี้ ทำให้เฟเกไลน์ต้องติดตามฮิตเลอร์ไปทุกๆที่ รวมทั้งยังได้พบกับสุภาพสตรีมากหน้าหลายตาที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในกองบัญชาการ และในสำนักงานต่างๆ
.
เฟเกไลน์ในสนามรบเขาคือนักรบผู้ไร้ความปราณี แต่ทว่าเมื่ออยู่กับหญิงสาว เขาคือชายหนุ่มเจ้าชู้ที่มักพยายามพิชิตใจสตรีที่เขาปราถนา โดยแสดงออกให้พวกเธอได้เห็นว่า เขาคือผู้ชายอบอุ่น ขี้เล่น และพร้อมจะพาพวกเธอเฮฮาปาร์ตี้ได้เสมอ และความเจ้าชู้ขี้เล่นที่เขาที่แสดงออกมานี้เอง เป็นที่ถูกใจแก่เอวา เบราน์ สาวคนสนิทและว่าที่ภรรยาของฮิตเลอร์ ซึ่งเธอก็เป็นคนที่ชอบความสนุกสนานและหาความสุขใส่ตัว นั่นจึงทำให้เธอและเฟเกไลน์กลายมาเป็นเพื่อนร่วมดื่มและปาร์ตี้กันอยู่เสมอ
2
ความใกล้ชิดกับ เอวา เบราน์ ก็ทำให้เขาได้พบกับคนรักนั่นก็คือน้องสาวของเธอ เกรททึล เบราน์ พวกเขาพบกันในงานสังสรรค์และตกหลุมรักกัน ก่อนจะจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์โดยมีฮิตเลอร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในงานมงคลสมรสในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1944 โดยการแต่งงานในครั้งนี้มีการฉลองมงคลสมรสกันที่ 'รังอินทรี' (Kehlsteinhaus) บ้านพักตากอากาศส่วนตัวของฮิตเลอร์บนเทือกเขาแอลป์ และการฉลองนี้ดำเนินไปถึง 2 วันเต็มๆ ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงที่กองทัพพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี ในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944
.
หลังจากงานแต่งและการฉลองมงคลสมรสให้แก่เฟเกไลน์ ชีวิตของเขาจากนี้ดูจะไม่ต้องอยู่บนหลังม้าอีกต่อไปแล้ว เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการติดตามฮิตเลอร์และเป็นตัวแทนของฮิมเลอร์ในกองบัญชาการของท่านผู้นำ แต่การติดตามฮิตเลอร์ก็เกือบทำให้เขาต้องตายจากการลอบสังหารในวันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ. 1944 ณ กองบัญชาการที่ราสเทนแบร์ก, ปรัสเซียตะวันออก แต่โชคดีที่รอดมาได้โดยบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงระเบิด เมื่อฮิตเลอร์ออกคำสั่งให้จับกุมนายทหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐการต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นในการลอบสังหาร และในวันประหารด้วยการแขวนคอนั้น เฟเกไลน์คือตัวแทนของฮิตเลอร์ที่เข้ามาดูและควบคุมการประหารด้วยตนเอง เขารายงานต่อฮิตเลอร์ด้วยภาพถ่ายของเขาที่ยืนถ่ายรูปคู่กับผู้ต้องหาทุกคนที่ห้อยอยู่เหนือพื้นโดยมีเชือกรัดคอจนแน่นิ่งหมดลมหายใจ
เมื่อสงครามกำลังมาถึงจุดจบและเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเยอรมันกำลังจะแพ้สงคราม รวมทั้งฮิตเลอร์จำต้องย้ายไปบัญชาการกองทัพของตนเองภายในบังเกอร์ใต้ดิน เฟเกไลน์ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่พร้อมจะตีจากฮิตเลอร์ไป เพราะเขารู้ดีว่าชื่อของเขาคือสิ่งที่กองทัพแดงหมายหัวเอาไว้ว่าจะต้องจับตัวเขามาแขวนคอให้ได้ หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของฮิตเลอร์ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1945 เฟเกไลน์ก็ค่อยๆ หลบหน้าทุกๆ คน และไม่นานจากนั้น เขาก็ไม่มาปฏิบัติหน้าที่อีกเลย รวมทั้งผู้บังคับบัญชาของเขาไฮนด์ริช ฮิมเลอร์ ด้วยเช่นกัน
.
กระทั่งวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1945 กองทัพพันธมิตรตะวันตกประกาศข่าวว่าฮิมเลอร์ยื่นข้อเสนอขอเจรจาสงบศึกโดยไม่สนว่าผู้นำประเทศอย่างฮิตเลอร์ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ข่าวนี้สร้างความเดือดดาลแก่ฮิตเลอร์อย่างมาก เขาออกคำสั่งให้ เอสเอส-ชตวร์มบานฟือเรอร์ ปีเตอร์ ฮือเกิล นำกำลังตามจับกุมเฟเกไลน์ ในฐานะคนสนิทของฮิมเลอร์ ซึ่งคาดว่าเขาน่าจะยังอยู่ในกรุงเบอร์ลิน เพราะฮิตเลอร์ต้องการทราบว่าฮิมเลอร์วางแผนอะไรต่อไป
.
ชุดปฏิบัติการของฮือเกิลนำกำลังออกตามล่าเฟเกไลน์ไปทั่วเบอร์ลินทันที ในความจริงแล้วหากเขาจะรีบหนีไปจากเบอร์ลินเขาก็ยังสามารถทำได้โดยเขาสามารถหลบหนีไปพร้อมกับฮิมเลอร์ แต่เฟเกไลน์กลับยังคง 'ห่วงทรัพย์สินที่เขาปล้นมา' กระเป๋าใส่เงินสกุลต่างๆ พันธบัตร อัญมณีมีค่าต่างๆ ภาพศิลปะราคาแพง ถูกบรรจุลงกระเป๋าเดินทางจำนวนมากและมีบางส่วนถูกใส่ในรถบรรทุกที่จอดรอด้านหน้าบ้านพักของเขา เพราะความห่วงสมบัตินี่เองที่ทำให้ชุดจับกุมของฮือเกิลตามมาจับเขาได้อย่างไม่ยาก เขาถูกนำตัวมาขังภายในบังเกอร์ของฮิตเลอร์และถูกสอบปากคำให้พูดทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับแผนของฮิมเลอร์
แต่จุดจบของเฟเกไลน์นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ยังโต้เถียงกันจนถึงทุกวันนี้ว่า เขามีชะตากรรมอย่างไรกันแน่ ออตโต้ กึนเช่อ ผู้ช่วยส่วนตัวของฮิตเลอร์กล่าวว่า
.
"ฮิตเลอร์ออกคำสั่งให้นำตัวเฟเกไลน์ ไปเป็นพลทหารและออกรบป้องกันกรุงเบอร์ลินกับหน่วยเฉพาะกิจโมฮ์นเคอะ” (Kampfgruppe Mohnke) เพราะคำร้องขอของเอวา เบราน์ ที่ไม่ต้องการให้น้องเขยของตนเองต้องตาย และให้เขาได้แสดงออกถึงความภักดีอีกครั้ง"
.
แต่เมื่อหลังสงครามยุติลงมีการไปสัมภาษณ์ วิลเฮล์ม โมฮ์นเคอะ ผู้บังคับ หน่วยเฉพาะกิจโมฮ์นเคอะในเรื่องนี้ เขากลับอธิบายแตกต่างออกไปว่า
.
"ฮิตเลอร์สั่งให้สอบสวนเขาและไม่นานจากนั้นเขาถูกส่งตัวให้หน่วยรักษาปลอดภัยประจำบังเกอร์ท่านผู้นำ และจากนั้นผมก็ไม่เห็นเขาอีกเลย"
แต่ทว่าอีกหนึ่งประจักษ์พยานที่ให้การเกี่ยวกับช่วงเวลาสุดท้ายของเฟเกไลน์คือ เสมียนสาวนามว่า เทราดึล ยุงเกอร์ ให้สัมภาษณ์ว่า เอวา เบราน์ ขอร้องฮิตเลอร์ไม่ให้ประหารชีวิตเขา แต่ฮิตเลอร์ปฏิเสธ เฟเกไลน์ถูกนำตัวมาที่บริเวณสวนตรงทางเข้าทำเนียบท่านผู้นำไรซ์และถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
.
แม้จุดจบของเขาจะยังเป็นเรื่องคลุมเครือ เพราะยังมีบุคคลที่อ้างว่าเคยเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในบังเกอร์ของฮิตเลอร์ในช่วงเวลาสุดท้าย และยืนยันว่าเฟเกไลน์ได้รับการไว้ชีวิตจากนั้นเขาเปลี่ยนชื่อของตนเอง และใช้ชีวิตต่อไปในช่วงหลังสงคราม เรื่องนี้นั้นยังไม่ได้รับการยืนยันแต่อย่างใด ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่ชัดแล้วก็คือ เขากลายมาเป็นหนึ่งในยมฑูตนาซีที่ฝากชื่อและความเลวร้ายเอาไว้ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
เขียน : ปัญญาณัฏฐ์ ณัธญาธรนินน์
ภาพประกอบ : เพ็ญนภา บุปผาเจริญสุข
.
อ้างอิง
Beevor, Antony (2002). Berlin – The Downfall 1945. New York: Viking-Penguin. ISBN 978-0-670-03041-5.
Shirer, William L. (1960). The Rise and Fall of the Third Reich. New York: Simon & Schuster. ISBN 978-0-671-62420-0.
H. Pieper, (2015). Fegelein's Horsemen and Genocidal Warfare: The SS Cavalry Brigade in the Soviet Union (The Holocaust and its Contexts). ISBN-13: 978-1137456311
#แฮร์มานเฟเกไลน์ #นาซีเยอรมัน #สงครามโลกครั้งที่สอง #อดอล์ฟฮิตเลอร์ #gypzyworld #สำนักพิมพ์ยิปซี
///////////////
โฆษณา