19 ก.พ. 2020 เวลา 10:42 • ข่าว
#HSBCกับมาตรการเลย์ออฟ
#ตัด35000ตำแหน่งใน3ปี
#ย้อนรอยHSBC
Cr. Getty Images / BBC
ข่าวใหญ่วงการแบงค์วันนี้ HSCB ประกาศว่า มีแผนที่จะปลดพนักงานออกถึง 35,000 ตำแหน่ง เริ่มตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2022 เนื่องจากผลกำไรในรอบปี 2019 ที่ผ่านมา ลดลงถึง 53%
อันที่จริง เรื่องการปลดพนักงานออกของธนาคารระดับโลกอย่าง HSBC ได้ยินมาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ว่ามีแผนจะเลย์ออฟถึง 10,000 ตำแหน่งเนื่องจากผลประกอบการไม่เข้าเป้า แถมเปลี่ยน CEO ใหม่
ซึ่งธนาคารใหญ่ๆหลายแห่งต่างก็ประสบปัญหาไม่ต่างกัน อาทิเช่น CommerzBank และ Deutsche Bank ของเยอรมัน Santander Bank ของสเปน ที่ประกาศลดขนาดองค์กร และ อัตราจ้างเหมือนกัน
1
แต่ว่านี่เพิ่งจะต้นปี HSBC ประกาศลดพนักงานอีกแล้ว ที่ตั้งเป้าเลย์ออฟ มากถึง 35,000 ตำแหน่ง คิดเป็น 15% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดขององค์กรเลยทีเดียว
เกิดอะไรขึ้นกับ HSBC?
ก่อนจะไปวิเคราะห์กันถึงสาเหตุ เรามาทำความรู้จักกับธนาคาร HSBC กันสักเล็กน้อย ธนาคาร HSBC เคยมีชื่อเต็มๆว่า The Hongkong and Shanghai Banking Corporation ก่อตั้งขึ้นในปี 1865 หลังสงครามฝิ่น ในเขตปกครองฮ่องกงภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ ถึงปีนี้ก็อายุราวๆ 155 ปีมาแล้ว นับเป็นหนึ่งในธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ถึงแม้จะมีทั้งชื่อฮ่องกง และเซียงไฮ้ อยู่ในชื่อธนาคาร แต่ทว่าธนาคารแห่งนี้ก่อตั้งโดยนายแบงค์ชาวอังกฤษนามว่า Sir Thomas Sutherland
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการก่อตั้งธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ จริงๆแล้วคือ คนตระกูล Rothschild ครอบครัวนายแบงค์เชื้อสายยิวผู้มั่งคั่ง โดยดำเนินเรื่องผ่าน ครอบครัว Sassoon พ่อค้าชาวยิวเชื้อสายอิรัก ที่ไปทำการค้ามั่งคั่งอยู่ในอินเดียสมัยที่เป็นอาณานิคมอังกฤษ
หลังจากที่ท่าน Sir Thomas แกทำเรื่องก่อตั้งธนาคาร HSBC ได้แล้ว แกก็หายไปเลย แต่คนที่เข้าไปนั่งในบอร์ดบริหารตั้งแต่เริ่มแรกคือ Arthur Sassoon คนนี้ต่างหาก แล้วก็ใช้ธนาคารแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการค้า ระหว่าง จีน-อินเดีย-อังกฤษ ผ่านการค้าฝิ่น ที่ปลูกในอินเดีย แล้วบังคับให้จีนซื้อ จากเงื่อนไขของสงครามฝิ่น แล้วขนทองคำของจีนกลับประเทศ
1
และนี่คือเบื้องหลังความมั่งคั่งของธนาคาร HSBC ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารแห่งนี้ ก็คือธนาคารของอังกฤษนั่นแล มีทรัพย์สินอยู่ราวๆ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก และ เป็นอันดับ 1 ของยุโรป มีสาขาอยู่ถึง 50 ประเทศทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 235,000 คน
แต่วันนี้กำลังจะมีแผน Downsize และ ตัดพนักงานออกถึง 15%
ผู้สื่อข่าวด้านการเงินในต่างประเทศวิเคราะห์เหตุที่ธนาคารยักษ์ใหญ่ ต้องเซตั้งแต่ต้นปี มาจาก 3 สาเหตุ
สาเหตุแรก มาจากกระแส Disruption ในกลุ่มธุรกิจธนาคาร กระแสเงิน Digital และการเติบโตของผู้ให้บริการ e-Wallet ที่ทำให้กำไรธนาคารหดหายเกินกว่าที่คาดหมาย จนต้องหาทางลดต้นทุน
สาเหตุที่สอง นั้นคือผลพวงของ Brexit ที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบัน HSBC มี Headquater อยู่ที่ลอนดอน ที่ทำให้ธนาคารต้องเสียลูกค้าที่กลุ่มประเทศ EU ไป เนื่องจากความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลหลังออกจากสมาชิก EU แล้ว
1
สาเหตุที่สาม น่าจะกระทบธนาคารโดยตรง เพราะสถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย ที่ทำให้สภาพคล่องของธนาคารฝืด ไล่มาตั้งแต่ สงครามการค้า จีน-สหรัฐ งานประท้วงข้ามปีในฮ่องกง และ ล่าสุด วิกฤติโรคไวรัส Covid-19 ที่ไม่รู้ว่าจะคลี่คลายเมื่อไหร่
และที่ผ่านมา HSBC มีรายได้ที่เป็นผลกำไรจริงๆ มาจากทางฮ่องกง และจีนถึง 90% เมื่อมีวิกฤติทั้งเรื่องการค้า การเมือง HSBC ก็พยายามขยายตลาดไปที่สหรัฐอเมริกา แต่ทว่าไม่สำเร็จ แล้วยังอาจต้องปิดสาขาในสหรัฐถึง 1 ใน 3 ด้วย
3
เลยทำให้ HSBC มีอาการน่าเป็นห่วง ไม่ต่างจากยักษ์ติดหวัด การลดจำนวนพนักงาน เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น
และจากเนื้อข่าว ผู้บริหารใหญ่ HSBC ได้กล่าวว่านอกจากแผนการลดจำนวนพนักงานแล้ว ก็จะพยายามกลับมาโฟกัสธุรกิจที่ฝั่งเอเชีย ที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ของทางธนาคารมานับร้อยปี
ก็ประเมินได้ว่ากลุ่มพนักงานที่จะโดนตัดออก น่าจะเป็นพนักงานในสาขาทางฝั่งยุโรป อังกฤษ และอเมริกา มากกว่า ก็หวังว่า ทีมงานที่อยู่ทางเอเชีย และในประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบนี้
แต่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน จนกว่าวิกฤติโรคระบาด และ สงครามการค้าจะผ่านพ้นไป น่าจะเห็นนโยบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ
โฆษณา