20 ก.พ. 2020 เวลา 16:18 • ธุรกิจ
จากติดหนี้บัตรเครดิต 4 ล้าน สู่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า 100 ล้าน!!
จากติดหนี้บัตรเครดิต 4 ล้าน สู่เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า 100 ล้าน!!
มีหลายคนถามผมครับว่า พี่บี เป็นใครมาจากไหน? มาขายเสื้อผ้า และเสื้อผ้า online ได้อย่างไร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร บทความนี้ผมจึงถือโอกาสแนะนำตัวและเล่าประวัติผมให้ฟังพอสังเขปนะครับ
เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยทำธุรกิจคาร์แคร์เล็กๆ แห่งหนึ่งในโคราช แต่ผมทำผิดพลาดไปตั้งแต่ผมเริ่มทำธุรกิจเลยครับ กล่าวคือ ก่อนที่ผมจะเปิดคาร์แคร์ ผมไม่มีเงินลงทุนเลยครับ แต่ผมอยากทำคาร์แคร์มาก เพราะผมมองว่ามันน่าจะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้ผมได้ สมองของผมจึงหาทางทุกอย่างครับ เพื่อให้ผมสามารถเปิดคาร์แคร์ได้
ผมได้ไปศึกษาว่าจะเปิดคาร์แคร์ดีๆ สักแห่งใช้เงินลงทุนกี่บาท ผมหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ไปลงคอร์สสัมมนาที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจคาร์แคร์ และพบว่า อย่างน้อยผมต้องมีเงิน 1.5 ล้าน - 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ที่ในเวลานั้น ผมไม่มีเงินทุนเลยครับ ผมก็เริ่มหาเงินก้อนในระยะเวลาสั้นครับ นั้นก็คือ การไปกู้สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อต่างๆ จนผมมีเงินตามจำนวนที่ผมต้องการ และผมก็สามารถเปิดคาร์แคร์ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังที่ผมเริ่มคิด
ตอนเปิดคาร์แคร์ ทีแรกผมก็คิดว่าผมจะจ้างผู้จัดการมาดูแล แล้วเราอยู่ห่างๆ คอยรับแต่รายได้ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด งานคาร์แคร์ต้องอาศัยความละเอียดละอ่อนสูง ผู้จัดการที่จ้างมาก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เค้าจำกัดจำนวนรถ ไม่ยอมรับรถ ปฏิเสธลูกค้า ส่วนลูกน้องก็เกเร ขาดงาน ไม่มาทำงาน ทำให้คาร์แคร์ประสบปัญหามาโดยตลอดนับแต่ตั้งวันแรกที่เปิดร้าน คาร์แคร์เป็นธุรกิจที่ใช้เวลาในการแลกกับรายได้ครับ วันนึงมีจำนวนชั่วโมงจำกัด เราพยากรณ์ได้เลยว่า วันนึงอย่างมากที่สุดเราจะมีรายได้เท่าไหร่ เพราะเราสามารถคำนวณเวลาในการล้างรถแต่ละคันได้ ซึ่งการใช้เวลาในการแลกกับรายได้แบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่ในการทำธุรกิจ
ผมเปิดคาร์แคร์ไปได้ 2 เดือนก็รู้แล้วครับว่า รายได้ไม่พอรายจ่าย เพราะเงินลงทุนเราเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยสูงมากๆ เพราะเราไปเอาสินเชื่อบุคคลมาลงทุน ที่มีกำหนดต้องจ่ายทุกเดือน พอถึงเวลาต้องจ่ายค่างวดสินเชื่อ หรือเงินเดือนลูกน้อง เราไม่มีเงินสดอยู่ในมือ ผมก็ใช้วิธีซิกแซกนิดหน่อย คือ เอาบัตรเครดิตที่เรามี ไปรูดกับเครื่องรูดบัตรของร้านเราเอง เพื่อเอาเงินสดออกมาหมุนเวียนในธุรกิจ เช่น จ่ายเงินเดือนลูกน้อง จ่ายค่าน่ำยาและอุปกรณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งเอามาจ่ายค่างวดสินเชื่อต่างๆ ที่เราไปกู้มาเพื่อลงทุน
ลำพังตัวธุรกิจหากไม่มีหนี้ ก็คงจะพออยู่ได้ครับ แต่พอมีหนี้เหล่านี้ ทำให้เราไม่สามารถหมุนเงินได้ทัน เราก็ใช้วิธีเอาบัตรเครดิตไปรูดเวียนไป เวียนมา พอถึงกำหนดบัตรใบนี้ เราก็รูดจากใบนี้ไปจ่ายใบนั้น ทำแบบนี้อยู่เรื่อยมาเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี เงินก็เริ่มหมุนไม่ทัน เราจ่ายขั้นต่ำตลอด ดอกเบี้ยก็สูงมากๆ พอเงินขาดมือ เราก็หันไปเอารถไปจำนำ เอาที่ดินของแฟนผม(คุณอุ๊)ไปขายฝาก เพื่อเอาเงินมาหมุนในธุรกิจ จนในที่สุดก้อนหนี้ก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนเราเองไม่สามารถควบคุมได้
ตอนนั้น ผมก็เริ่มอยากหารายได้เสริม พอดีมีคนมาชวนไปทำธุรกิจขายตรง/เครือข่าย ผมมองเห็นเป็นโอกาสก็เลยลองไปทำดู ตอนนั้นไปทำจริงๆ จังเลย ร้านคาร์แคร์จากที่เคยดูแลเอง ก็ห่างออก ไม่ค่อยได้ดูแลใกล้ชิดเหมือนเมื่อก่อน ปล่อยให้ลูกน้องดูแลกันเอง ปรากฎไม่กี่เดือนผ่านไปลูกค้าหายหมดเลย ส่วนตัวธุรกิจขายตรงก็ยังไม่สารมารถสร้างรายได้ให้เราได้มากเท่าไหร่ จนทำไปสู่จุดที่ต้องตัดสินใจเซ้งร้านคาร์แคร์ เพื่อมาใช้หนี้บางส่วน เพราะเราไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือนลูกน้อง วงเงินบัตรเครดิตเต็มหมดทุกใบ ไปขอสินเชื่อก็ไม่ผ่านแล้ว เพราะต้องนั้นเราเริ่มชำระหนี้ไม่ตรงเวลาแล้ว
ทำคาร์แคร์ 3 ปี มีหนี้ติดตัวมาประมาณ 3 ล้านเกือบๆ 4 ล้าน เวลานั้นท้อแท้มาก เสียใจ ร้องไห้กับคุณอุ๊ทุกวัน เงินเซ้งร้านคาร์แคร์ได้มาแค่ 2 แสน จากที่เราลงทุนไปเกือบ 2 ล้าน
ชีวิตในตอนนั้นประหยัดมาก เพราะเราไม่มีรายได้แล้ว เพราะคาร์แคร์เราปล่อยไปแล้ว ผมจำได้ว่า อุ๊ต้องไปซื้อแกงถุง ถุงละ 10 มากิน 3 คน พ่อแม่ลูก กับข้าว 3 อย่าง มื้อละ 30 บาท ข้าวหุ้งกันเอง แกงถุงก็จะมีกลิ่นหน่อยๆ เพราะมันใกล่้เสียแล้ว บางวันแกะออกมาเจอฟองขึ้นก็มี
จนมีอยู่วันนึงไม่มีเงินเลย คุณอุ๊ก็คิดว่าจะหารายได้ช่วยครอบครัวได้ยังไงก็เลยหันไปเจอเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้า ก็เลยตัดสินใจเอาเสื้อผ้าของตัวเองไปขายเป็นเสื้อผ้ามือสองที่ตลาดนัด...
จุดเปลี่ยนแรกก็มาถึง
เราเริ่มจากที่เอาเสื้อผ้าของคุณอุ๊ไปขายเป็นมือ 2 ไปขายที่ตลาดนัด Save One ที่โคราช ตอนนั้นจะไปขายที่ตลาดนี้ได้ เราต้องไปต่อคิวจองล็อกตั้งแต่บ่าย 2 บ่าย 3 เพื่อจะตั้งขายตอนเย็น เพราะที่ขายของมีจำนวนจำกัด แต่มีคนอยากขายมากกว่าพื้นที่ที่มี จึงต้องรีบไปจองล็อกเพื่อให้ได้พื้นที่ขายในเย็นวันนั้น บางวันไปไม่ได้ล็อกก็มี ตอนนั้นเราไม่มีเงินแม้กระทั่งซื้อแผงมาตั้ง เราเลยใช้วิธีเอาเสื่อปูกับพื้นแล้ววางขายเลย ขายตัวละ 50-100 บาท
ขายวันแรก ปรากฎขายดีมาก มีแต่คนมารุมดูเสื้อผ้าของคุณอุ๊ ในขณะที่ร้านอื่น ไม่มีคนเลย ยิ่งมีคนมารุมๆมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนสนใจมากขึ้น จนร้านข้างๆ ที่ขายเสื้อผ้ามือ 2 เหมือนกัน ยังต้องมาซื้อเสื้อมือสองของอุ๊ เพื่อเก็บไปขายต่อในวันที่เราไม่ได้มาขาย คิดๆ แล้วก็ตลกดีเหมือนกัน
คนที่เค้ามาซื้อเสื้อผ้ามือ 2 ของคุณอุ๊ เค้าชอบเสื้อผ้าแนวที่อุ๊ใส่ จนคุณอุ๊เอาเสื้อผ้าตัวเองไปขายจนเสื้อผ้าหมด ไม่มีเสื้อผ้าจะขายแล้ว เราก็เลยมี ความคิดว่าทำไมเราไม่เอาเสื้อผ้าของใหม่มาขาย เพราะคนชอบในแบบที่อุ๊เค้าเลือก
เราปรึกษากัน “เราลงมือทำทันทีเลย” ไม่รอช้า เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงเทพฯเลย ไปรับเสื้อผ้าที่ประตูน้ำมาขายที่โคราช ตอนนั้น สัปดาห์นึงต้องเข้ากรุงเทพบ่อยมากเพราะว่าเราไม่มีทุนสต๊อกสินค้า ต้องไปๆ กลับๆ กรุงเทพ-โคราช ชีวิตตอนนั้นกินนอนบนรถ ขายเสร็จตอนกลางคืน ตอนเช้ารีบตื่นไปเข้ากรุงเทพ ตอนเย็นรีบกลับมาขายเสื้อผ้าต่อ พอตอนเช้าเข้ากรุงเทพใหม่ ชีวิตตอนเหนื่อยมาก แต่ก็ต้องสู้
ในช่วงนั้น ผมเองก็โดน บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล ที่เราไปกู้ๆ เค้ามา แต่ไม่มีเงินจ่าย โทรตามหนี้ทุกวัน วันละ 3-4 รอบ รับสายบ้าง กดทิ้งบ้าง แกล้งทำไม่ได้ยินบ้าง เบอร์แปลกๆ มานิ หลอนเลย ไม่กล้ารับสาย...กลัวเป็นพวกทวงหนี้
จุดเปลี่ยนที่ทำให้เราขยายตัว ออกจาก comfort zone
พอเราขายไปสักพัก ก็ถึงจุดเปลี่ยน เรามานั่งคิดกันว่า ถ้าเราอยากใช้หนี้หมด ทำแบบนี้ไม่มีวันหมด แค่มีกินไปวันๆ เราต้องไปขายที่กรุงเทพ เรามองว่ากรุงเทพน่าจะขายได้ดีกว่านี้ เราน่าจะโตได้มากกว่านี้ ที่กรุงเทพคนน่าจะมีกำลังซื้อมากกว่าที่นี่ เราก็เลยตัดสินใจจะย้ายเข้ากรุงเทพ แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องย้ายที่อยู่ ลูกเราต้องย้ายโรงเรียน ไปเจอสังคมใหม่ๆ ไปหาที่ทางในการขายของใหม่ เราก็คิดว่ามันเสี่ยง แต่เราก็ต้องทำเพราะเราต้องการชีวิตที่ดีขึ้น เราไม่เคยมองว่า เรามีอปุสรรค เราจะพยายามมองทุกอย่างให้เป็นโอกาส ตอนนั้น ทั้งเพื่อน คนรู้จัก และที่บ้านของอุ๊เค้าก็เป็นห่วง ว่าจะไหวเหรอ อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกครับว่า เป้าหมายเราชัดมาก ชัดกว่าอุปสรรคต่างๆ เสียอีก เพื่อนๆเรา คนที่เป็นห่วงเรา เค้าก็ถามว่า จะไปกินอยู่ยังไง ลูกจะไปเรียนที่ไหน ตอนนั้นเรายอมรับตรงๆ ว่า เราก็ไม่ได้คิด แต่เราก็มองว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะเราไม่ต้องการหยุดอยู่แค่นี้ “เราโฟกัสแต่ความสำเร็จจนเรามองเห็นอุปสรรคมันเล็กน้อยไปเลย”
แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเราต้องเริ่มต้นใหม่หมดทุกอย่าง เราต้องแลกกับสิ่งที่เรามีอยู่ โชคดีที่ผมเป็นคนกรุงเทพ ยังพอที่จะรู้อะไรๆ ในกรุงเทพบ้าง
แต่โชคไม่เข้าข้างเราสักเท่าไหร่ครับ ผมกับอุ๊มาขายเสื้อผ้าที่กรุงเทพได้แค่สัปดาห์เดียว โดนลิขสิทธิ์จับครับ เพราะเราไม่เคยรู้มาก่อนว่า เสื้อผ้าเค้ามีลายลิขสิทธิ์ด้วย พวกลิขสิทธิ์ล็อกตัวผมขึ้นท้ายรถกะบะพาไปที่ สน.เลย วันนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตผมเลย ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เงินที่เก็บมาทั้งหมดจากการขายเสื้อผ้าที่โคราชได้ ต้องมาจ่ายเป็นค่าปรับให้กับตรงนี้ไป เริ่มต้นกันใหม่อีก ท้อมากๆ ท้อจนคิดว่าทำไมเราไม่หลุดจากวังวนแบบนี้สักที แต่เราไม่เคยยอมแพ้ ผมกับอุ๊ก็ให้กำลังใจกันและกันตลอด ถึงแม้บางครั้งจะน้อยใจโชคชะตาตัวเองบ้าง แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ไม่สนใจมันแล้วครับ
จุดเปลี่ยนครั้งที่ 3 จากร้านขายเสื้อผ้าธรรมดาๆในตลาดกลายมาเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าในปัจจุบัน
พอเราขายเสื้อผ้าไปได้สักพักเราเริ่มจับตลาดได้ เรารู้ว่าลูกค้าเราชอบเสื้อผ้าแบบไหน สไตล์ไหน ฐานลูกค้าเราเริ่มเยอะมากขึ้น เริ่มขายดีขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตก็ค่อยๆดีขึ้น หนี้ที่มีตอนนั้นร่วมๆ 3-4 ล้านก็ค่อยๆ ใช้จนหมดภายในเวลาประมาณ 2 ปี
แต่ การที่ผมใช้หนี้ ผมก็ศึกษานะครับว่า เราควรจะใช้หนี้ก้อนไหนก่อน ระหว่าง หนี้ก้อนใหญ่ที่เสียดอกเบี้ยมาก กับ หนี้ก้อนเล็กๆ ที่เสียดอกเบียน้อยกว่า เพราะมันมี 2 ทฤษฎีนะครับ ทฤษฎีแรก บอกให้เราจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงๆ ก่อน จะทำให้เราหมดหนี้ได้เร็วขึ้น ในขณะที่อีกทฤษฎีนึงให้เราจ่ายหนี้ก้อนเล็กก่อน เราจะได้มีกำลังใจในการปิดหนี้แต่ละก้อนไปเรือยๆ ผมตัดสินใจใช้วิธีที่ 2 ครับ คือ เริ่มจากการจ่ายหนี้ก้อนเล็กๆ ก่อน ถึงแม้วิธีนี้จะทำให้เราเสียประโยชน์ตรงส่วนต่างดอกเบี้ยของหนี้ที่มีดอกสูงกว่า แต่ผมก็เลือกวิธีนี้เพราะผมคิดว่า กำลังใจในการชำระหนี้สำคัญกว่าดอกเบี้ยครับ ทุกครั้งที่เราปิดหนี้ได้ก้อนนึง เราจะมีความภูมิใจในตัวเอง และความภูมิใจเล็กๆ เหล่านี้จะผลักดันให้เราใช้หนี้ก้อนใหญ่ๆ ได้อีกในอนานคตครับ เคล็ดไม่ลับอันนี้คนที่กำลังมีหนี้อยู่ หรือกำลังพยายามจะปิดหนี้อยู่ เก็บไปใช้ได้นะครับ
กลับมาสู่เรื่องร้านขายเสื้อผ้าของผมนะครับ พอเราขายไปเรื่อยๆ ฐานลูกค้าของเราก็กว้างขึ้นครับ เราเองก็รู้ความต้องการของลูกค้าเรามากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ เสื้อผ้าที่มีอยู่ในแพลทินัม ในประตูน้ำ ตอนนั้นกลับไม่ค่อยมีเสื้อผ้าแบบที่อย่างที่เราต้องการสักเท่าไหร่ และในตอนนั้นเองเราเริ่มเห็น “ช่องว่างของตลาด” แล้วครับ และ โอกาสของเราก็มาถึง...
คือ เราอยากทำเสื้อผ้าในสไตล์ของเรา ใน size ที่เราเป็นคนกำหนด เราก็เริ่มไปเดินตลาดผ้าที่พาหุรัด ไปสำเพ็ง ไปดูของประดับ อุปกรณ์ตกแต่งเสื้อผ้า แล้วเราก็ซื้อๆ มา แล้ว อุ๊เค้าก็คิดแบบในหัวในแบบที่เค้าต้องการแต่ไม่มีขายในตลาด แล้วเขียนออกมาลงกระดาษ เขียนแบบบ้านๆนิแหละครับ ไม่มีความรู้เรื่องการเขียนภาพ หรือ สเก็ตภาพมาก่อน พอเขียนออกมาแล้วเราก็ไปปรึกษาช่างแถวบ้าน ให้ป้าช่างแถวบ้านลองทำให้ดู ว่าจะเป็นไปได้มั้ย ป้าเค้าก็ไม่เคยทำมาก่อน เพราะป้าเค้าเป็นแค่ช่างตัดขากางเกง ช่างเก็บทรงธรรมดา แต่เราเรียนรู้ไปด้วยกัน ไปช่วยกันคิด ช่วยกันทำจนได้มาเป็น 5 ชุดแรก พอทำเสร็จ อุ๊เค้าดีใจมาก เพราะเป็นแบบที่เราออกแบบเอง แบบที่เราต้องการอยากจะให้เป็น size ที่ เราเป็นคนกำหนดเอง ตรงตามความต้องการของลูกค้า วันนั้นรีบเอาไปวางขายเลย
ปรากฎ ขายหมดภายในครึ่งวัน ตอนนั้น ดีใจมาก ที่มีคนชอบแบบของเรา ชอบชุดของเราจริงๆ หลังจากนั้น เราก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนการผลิต หาช่างเพิ่ม หาโรงงานที่เค้าตัดเย็บเสื้อผ้าจริงๆจัง ศึกษาเรื่องผ้ามากขึ้น จนเราเข้าใจ เห็นองค์ประกอบครบทั้งหมดของอุตสาหกรรม จนสุดท้ายเราก็สร้างเป็นแบรนด์ของเราเอง
ทุกวันนี้เราเสื้อผ้า ทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ 8 Studio, 9 Closet, Simple Brand ครับ
ชีวิตเราดีขึ้นมากๆ ทุกวันนี้เราประสบความสำเร็จมากกว่าที่เราเคยคิดไว้เสียอีก เรามาไกลมาก ทุกคนในครอบครัวอยู่กันอย่างสบาย เราทั้ง 2 คน สามารถเลี้ยงดูครอบครัว พ่อแม่ของเราได้ทั้งหมด แบรนด์เสื้อผ้าเราประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเศษ​ ผมจึงอยากแชร์ประสบการณ์ของผมกับแฟนอันนี้ผ่านบทความนี้ ให้กับใครหลายๆ คนที่กำลังท้อแท้อยู่ ที่กำลังมืดมน ไม่มีทางออก หรือ คนที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัวว่า
จงโฟกัสที่เป้าหมาย อย่าไปโฟกัสที่อุปสรรค อะไรที่เราโฟกัสมัน มันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรามัวแต่โฟกัสที่ปัญหา ปัญหาเหล่านั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ให้ตั้งสติใหม่ แล้วกลับมาโฟกัสที่เป้าหมายของเรา ทำเป้าหมายของเราให้ชัด เดินหน้าต่อไปทุกวัน แล้ววันหนึ่งวันนั้นจะมาถึง
ใครที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น คุณสามารถทำได้ เลิกมีข้ออ้างกับตัวเองว่า ชั้นทำอันนั้น อันนี้ไม่ได้ เพราะชั้นไม่มีทุน ชั้นไม่มีเวลา ชั้นไม่เก่งพอ ชั้นไม่สวยพอ พวกนี้คือข้ออ้างทั้งนั้น ถ้าคุณคิดจะประสบความสำเร็จ สมองของคุณจะหาวิธีไปต่อไปได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีปัญญา สมองของคุณจะหยุดคิดแล้วกลับไปทำแบบเดิมๆ ชีวิตคุณก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผมชอบ คำคม อันนึงที่ว่า “อย่าพึ่งด่วนสรุปว่าชีวิตมันแย่ มันอาจจะเป็นแค่จุดเปลี่ยนของชีวิต ที่จะทำให้เราไปเจอชีวิตใหม่ที่ดีกว่า”
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ หวังว่าเรื่องที่ผมแบ่งปันมาทั้งหมดนี้คงจะเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
พี่บี
ถ้าบทความนี้อ่านแล้วช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน ช่วยกันแชร์ต่อด้วยนะครับ
โฆษณา