23 ก.พ. 2020 เวลา 00:51 • ไลฟ์สไตล์
จากสถานการณ์ในปัจจุบันของไวรัสโควิด-19
ที่เริ่มแพร่ระบาดไปอย่างรวดเร็วในหลายๆ ประเทศ
ทำให้ปัญหาโควิด-19 น่ากลัวกว่าที่คิดตอนแรกกันไว้มาก
1
ปัจจุบันมีผู้ป่วยจะไวรัสโควิด-19 ประมาณ 78,000 คน
ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะอยู่ในประเทศจีนราว 76,000 กว่าคน
ที่เหลือจะกระจายอยู่ตามต่างประเทศครบทุกทวีปทั่วโลก
โดยรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อได้ทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้ โดยเฉพาะที่เกาหลีใต้
จากเดิมที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าประเทศไทย
ผ่านไป 3 วันตัวเลขเพิ่มขึ้นมาเป็น 400 กว่าคน
ทั้งนี้จำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาส่วนใหญ่ได้รับเชื้อมาจาก
คนเพียงคนเดียวเท่านั้น
1
คุณป้าวัย 60 เศษท่านหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองแทกู
เมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเกาหลีใต้
คุณป้าท่านนี้เป็นสมาชิกลัทธิชินชอนจิ เป็นลัทธิที่มีชาวเกาหลีใต้นับถือหลายแสนคน โดยสมาชิกจะมีการเข้ามาในโบสถ์เพื่อทำพิธีกรรมทางศาสนาอยู่บ่อยๆ ทางลัทธิเองก็ได้ทราบข่าวการระบาดโควิด-19 มาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมแล้ว จึงได้ประกาศว่าหากสมาชิกคนได้มีอาการป่วย มีไข้ให้แจ้งกับทางทีมงานและขอให้เก็บตัวอยู่ที่บ้าน
1
ซึ่งคุณป้าท่านนี้ก็มีอาการไอจามอยู่แต่ตัวเองคิดเองว่า
เป็นแค่หวัดธรรมดาไม่ใช่โควิด-19 ป้าแกจึงยังเดินทางมาโบสถ์รวมไปถึงยังใช้ชีวิตทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง
ใช้รถโดยสารประจำทางไปตามเมืองต่างๆ ไปโซล
ไปงานแต่งงานเพื่อน ไปเดินห้าง ไปร้านอาหาร
ต่อมาคุณป้าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จึงได้รับเข้าการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
โดยในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล ป้าแกก็มีไข้ ไอ จาม
คุณหมอจึงขอตรวจไวรัสโควิด-19 แต่ป้าแกไม่ยอมโดยอ้างว่าตัวเองไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศจะติดเชื้อได้ยังไง
แล้วป้าแกก็ออกจากโรงพยาบาลนี้ ไปโรงพยาบาลอื่นเพื่อรักษาอาการไข้ต่อ หมอที่โรงพยาบาลอื่นก็จะขอตรวจแต่แกก็ปฏิเสธจนผ่านไปสี่โรงพยาบาลแล้วอาการป้าแกก็ไม่ได้ดีขึ้น แถมอาการยังเพิ่มมากขึ้นป้าจึงยอมให้ตรวจโควิด-19 แล้วผลก็ออกมาว่าป้าแกติดเชื้อไวรัสนี้
เป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 31 ในเกาหลีใต้
ทางสาธารณสุขเกาหลีใต้จึงได้ตรวจเช็คเส้นทางการเดินทาง
ของป้าแกว่าเดินทางไปแห่งไหนบ้าง มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับใครบ้าง
ซึ่งทางกองควบคุมโรคเกาหลีใต้พบว่ามีคนพบปะป้าแก
ถึง 1,100 กว่าคน ทางการสั่งให้คนจำนวนนี้กักตัวเองอยู่แต่ในบ้านและรีบตรวจหาเชื้อทันที ทั้งยังสั่งปิดห้างสรรพสินค้าที่ป้าแกเคยไปทั้งหมดเพื่อฆ่าเชื้อ และโบสถ์ที่ป้าแกไปอยู่บ่อยๆ ด้วย แล้วจำนวนผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้
ก็พุ่งขึ้นมาหลายร้อยคนอย่างที่เราเห็นกันในวันนี้
การที่ตัวเรามีอาการที่เข้าข่าย แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่เป็นหรอกแค่เพียงคนเดียวมันก็สามารถสร้างผลกระทบวงกว้าง
ให้กับผู้คนได้มากขนาดนี้
ประเทศไทยเรายังอยู่ในระยะการระบาดที่เฟส 2
คือการระบาดจากการที่ติดเชื้อมาจากไปเมืองจีนมา
หรือคนขับรถส่งคนจีนโดยตรง
ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อเรายังอยู่นิ่งที่จำนวน 35 คน
ก็ไม่ควรประมาทแต่อย่างใด
เพราะทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์
มาเก๊า ฮ่องกง ประเทศเหล่านี้เคยมีจำนวนผู้ติดเชื้อน้อยกว่าเมืองไทยมาก่อนทั้งนั้น
แต่ในปัจจุบันกับได้ยกระดับการระบาดเข้าสู่เฟส 3 กันหมดแล้ว ซึ่งเฟส 3 คือ การระบาดจากคนสู่คนในวงกว้าง
โดยที่คนติดเชื้อไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง
กับต้นทางของเชื้อโดยตรงเลย ตัวอย่างเช่นเกาหลีใต้
ที่คนติดเชื้อช่วงหลังหลายร้อยคน
ไม่ได้มีกิจกรรมไปพื้นที่เสี่ยงเลย
นักวิชาการไทยหลายท่านต่างแสดงความกังวล
จากสถานการณ์ทั่วโลกโดยเฉพาะในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
สองประเทศที่มีคนไทยเดินทางไปเที่ยวในแต่ละปีมากที่สุด
อาจมีโอกาสทำให้ไทยเข้าสู่การระบาดในเฟสที่ 3
หน่วยงานทางสาธารณสุขของไทย
ต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ไทยเข้าสู่เฟสที่ 3 ให้ช้าที่สุด
เพราะว่าในตอนนี้จำนวนบุคลากรทางการแพทย์
เครื่องมืออุปกรณ์ของไทยเรายังไม่พอเพียงต่อการรับมือ
การแพร่ระบาดในวงกว้าง หากการระบาดในไทยเรายกระดับเฟส 3 หน่วยงานแพทย์จะรับไม่ทัน รวมทั้งไม่สามารถดูแลผู้ป่วย ได้อย่างพอเดียงเหมือนอย่างที่ประเทศจีนกำลังประสบกันอยู่ที่หมอนางพยาบาลมีไม่พอต่อรักษาคนไข้
2
เราจำทำยังไงเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเราเข้าสู่เฟสที่ 3
หรือให้เข้าได้ช้าที่สุด
เราจะหวังพึ่งแต่หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานสาธารณสุข
ให้ช่วยคัดกรองคนไข้เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้
พวกเราควรต้องช่วยกันโดยเริ่มจากไม่ไปพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกมาข้างนอก
ล้างมือทำความสะอาดบ่อยๆ พยายามไม่เอามือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ทุกเช้าหมั่นเช็คอาการที่ปอดตัวเองทุกเช้า
โดยให้หายใจลึกๆ สูดเข้าไปค้างไว้ที่ปอดแล้วกั้นหายใจ 10 วินาทีขึ้นไป หากเราทำได้โดยไม่มีอาการไอ หรือแน่นหน้าอกแสดงว่าปอดของเราปกติ
งดเลี่ยงเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดอย่างรุนแรงในเฟส 3 อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเก๊า ฮ่องกง สิงคโปร์ในช่วงนี้ เพราะหากเราไปยังประเทศพวกนี้แล้วเดินทางกลับมา
หากที่สนามบินตรวจพบว่าเรามีไข้เราก็จะถูกกักตัว 14 วัน
แต่หากตรวจแล้วไม่พบว่ามีไข้เราก็กลับบ้านได้ แต่รู้ไหมว่า
มีคนที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการออกมาเพราะร่างกายยังแข็งแรงอยู่ แต่ร่างกายเราจะเป็นพาหะ สามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ หากเราอยู่บ้านคนเดียวไม่มีใคร
ไม่ได้เดินทางไปไหน อยู่บ้านอย่างเดียวอีกอย่างน้อย 14 วัน
ก็คงไม่เป็นไร แต่หากที่บ้านเรามีเด็ก มีผู้สูงอายุอยู่ด้วย
เราอาจจะนำเชื้อมาแพร่ให้พวกเขาเหล่านี้ได้
และในวัยผู้สูงอายุคือวัยเสี่ยงที่จะเป็นผู้ป่วยโควิด-19
แบบวิกฤตมากที่สุด เราคงไม่อยากเป็นพาหะแพร่เชื้อเป็นแน่
และหากเรามีอาการป่วยใกล้เคียงกับโควิด-19 ขึ้นมา
ให้คิดว่าโรคจะมาจบที่ตัวเรา แยกตัวจากคนรอบข้าง
ใส่หน้ากาก ไม่แพร่เชื้อกระจายไปยังผู้อื่น
แล้วรีบไปตรวจเชื้อเพื่อรู้ผลอย่างทันที
อย่าคิดไปเองว่ายังไงเราก็ไม่น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อ
เพราะหากปล่อยไว้ผลเสียอาจกระจายวงกว้างอย่างที่เรานึกไม่ถึง เหมือนอย่างเคสคุณป้าที่เมืองแทกูประเทศเกาหลีใต้
หากเราทุกคนพยายามช่วยกันดูแลป้องกันตัวเองและครอบครัวอย่างดี มันก็จะเป็นประการด่านแรกที่จะช่วยให้ประเทศไทยของเราไม่ยกระดับไปสู่เฟส 3
การป้องกันเริ่มต้นได้ที่ตัวเราทุกคนครับ...
หากชื่นชอบบทความ
ฝากกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์
เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ
1
ปั่นเรื่อง เป็นภาพ
โฆษณา