24 ก.พ. 2020 เวลา 10:41 • ไลฟ์สไตล์
ทไมชีวิตจึงมีอุปสรรคมาก???
คำสอนหลวงปู่🙏🙏🙏
โยมอย่าประมาทในกุศลอยู่ ความตายไม่เลือกหน้า ผู้ดี ยาจก อะไรตายทั้งหมด จะเป็นสมณชีพราหมณ์ก็ต้องตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ชีวิตหลังความตายน่ะไม่เหมือนกัน เพราะอะไรเล่าจ๊ะ เพราะก่อนตายโยมทำอะไรมา..
เค้าจึงบอกว่าทาน..ถ้าโยมยังไม่ทำโยมก็ให้ทำซะ จิตกุศล..มันมีน้อยโยมก็สร้างซะ ศีล..เมื่อไม่เคยรักษาหรือรักษายังไม่ค่อยได้ก็รักษาซะ ภาวนาฝึกอบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละ ให้รู้จักการให้หรือไม่ บางคนบอกไม่มีทรัพย์ จะเอาอะไรไปให้ สละความสุข สละอารมณ์ที่เป็นอกุศล ก็เรียกว่าอโหสิกรรม..เคยมีมั้ยจ๊ะ
มีเคล็ดลับอยู่อย่างว่า ในทางโลกของมนุษย์ที่มีอุปสรรคมาก เป็นเพราะมนุษย์นั้นขาดการอโหสิกรรม เจ้ากรรมนายเวรหรืออารมณ์นั้นที่มันควบคุมไม่ได้นี้ มันเหนือกว่าเรานี้ มันจึงติดตามเป็นเงาหรือเป็นความมืด เมื่อมีความมืดโยมจะเห็นมันมั้ยจ๊ะ อ้าว..มันก็ย่อมบดบัง สิ่งที่ควรจะได้กลับไม่ได้ สิ่งที่ควรจะมีกลับไม่มี สิ่งที่มีแล้วมันถูกบังไป..เราก็มองไม่เห็น
ดังนั้นแล้วถ้าต้องการให้อุปสรรคในทางชีวิตก็ดี ในทางธรรมก็ดีทางโลกก็ดี โยมต้องเจริญเมตตาภาวนาจิตด้วยการอโหสิกรรมเป็นอภัยทาน นี้เมื่อโยมมีทานแล้ว..ศีลมันก็เกิดเองโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติของมัน เมื่อศีลบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิด เมื่อปัญญาบังเกิด..วิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันต้องมีขั้นตอนมีองค์ประกอบของมัน
ดังนั้นโยมต้องให้ทาน ทานคือการให้โดยไม่หวังผล ทานคือการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ถ้าทานนั้นให้แล้วหวังผลทานนั้นจะไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อทานไม่สัมฤทธิ์ผลทานไม่บริสุทธิ์ ศีลที่โยมจะรักษาและสัมผัสในความสงบระงับจากเวรภัย..ย่อมเข้าไม่ถึงได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ การจะเกิดทานที่เป็นมหาทาน ก็คือการให้อภัยทาน ที่มนุษย์นั้นมันให้กันยาก
เหตุใดถึงให้กันยาก ก็เหตุเพราะว่ามนุษย์นั้นมีอัตตาจึงเข้าถึงอนัตตาไม่ได้..แห่งความปล่อยวางแห่งอารมณ์โทสะก็ดี ถือตัวถือตนก็ดี สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในจิตวิญญาณแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วจะทำอย่างไร..มันก็ต้องให้ทานเสียก่อน ให้เมตตา ให้กรุณา ให้มุทิตา คือเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายก็เกิดมาร่วมเกิดแก่เจ็บตายกับเรา มนุษย์ทั้งหลายก็มีอารมณ์แบบเดียวกับเราคือโทสะ คือโมหะ คือโลภะ คือมีความอยากได้ใคร่ดี..ก็แบบเดียวกัน
ใครทำให้เรานั้นเหม็นขี้หน้า ไม่ชอบหน้า..ล้วนแล้วตัวเรานั้นแลทำให้เราเกิดกรรมขึ้นมา ไม่ต้องไปโทษใคร จงให้อภัยทุกคน เพราะเพียงลำพังกรรมของเค้าเค้าก็แย่อยู่แล้ว ฝึกจิตให้เกิดเมตตา เมื่อเราไม่พอใจใครให้เราเมตตา แผ่เมตตาส่งกุศลให้เค้า คืออภัยทานให้มาก นั่นแหล่ะจ้ะเค้าเรียกการ..ฝึกเมตตา
เพราะถ้าโยมไม่ชอบหน้าใคร..แล้วมีการผูกใจเจ็บ ไม่มีทางหรอกจ้ะที่โยมจะต้องพ้นหน้ากัน โยมต้องเจออยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เจอคนนี้ไอ้คนใหม่มันก็เข้ามา จำไว้นะจ๊ะ ถ้าโยมไม่อยากเจอคนแบบนี้คนพาลก็ดี โยมจงแผ่เมตตาให้มากๆ การแผ่เมตตามากๆมันจะทำให้เรานั้นห่างไกล แต่การผูกจิตมันทำให้ใกล้มั้ยจ๊ะ..
อ้าว..ก็เราผูกจิตไปพยาบาทระลึกถึงมันทุกวัน..มันก็ใกล้สิจ๊ะ แต่ถ้าเราแผ่เมตตาให้เค้า..ใจเราจะสบาย คือไม่ผูกอาฆาตพยาบาท หมายถึงว่าเรานั้นเมื่อแผ่บ่อยๆอโหสิกรรมบ่อยๆ..อภัยทานบ่อยๆ กรรมเรานั้นยุติได้..หาย แต่ถ้าเค้านั้นไม่วาง ยังมีความอาฆาตพยาบาทของจิตกับเราอีก..มันก็เรียกว่าเผาตัวเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าพยาบาทกับผู้ที่ไม่พยาบาทตอบ..อย่างนี้
เมื่อเราไม่มีเชื้อแล้ว ไม่ว่าเค้าจะส่งทำคุณไสยคุณลมอะไรเราก็ดี ยิงธนูไฟมาก็ดี ถามว่ามันจะกลับไปที่ใคร มันก็ต้องกลับไปที่บุคคลที่ทำมา เพราะมันหาเป้าหมายไม่ได้ ไม่มีผู้ที่จะรับ มันต้องกลับไปที่เดิมมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ที่เดิม) แต่ส่วนมากไม่ค่อยกลับ ส่วนมากจะรับ..เออว่าของกู ตะกี้มึงว่ากูใช่มั้ย นี่เค้าเรียกว่ามีตัวตนมันเป็นอย่างนี้..
ฉันขอเตือนไว้ให้โยมนั้นละตน เตือนตน เมื่อโยมมีตนมากเท่าไหร่โยมก็มีกรรมมากเท่านั้น โยมละตนได้มากเท่าไหร่กรรมโยมก็น้อยเท่านั้น เมื่อไม่มีตนเลยก็หมดกรรมเมื่อนั้น นั้นก็ต้องเตือนตนด้วยสติอยู่บ่อยๆ เตือนตนรักษาตน
เมื่อเราเห็นโทษแบบนี้แล้วไซร้ กำหนดรู้ได้ เราจักเมตตาผู้อื่นเค้า เมื่อนั้นแลเราจักไม่มีเวรพยาบาทกับใคร จะไม่โทษใครว่าใครผิด นั่นคือการวางเฉยเสียได้แล้ว คือถ้าใครผิดให้ผิดนั้นเป็นเรา เราจะให้อภัยกับคนทั้งโลกได้
ถ้าโยมให้อภัยตัวเองไม่ได้ ให้อภัยใครไม่ได้ นั่นคืออกุศล โยมย่อมเข้าถึงทาน เข้าถึงบุญ เข้าถึงศีล เข้าถึงพระรัตนตรัยไม่ได้ แม้โยมไปร่วมสร้างโบสถ์วิหารก็หาว่าเป็นสำเร็จเป็นโบสถ์วิหารเป็นหลังไม่ เพราะทานโยมไม่บริสุทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้น ผู้ใดเจริญภาวนาจิต..สงบระงับจากเวรภัยภายนอก แล้วมีจิตที่เมตตาแผ่บุญกุศลออกไปที่การละความพยาบาทอาฆาตมาดร้าย ให้ผลแห่งบุญกุศลให้ทุกสรรพสัตว์ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณนั้น เขาพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวรพ้นภัย ให้เขาสำเร็จสุขทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ย่อมมีอานิสงส์มากเท่ากับการได้สร้างโบสถ์ ๑ หลัง โดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินตรา
เพราะเงินตรานั้นเป็นของสมมุติ แต่ใจที่โยมมีความศรัทธานั่นแล เมื่อกระทำแล้ว สำรวมแล้ว เข้าถึงแล้วการสัมผัสด้วยความสงบด้วยใจ นั้นคือลงทุนด้วยบุญฤทธิ์ที่ได้เคยสะสมมา เมื่อเป็นแบบนั้นก็เรียกว่าใจนั้นเกิดฤทธิ์ เมื่อใจเกิดฤทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงย่อมสำเร็จด้วยใจ คือนะเมตตา...เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
โฆษณา