25 ก.พ. 2020 เวลา 06:31 • กีฬา
ลิเวอร์พูลชุดนี้ มีความคล้ายแมนฯยูไนเต็ดปี 2008-09 และ แมนฯซิตี้ปี 2017-18 นั่นคือ ไม่ว่าจะทำอะไรสุดท้ายจะลงเอยด้วยชัยชนะเสมอ
ในเกมชนะเวสต์แฮม ในศึกมันเดย์ไนท์ แน่นอนลิเวอร์พูลมีโชคมาช่วยเล็กๆ แต่เหนือกว่าโชคนั้น คือการวางแท็กติกที่ถูกต้องของคล็อปป์ต่างหาก และนี่คือบทสรุป 22 ข้อ จากเกมที่แอนฟิลด์
1) ลิเวอร์พูล ปรับ 11 ตัวจริงแค่ 1 ตำแหน่งเท่านั้น จากเกมแพ้แอตเลติโก้ มาดริด โดยไม่มีจอร์แดน เฮนเดอร์สันที่บาดเจ็บ และเลือกใช้งานนาบี เกอิต้าแทนที่ แผงแบ็กโฟร์ที่ลงตัวแล้ว ไม่มีการสลับแน่นอน ชุดนี้จะยืนระยะกันอีกยาว
ส่วนตัวสำรองการที่จอร์แดน เฮนเดอร์สันเจ็บไป ทำให้มีพื้นที่ว่างในสล็อตนักเตะ และทาคุมิ มินามิโนะ จึงกลับมามีชื่ออีกครั้ง หลังจากที่เกมลีกนัดที่แล้วกับนอริช ไม่มีชื่อในสล็อตตัวสำรอง
2) ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูลกำลังมีความสุข โค้ชดี นักเตะดี เจ้าของทีมดี แต่ตอนนี้เวสต์แฮม ประสบปัญหาแฟนบอลกับเจ้าของทีมไม่ลงรอยกัน มีการตั้งแคมเปญชื่อ GSB Out ย่อจาก G- เดวิด โกลด์, S-เดวิด ซุลลิแวน และ B-คาร์เรน เบรดี้ สองคนแรกคือเจ้าของร่วมของเวสต์แฮมถือหุ้น 50% เท่ากัน ส่วนเบรดี้ คือซีอีโอของสโมสร
แฟนเวสต์แฮมเชื่อว่าปัญหาหลักของทีม ทั้งๆที่มีสนามใหญ่โต มีแฟนบอลหนาแน่น แต่ไม่ประสบความสำเร็จได้เสียที ได้แต่หนีตกชั้น เพราะวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ดังนั้นจึงออกนโยบายต่อต้าน
ประเด็นคือ ถ้าหากไปชูป้าย GSB Out ที่ลอนดอน สเตเดี้ยมบ้านตัวเอง แฟนบอลคนนั้นจะโดนสโมสรสั่งแบนไม่ให้เข้ามาชมเกม ดังนั้นนัดเยือน จึงเป็นเกมที่สามารถส่งสารออกไปได้ง่ายกว่าเวลาเล่นในบ้านตัวเอง
3) ก่อนเกมเริ่มมีการยืนไว้อาลัย 1 นาที ให้กับไบรอัน แจ๊คสัน นักเตะลิเวอร์พูลยุค 1950 ที่เสียชีวิตในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา จุดนี้ผมคิดว่าน่าสนใจดี เพราะแจ๊คสันไม่ใช่ผู้เล่นที่ดังเลย เขาอยู่กับหงส์มา 7 ปี ในดิวิชั่นหนึ่ง 3 ปี และ ดิวิชั่นสอง 4 ปี แถมไม่เคยได้แชมป์อะไรกับลิเวอร์พูลเลยแม้แต่รายการเดียว เล่นรวมทุกรายการไปแค่ 132 นัดเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น สโมสรก็ยังแสดงการไว้อาลัยให้ เหมือนจะเป็นการบ่งบอกว่า ถ้าครั้งหนึ่งคุณมาเล่นเพื่อเราแล้ว เราไม่มีวันลืมคุณ แม้คุณจะเป็นสตาร์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ once a red, always a red
4) แต่ที่เวสต์แฮมใส่ปลอกแขนสีดำนี่คนละเรื่องกันนะครับ เวสต์แฮมใส่เพื่อระลึกถึง บ๊อบบี้ มัวร์ นักเตะในตำนานของสโมสรที่เสียชีวิตวันที่ 24 ก.พ.1993 คือนัดนี้แต่ละทีมก็ต่างระลึกถึงนักเตะของตัวเองกัน
5) ลิเวอร์พูลเปิดฉากอย่างคึกคักด้วยการเพรสซิ่งตั้งแต่ต้นเกม เราเห็นจังหวะที่ฟาเบียนสกี้ จะต่อบอลสั้นจากหน้าโกล์แล้วเกือบโดนมาเน่ฉกบอลได้ ทำให้เพลย์ต่อมา ต้องใช้การสาดบอลยาวจากหน้าประตู ลิเวอร์พูลถือว่าเริ่มต้นได้น่ากลัว และดูคุกคามมาก
6) ประตู 1-0 ของลิเวอร์พูลเกิดจากการครอสบอลที่เพอร์เฟ็กต์ของเทรนต์ มาถึงไวจ์นัลดุม ก่อนโหม่งเข้าไป แต่จุดที่น่าสนใจมากกว่า คือก่อนที่เทรนต์จะได้ครอส จังหวะนี้ซาลาห์โดนเสียบเสียบอล บอลเด้งไปเข้าทางเกอิต้า เกอิต้าเล่นชิ่ง 1-2 กับซาลาห์ และชิ่ง 1-2 กับฟีร์มีโน่อีกที คือลูกนี้ทำให้คิดถึงเมสซี่เวลาเล่นกับบาร์ซ่าเลย วิ่งทะลวงด้วยตัวเองโดยทำชิ่งสั้น 1-2 กับเพื่อนไปเรื่อยๆ
เกอิต้าสามารถเป็นอาวุธใหม่ให้หงส์แดงได้ในอนาคต การชิ่งสั้นๆแบบนี้ ไม่เคยเห็นกองกลางคนอื่นของลิเวอร์พูลทำมาก่อน ช็อตนี้ถือว่าแตกต่างดีทีเดียว น่าเสียดายที่ถ้าไม่นับช็อตนี้เขาเงียบไปนิดในเกมนี้
7) จากนั้นเวสต์แฮมบุกขึ้นมาและเรียกเตะมุมได้ เตะครั้งที่ 1 เป้าหมายคือโยนตรงกลางประตู แต่โดน เวอร์จิล ฟาน ไดค์โหม่งเคลียร์ออกไปได้ จากนั้นเตะมุมครั้งที่ 2 ก็พยายามลองมุกเดิมอีกครั้ง ยัดมาตรงกลางแต่ก็โดนฟาน ไดค์ โหม่งเคลียร์ออกไปได้อีก ซึ่งเวสต์แฮมเห็นแล้วว่า ยังไงก็ผ่านฟาน ไดค์ไม่ได้ มาถึงเตะมุมครั้งที่ 3 คราวนี้พวกเขารู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์ถ้าเล็งไปยังจุดที่ฟาน ไดค์ยืนอยู่
สน็อดกราสส์เล็งที่โจ โกเมซ ในเสาแรกแทน อิสซ่า ดิย็อป เกร็งคอโหม่งเข้าประตูไป อลิสซอน เบ็คเกอร์พยายามปัดแล้ว แต่เอาไม่อยู่ คือลูกนี้โทษอลิสซอนได้ไหม ผมว่าไม่ได้ เพราะเขาโดนอันโตนิโอบังเอาไว้นิดนึงทำให้เสียจังหวะ พยายามพุ่งแล้วแต่ก็ปัดไม่อยู่
ลูกนี้ลิเวอร์พูลสับสนแค่เสี้ยววินาที โกเมซโดนดึงความสนใจจากดีแคลน ไรซ์ ทำให้โดนดิย็อปขยับมาสกรีนเอาต์ บังด้านหน้าไว้ ส่วนไวจ์นัลดุมก็ลืมคำสั่งให้เฝ้าเสาแรก ทะยานออกมาออกจากริมเส้น สุดท้ายก็เลยกลายเป็นประตูตีเสมอ 1-1
8 ) ใน 2 เกมหลังสุด ลิเวอร์พูลเสียประตูจากเตะมุมนัดละลูก และมีลักษณะคล้ายๆกัน คือเตะมุมทางด้านขวา มายังจุดที่แนวรับหงส์สับในในการยืน จนโดนยิงเข้าไป จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังต่อไป เพราะคู่แข่งย่อมเห็นแล้วว่าทำแบบไหน ถึงจะเจาะลิเวอร์พูลได้
9) คู่แข่งเอง ก็ทำการบ้านลิเวอร์พูลมาไม่น้อยเหมือนกัน ในช่วงครึ่งแรก เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีมเวสต์แฮม เซ็ตแผน 4-1-4-1 แบบไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติ หน้าเป้าใช้มิคาอิล อันโตนิโอ ซึ่งจริงๆก็เป็นกองกลาง เอาไว้เล่นเกมรับ แล้วค่อยหาจังหวะฉกฉวยจากลูกเซ็ตพีซเอา
10) ครึ่งแรก ไม่ใช่ฟอร์มที่ดีของลิเวอร์พูล แม้จะมีโอกาสจบหลายหนก็เถอะ แต่ในดีเทลของเกม ไม่ได้เล่นดีกว่าเวสต์แฮมเลย ซึ่งคล็อปป์เองก็รู้ คล็อปป์ให้สัมภาษณ์ติงลูกทีมเรื่องของสมาธิ โดยเฉพาะการเก็บบอลสอง คล็อปป์บอกว่า เวลาโดนครอสหรือโยนบอลให้ คุณจะแย่งโหม่งแล้วแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พอในจังหวะบอลหลุดออกมา ต้องมีสมาธิในการวิ่งไปแย่งบอลมาให้ได้ ซึ่งนักเตะยังทำได้ไม่ดีตรงนี้
11) ครึ่งหลังเวสต์แฮมนำอีก 2-1 อันนี้จะโทษใครก็ไม่ได้เต็มปาก ต้องให้เครดิตคนยิง ปาโบล ฟอร์นัลส์ ที่มายืนในตำแหน่ง Between the lines จุดตรงกลางระหว่างไลน์กองหลัง กับไลน์กองกลาง และดีแคลน ไรซ์ ก็จ่ายได้เพอร์เฟ็กต์จริงๆ ซึ่งลูกยิงของฟอร์นัลส์ก็ไม่ง่ายนะครับ หักข้อเสาสองในมุมแบบนั้น คือเขาทำได้สมบูรณ์จริงๆ
12) พอเสีย 2-1 คล็อปป์ต้องรีบแก้เกมเลย เพราะโมเมนตั้มมันไม่ได้แล้ว จากเวสต์แฮมเล่นเกมรับ 70% คราวนี้สามารถอุด 100% ได้เลย ตำแหน่งที่คล็อปป์ต้องเปลี่ยนคือกองกลาง เพราะเกอิต้า กับ ไวจ์นัลดุม ได้บอลแล้วเคาะสั้น มันไม่สามารถทะลวงเกมรับหนาแน่นของเวสต์แฮมได้ ต้องส่งอ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งเป็นนักเตะสไตล์วิ่งทะลวง และกล้าได้กล้าเสียลงเล่นแทน เพื่อเจาะแนวรับเวสต์แฮม
จริงๆเกอิต้า ที่โดนเปลี่ยนก็ไม่ได้เล่นแย่อะไรขนาดนั้น เขาจ่ายบอลเข้าเป้าถึง 89.7% ในนัดนี้ แต่คล็อปป์ต้องแก้เกมเร็ว ไม่งั้นไม่สามารถคัมแบ็กกลับมาได้แน่
13) ลิเวอร์พูลโหมบุกหนักมาเรื่อยๆ และมาได้ประตู 2-2 จากความโชคดี เพราะลูกยิงของ โม ซาลาห์ มันเบามาก ฟาเบียนสกี้น่าจะรับได้ง่ายๆ แต่เขากลับปล่อยบอลลอดขาเข้าไปเลย ซึ่งนี่เป็นครั้งที่ 2 ในซีซั่นนี้แล้ว ที่ลิเวอร์พูลได้ประตูแบบโกล์พลาดแบบนี้ ก่อนหน้านี้ในเกมกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไวจ์นัลดุมซัดบอลมาตรงตัวดีน เฮนเดอร์สัน ก็ปล่อยบอลปลิ้นลอดขาเข้าเหมือนกัน
ถ้าไม่มี 2 ประตูรับพลาด (เชฟฯยู ,เวสต์แฮม) แต้มหงส์แดงจะหายไป 4 คะแนนเลยนะ ถือว่าซีซั่นนี้ นอกจากจะเล่นดีแล้ว ก็ยังมีดวงด้วย
14) แต่อีกจุดหนึ่งที่หลายคนอาจไม่สังเกต เพราะไปโฟกัสที่โชคดวงของซาลาห์ คือจังหวะการขึ้นเกม ถ้าสังเกตดีๆ บอลจังหวะนี้เริ่มจากเวสต์แฮมจ่ายบอลพลาดไปเข้าเท้าอลิสซอน ทันทีที่อลิสซอนได้บอลแล้วจ่ายสั้นให้โกเมซ อยากให้สังเกตว่า โรเบิร์ตสันสปรินท์ตัวไปริมเส้นด้านซ้ายแล้ว ทันทีที่เปลี่ยนจากรับเป็นรุก บรรดาฟูลแบ็กวิ่งไปกดดันคู่แข่งทันที
จากนั้นโกเมซจ่ายยัดมาให้อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่คล็อปป์เพิ่งเปลี่ยนลงมา ซึ่งด้วยความที่อ็อกซ์ เป็นนักเตะที่วิ่งทะลวงผ่ากลางได้ดีมาก นั่นทำให้กองหลังของเวสต์แฮม ต้องเล่นแบบ Compact คือบีบแคบๆรวมตัวกันในเขตโทษ เพื่อระวังการลุยมาตรงกลาง คือถ้าคนได้บอลเป็นเกอิต้า กองหลังเวสต์แฮมก็ไม่ต้องบีบแคบแบบนี้ เพราะเกอิต้าไม่เลี้ยงทะลวงด้วยตัวเอง เดี๋ยวเขาก็คายบอลสั้นให้เพื่อน
ทันใดนั้นเมื่ออ็อกซ์เห็นว่านักเตะของเวสต์แฮมเล่น Compact กันหมด โรเบิร์ตสันที่สปรินท์มาจากฝั่งตัวเอง ก็ยืนโล่งทันที เพราะไม่มีใครถ่างไปดักริมเส้น อ็อกซ์จึงครอสไปด้านซ้ายให้โรเบิร์ตสันวิ่งเติมมาเอาบอล แล้วแอสซิสต์ให้ซาลาห์ยิงประตู
ดังนั้นจังหวะนี้ ไม่ใช่แค่ดวง แต่เป็นการเอาชนะกันในเชิงแท็กติก ส่งตัวลุยมาตรงกลาง เพื่อให้คู่แข่งระวังตรงกลาง ไม่ระวังด้านข้าง แล้วก็ใช้การโจมตีด้านข้างเล่นงานอย่างเจ็บแสบ แต่แน่นอน หลายคนจะโฟกัสกันมากกว่าว่าลิเวอร์พูลโชคดี ใช่ โชคดีก็จริง แต่โชคดีนั้นมันไม่ได้ลอยมาจากฟ้า คุณก็ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเองเช่นกัน
15) ส่วนลูก 3-2 มุมหนึ่งก็บอกว่าเป็นโชคได้ เพราะลูกยิงของโกเมซมันแฉลบมาเข้าทางอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์พอดี แต่อยากให้ดูจุดเริ่มต้นของประตูเช่นกัน ว่ามันไม่ได้มาจากดวงแม้แต่น้อย แต่มาจากอาวุธไม้ตายของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่ชื่อเกเก้นเพรสซิ่ง
"เกเก้นเพรสซิ่ง" คือทันทีที่คู่แข่งแย่งบอลได้แล้วพยายามจะสวนขึ้นมา วินาทีนั้นให้คุณเพรสซิ่งอย่างหนักเพื่อเอาบอลคืนทันที ซึ่งเมื่อคู่แข่งโดนแย่งบอลคืนอย่างกะทันหัน เกมรับจะเสียสมาธิ และมีโอกาสมาก ที่ฝ่ายที่ใช้เกเก้นเพรสซิ่งจะทำประตูได้
สังเกตจังหวะที่ได้ประตูนะครับ เวสต์แฮมตัดบอลได้ปั๊บ รีบจ่ายบอลมาให้ฮัลแลร์เพื่อเตรียมสวน เสี้ยววินาทีนั้น อันโตนิโอ ที่ยืนมิดฟิลด์ริมเส้นด้านซ้าย ซึ่งประกบอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ใน 5 วินาทีก่อนหน้านี้ เขาดันขึ้นมาเตรียมช่วยฮัลแลร์ในการสวนกลับด้วย
แต่ยังไม่ทันที่ฮัลแลร์จะได้จับบอล โจ โกเมซ ใช้เกเก้นเพรสซิ่งบีบมาแย่งบอลคืนได้ทันที และวิ่งหวดยิงนอกเขตโทษแฉลบมาร์ก โนเบิ้ล บอลไปตกที่ด้านขวาของกรอบเขตโทษ และเป็นเทรนต์ ที่สปรินท์มาเอาบอล จ่ายต่อให้มาเน่ ยิงโล่งๆเข้าไป
เมื่อเวสต์แฮมตัดบอลได้ ทำให้อันโตนิโอซึ่งควรจะยืนป้องกันเทรนต์ไม่ให้เข้าไปตรงนั้นได้ วิ่งดันขึ้นมาเพื่อจะสวน แต่พอโดนเกเก้นเพรสซิ่งแย่งบอลคืนไป ทำให้อันโตนิโอเสียตำแหน่งทันที และลงท้ายด้วยการเสียประตูในที่สุด
ดังนั้นก็จะพูดเหมือนลูกที่ 2 ว่าภายใต้สิ่งที่ดูเหมือนโชค แต่มันเป็นการวางกลยุทธ์ที่เฉียบคมของคล็อปป์ต่างหาก
16) ส่วนประตู 4-2 ที่ลิเวอร์พูลยิงเข้าแต่โดน VAR แคนเซิลก็ถูกต้องแล้ว เพราะซาดิโอ มาเน่ล้ำหน้าจริงๆ ซึ่งลูกนี้ถ้ามาเน่ปล่อยให้ตัวหลังยิง ก็จะไม่ล้ำหน้า แต่ใครมันจะไปคิดทัน เมื่อมีโอกาสก็ต้องซัดไปก่อน
17) วันนี้เกมรับของลิเวอร์พูลมีปัญหาจริงๆ นาทีที่ 88 เกือบโดนจาร์ร็อด โบเว่นตัวสำรองของเวสต์แฮมยิง แต่ต้องชมอลิสซอน เบ็คเกอร์ที่ ออกมายืนบังมุมได้ไวมาก และรู้ด้วยว่าโบเว่น ถนัดซ้าย ยังไงก็ต้องแต่งยิงเท้าซ้ายแน่ ดังนั้นจึงเลือกปิดมุมเสาแรกที่จะยิงซ้ายได้ และเสี่ยงเปิดมุมขวาเพราะมั่นใจว่าโบเว่นไม่ใช้ขวายิงแน่ สุดท้ายอลิสซอน ก็เซฟได้จริงๆ ลูกนี้เป็นสกิลของนายทวารล้วนๆ
18) ทด 5 นาทีลิเวอร์พูลชนะไป 3-2 อย่างระทึกขวัญ นัดนี้คล็อปป์ไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นครบทั้ง 3 ตำแหน่งด้วย เพราะทีมกำลังเล่นได้โอเคแล้ว เมื่อทีมดีอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนให้ครบ อย่าลืมว่าส่งสำรอง 1 คน กรรมการก็ทดเพิ่มไปอีก 30 วินาที ดังนั้นถ้ามั่นใจว่าทรงทีมเอาอยู่ ก็ไม่ต้องส่งสำรองให้ครบดีกว่า
19) หลายๆเกมที่ผ่านมา แนวรุกของลิเวอร์พูลอาจจะฝืด ก็ได้กองหลังคลีนชีทรัวๆ จนทีมเก็บ 3 แต้มได้ นัดนี้ก็แค่สถานการณ์กลับกัน กองหลังอาจมีพลาดให้เห็นบ้าง แต่แนวรุกก็ช่วยกันยิงจนเก็บ 3 แต้มได้อีกครั้ง
20) แมน ออฟ เดอะ แมตช์เกมนี้ บีบีซีให้เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเช่นกัน กับ 2 แอสซิสต์ที่เขาทำได้ และโอกาสมากมายที่สร้างในนัดนี้ จริๆเทรนต์ก็เกือบยิงประตูได้ด้วย แต่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา
ณ เวลานี้ เทรนต์แอสซิสต์ไปแล้ว 12 หนในพรีเมียร์ลีกกฤดูกาล 2018-19 สำหรับสถิติสูงสุดตลอดกาลของกองหลังในพรีเมียร์ลีก คือแอสซิสต์ 12 หนในซีซั่นเดียว เจ้าของสถิติก็คือเทรนต์เองนั่นล่ะ ในฤดูกาลที่แล้วนั่นเอง ดังนั้นในปีนี้เหลือเกมให้เล่นอีกตั้ง 11 นัด โอกาสที่อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์จะทำลายสถิติตัวเองได้มีสูงมาก
และแน่นอน ถึงตรงนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้แล้วว่าอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์คือแบ็กขวาเบอร์ 1 ของโลกชั่วโมงนี้ จริงๆก่อนซีซั่นเริ่ม เกมฟีฟ่าให้ค่าพลังเทรนต์ 83 ส่วนเกม PES ให้ค่าพลัง 84 น้อยกว่าทั้งไคล์ วอล์กเกอร์, ชูเอา คันเซโล่, ดาเนียล คาร์บาฆาล และโจชัว คิมมิช แต่แน่นอนว่าในซีซั่นหน้าเมื่อมีการอัพค่าพลังใหม่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์จะมีพลังขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกแน่นอนในตำแหน่งแบ็กขวา
21) ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า ลิเวอร์พูลชุดนี้ ถ้าเจอร์เก้น คล็อปป์ยังคุมอยู่ จะสร้าง Dynasty ขึ้นมา เหมือนกับที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำไว้กับแมนฯยูไนเต็ด ทำไมผมเชื่อแบบนั้น
เพราะอายุของนักเตะในทีม 11 ตัวจริงยังยืนระยะได้อีก 2-3 ซีซั่นสบายๆโดยไม่ต้องเปลี่ยนชุดตัวจริงเลย
อลิสซอน 27
เทรนต์ 21
ฟาน ไดค์ 28
โกเมซ 22
โรเบิร์ตสัน 25
ไวจ์นัลดุม 29
ฟาบินโญ่ 26
เฮนเดอร์สัน 29
ฟีร์มีโน่ 28
ซาลาห์ 27
มาเน่ 27
11 ตัวจริงที่ดีที่สุด ยังไม่มีใครถึง 30 สักคน พวกเขาสภาพร่างกายฟิตพร้อม แข็งแกร่งเต็มร้อย และประสบการณ์ก็จะมีพร้อมทั้งเกมยุโรป (ได้แชมเปี้ยนส์ลีกมาแล้ว) และเกมลีก (เตรียมได้แชมป์ลีกในซีซั่นนี้) และเป็นธรรมดาของทีมฟุตบอล คุณยิ่งเล่นกันบ่อย ยิ่งรู้ใจกันเท่านั้น
22) แต่ก่อนจะไปว่ากันถึงการสร้าง Dynasty ต้องมาดูกันว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของคล็อปป์จะจบลงด้วยสถิติอะไรบ้าง ซึ่งมาถึงตรงนี้อีก 11 เกมจะจบฤดูกาล การจบซีซั่นแบบไร้พ่าย มันไม่ใช่เรื่องที่เกินความฝันอีกต่อไป
#Liverpool
โฆษณา