ขบวนการคิดค้นยาแต่ละชนิด กว่าจะได้ยาแต่ละตัวมาทดลองใช้ ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ปี แต่ถ้านำ AI เข้ามาช่วยทำงาน สามารถย่นระยะเวลาได้เหลือเพียง 1 ปี
.
การค้นพบครั้งนี้ของนักวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นการค้นพบยาปฏิชีวนะชนิดใหม่โดยใช้ AI และทำให้โลกเข้าสู่ยุคใหม่ของการวิจัยพัฒนา
.
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็มีข่าวการใช้ AI คิดค้นโมเลกุลยาครั้งแรกของโลกที่สามารถเอามาใช้ในการทดลองกับมนุษย์ได้ เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ OCD
.
สำหรับการค้นพบยาปฏิชวนะคราวนี้ มีจุดเริ่มต้นจากนักวิทยาศาสตร์ได้ฝึกฝน AI ให้วิเคราะห์โครงสร้างของยา 2,500 ชนิด และสารประกอบอื่น ๆ เพื่อค้นหายาที่มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียได้มากที่สุดที่สามารถฆ่าเชื้ออีโคไล ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้ในลำไส้ของคนและสัตว์ ทำให้เกิดอาการ ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ และอาจรุนแรงเป็นภาวะขาดน้ำ หรือไตวาย
.
อัลกอริทึมของ AI ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์สารเคมีมากกว่า 100 ล้านชนิดภายในไม่กี่วัน และช่วยทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบยาปฎิชิวนะตัวใหม่ที่สามารถฆ่าแบคที่เรียที่อาจทำให้คนตายได้ถึง 35 ชนิด
.
การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม อาจจะเข้าไปทำอันตรายแบคทีเรียประจำถิ่นซึ่งอาศัยอยู่ในร่างกายคน และอาจเป็นผลทำให้เกิดการดื้อยา
.
องค์การอนามัยโลก และนักวิทยาศาสตร์ในวงการแพทย์ที่สำคัญให้ความเห็นว่า การค้นพบครั้งนี้เป็น A New Age ซึ่งหมายถึงยุคใหม่ของการวิจัยพัฒนาที่สามารถสร้างความแตกต่างจากขบวนการคิดค้นยาแบบเดิม
.
มีเอกสารทางวิชาการแสดงผลการทดลองครั้งนี้ และกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยทำให้ชุมชนทางวิชาการสามารถนำ AI ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
AI เข้ามามีบทบาทในวงการ Healthcare หรือการดูแลสุขภาพอย่างมาก ข่าวใหญ่ที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้แล้ว เช่น การฝึกฝน AI ที่สามารถทำหน้าที่วินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมจากแมมโมแกรม ซึ่งมันทำได้ถูกต้องแม่นยำมากกว่าหมอ และการวินิจฉัยอีกหลายโรคที่โดยปกติแล้วเป็นงานของหมอรังสีวิทยา แต่ AI ทำงานได้ดีกว่า
.
นับจากนี้ต่อไป จะได้เห็น AI มาคิดค้นเรื่องสำคัญใหม่ ๆ ในวงการแพทย์อีกมากมาย.....
.
.
.
.