12 มี.ค. 2020 เวลา 02:37 • ไลฟ์สไตล์
** trick and tips ** ซื้อของอย่างไรให้ได้ของตรงโจทย์ และ ทำยังไงให้ได้ส่วนลดพิเศษที่มากกว่าลูกค้าคนอื่นแบบระยะยาว
ภาพถ่ายโดย bruce mars
อันที่จริงแล้ว บทความนี้เขียนไว้นานพอสมควรแล้วครับ แต่ยังไม่มีโอกาศลงสักทีด้วยเหตุผล สามประการครับ
1.ผมชั่งน้ำหนักอยู่นานเพราะไม่ใช่เนื้อหาหลักของเพจเลยไม่เข้ากับธีมของเพจด้วย แต่ก็เขียนไว้ค่อนข้างยาวและเป็นข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์ครับเลยตัดสินใจโพสต์ลงดีกว่า
2.หาภาพประกอบยาก
3.เนื้อหาเสี่ยงที่จะเกิดการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างแอดมิน กับ Follower ได้
เอาเป็นแบบนี้แล้วครับ ถ้าสงสัย ไม่เห็นด้วย มีคำถามก็มาพูดคุยกันอย่างสุภาพแและสร้างสรรค์แล้วกันนะครับ
วันนี้ลองเขียนแชร์ประสบการณ์ จากที่ผมเคยทำงานสายบริการมาก่อน และ เคยลองใช้ทริคแบบที่เขียนในโพสต์นี้ในการตีซี้พนักงานร้านค้าต่างๆนะครับ จากที่มีประสบการณ์ทั้งสองมุม ทั้งมุมผู้ให้บริการ และ ผู้ใช้บริการ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยล่ะนะครับ
ในโพสต์นี้แอดมินจะมาแนะนำ วิธีคิด และ วิธีพูด สำหรับการซื้อของแบบ Walk in ไปที่หน้าร้าน แล้วถูกมองเป็นลูกค้าคุณภาพ ได้รับการปฎิบัติที่ดีกว่าปกติจากพนักงาน และ กลายเป็นลูกค้าคนสำคัญของร้านที่เราเข้าไปซื้อของ อย่าคิดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะคุณจะได้ทั้งข้อมูลสินค้าที่ตรงไปตรงมาโคตรๆชนิดที่ว่า อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี รุ่นนี้ลูกค้าคนอื่นซื้อไปแล้วเคลมเยอะ อันนี้ถูกกว่าและดีกว่าอีกตัวที่แพงกว่า และได้ส่วนลดพิเศษแบบคุณไม่ต้องถามเลยในสินค้าบางตัวที่ร้านนั้นๆพอจะให้ส่วนลดคุณได้
1.ลูกค้าคือพระเจ้า และ การวางตัวแบบพระเจ้า
ขอให้คุณคิดไว้เสมอว่าคุณที่เป็นลูกค้านั้น คือพระเจ้า คำว่าพระเจ้าถูกใช้โดยชาวคริสต์ และพระเจ้าตามความเชื่อของชาวคริสต์นั้นเป็นผู้สรรสร้างทุกอย่างในโลกใบนี้ และ เป็นผู้เมตตาตามสมควร เป็นผู้ให้ เป็นผู้สร้างบททดสอบ และพร้อมจะลงโทษคุณเสมอ เมื่อคุณทำอะไรผิด จริงๆ พระเจ้าเป็นตัวตนนึงที่แสดงถึงการมีอำนาจแบบมหาศาล แต่ในมุมกลับ พระเจ้าก็มีภาระอันหนักอึ้งเหมือนกัน
ภาพถ่ายโดย Craig Adderley
ถ้าอิงจากประโยคที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า คุณก็ควรทำตัวให้เหมือนเป็นพระเจ้าครับ เมื่อคุณเจอพนักงานขาย คุณควรยื่นบททดสอบให้เค้าเหล่านั้นอย่างมีเมตตา อาจจะเป็นในรูปแบบของคำถามแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องรำดาบรำง้าวรำขวาน หรือ เป็นรูปแบบของปัญหาที่คุณเจออยู่และต้องการให้พนักงานขายเหล่านั้นแก้ปัญหาของคุณ ด้วยสินค้าหรือบริการของร้านค้าที่คุณเดินเข้าไป และเมื่อพนักงาน สามารถชี้ช่องทางที่ทำให้คุณได้สินค้าที่ตรงโจทย์ หรือ ได้บริการที่แก้ปัญหาของคุณได้ คุณก็ควรให้รางวัลเค้าโดยการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ถ้าราคามันสมเหตุสมผล และ คุณจ่ายไหว แต่ถ้า หลังปิดการขายแล้วคุณเอาไปใช้งาน แต่ปรากฎว่าสินค้าหรือบริการนั้นๆ ไม่ตรงกับที่พนักงานขายบอกคุณ คุณก็จงลงโทษโดยการ คอมเพลนไปที่สำนักงานใหญ่ของเค้าครับ อย่าใช้วิธีการเดินกระทืบเท้าไปด่าพนักงานที่หน้าร้าน นอกจากเสียเวลาแล้ว ยังไม่ใช่วิธีที่คนโตๆเค้าทำกัน ในส่วนของการคอมเพลนก็ขอให้ทำแบบสุภาพ และ ปราศจากอารมณ์ คุณจะได้ความเคารพยำเกรงมาเป็นของแถม และ ต้องไม่ลืมนะว่า 'พระเจ้า' ในศาสนาต่างๆ ถ้าขาดคนเคารพบูชาแล้ว ก็เป็นเพียงอากาศธาตุ จากที่ไม่มีตัวตนที่สัมผัสได้อยู่แล้ว ก็จะหายไปไม่มีความสำคัญอะไรเหลืออยู่เลย
ภาพถ่ายโดย Atlantios--4957810
1.1 สภาวะสุญญากาศ คุณควรอดทนสักนิด
ถ้าคุณเจอ สถานการณ์ในลักษณะที่ไม่มีพนักงานสนใจคุณเลย ให้ลองสังเกตดูในร้านก่อนสักนิดครับว่า จำนวนลูกค้าของร้านที่คุณเข้าไปใช้บริการนั้นมีจำนวนต่อสัดส่วนพนักงานเท่าไหร่ เช่น มีพนักงาน 6 คน ลูกค้า 21 คน พนักงาน 1 คนต้องดูแลลูกค้า 3 คน กับอีก 0.5 ** คน และถ้าพนักงานทุกคน ที่คุณเห็น กำลังอยู่ใน โมเม้นต์ที่รีบ เคลื่อนไหวแบบ กึ่ง วิ่ง กึ่ง เดิน พูดจาประสานงานกันตลอด ก็ขอให้คุณอดทนรอสักนิดนึงครับ อย่าเพิ่งใจร้อน อย่าไปคิดว่าร้านไม่อยากมอบบริการดีๆให้คุณ
ภาพถ่ายโดย Free-Photos--242387
** วิธีคิดในส่วนของ 0.5 นี้ให้ตีเป็นการ /สอดส่องดูแลความเรียบร้อยภายในร้าน/ ป้องกันการลักขโมย และ คอยตอบรับ หรือ กล่าวต้อนรับ ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาในร้าน ไม่ให้เกิดอารมณ์ที่เรียกว่า "สุญญากาศ" กับลูกค้า ซึ่งลักษณะการตอบรับ ก็จะเป็น การกล่าวทักทายง่ายๆอย่าง "สวัสดีครับ หรือไม่ก็ รอสักครู่นะครับ ประมาณนี้ **
ในกรณีที่เป็นสินค้าเฉพาะทาง เฉพาะกลุ่ม แอดมินแนะนำว่า ระหว่าง ที่ยืนสุญญากาศอยู่ และ ยังไม่มีพนักงานมาต้อนรับ ให้คุณยืนฟังพนักงานแนะนำรายละเอียดสินค้าให้ลูกค้าท่านอื่นไปพลางๆครับ เพื่อดูการ ถาม - ตอบไปในตัว (ได้อะไรเยอะอยู่นะ บางคำถามที่ลูกค้าท่านอื่นถาม เรานึกไม่ถึงก็มี) และ กวาดสายตา ดูการทำงานไปรอบๆ คอยสังเกตว่าคนไหนเป็น ซีเนียร์(รุ่นใหญ่) ของที่นี่ แล้วรอถามเค้าจะดีที่สุดครับ
1.3 การวางตัวในฟอร์มที่สุภาพ มักจะได้เปรียบเสมอ
ถ้าเป็นในลักษณะ ที่แสดงออกชัดเจน ในสถานการณ์ที่ร้านว่าง พนักงานไม่ได้ยุ่ง แสดงออกถึงความไม่ใส่ใจ ยืนเล่นสมาร์ทโฟน คุณส่งสัญญาณให้ ไม่ว่าจะเป็น กวักมือเรียก หรือ พยักหน้าให้ก็ไม่เดินมาให้บริการแก่คุณ ก็ขอให้คุณอดกลั้นอารมณ์โมโหไว้ก่อน แล้ว หาช่องทางติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ แล้วคอมเพลนแบบสุภาพ จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ดีกว่า ยืนต่อว่าพนักงานที่หน้าร้านเป็นไหนๆครับผม เพราะถ้าสำนักงานใหญ่ทราบเรื่อง เค้าจะเริ่มพิสูจน์ด้วยกล้องวงจรปิดก่อนเป็นขั้นตอนแรก ขั้นต่อมาเรียกสอบ ผจก ร้าน และถ้าเค้าพบว่าเป็นเรื่องจริง(ไม่ใช่แต่งเรื่องไปคอมเพลนนะจ๊ะ) จะถือเป็นเรื่องใหญ่ทันทีครับ คุณอาจจะได้ส่วนลดโดยไม่รู้ตัว และ ยังได้ความเกรงใจเป็นของแถมอีกด้วย แต่ถ้าคุณไปยืนประชด ประชัน แดกดันพนักงานที่หน้าร้าน นอกจากจะดูไม่ดีในสายตาลูกค้าท่านอื่นแล้ว ยังไม่มีประโยชน์อะไรอีกด้วยครับผม อาจจะได้การขอโทษ จาก ผจก ร้าน แต่ก็จบแค่นั้น เพราะ พนักงานหน้าร้านโดยทั่วไปก็จะให้คุณได้แค่คำขอโทษเท่านั้นครับผม
2.วางแผนในการถาม ถ้าคุณอยากได้สินค้าหรือบริการที่ตรงโจทย์จริงๆ
2.1 สำคัญที่สุดเลยคือการตั้งงบประมาณ แบบเป็นตัวเลขที่แน่นอน ที่คุณสามารถจ่ายได้จริงๆ อย่าใช้คำว่า "ราคาไม่แพง" "ราคากลางๆ" มันกำกวมเกินไป คำว่า ถูก หรือ แพงของแต่ละคนไม่เท่ากันนะ และ ความจริงอีกข้อคือสินค้าประเภทนึงนั้นมีหลายช่วงราคา อย่างเช่น เคสโทรศัพท์
สมมติคุณจะซื้อเคส เพื่อมาใช้กับ iphone 11 Pro Max ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่มีเคสให้เลือกเยอะมาก มีตั้งแต่หลักร้อย ยันหลักหมื่น คุณมีงบในใจ 2,000บาท บวกลบนิดหน่อย แต่พอ คุณมาถึงหน้าร้าน แล้วดันเลือกที่จะบอกพนักงานขายไปว่า "ฉันมาดูเคสใส่ iphone 11 pro max ขอแบบสวยๆราคากลางๆ" พอคุณบอกไปแบบนั้น พนักงานก็อาจจะหยิบ เคสที่ราคามันเกินงบที่คุณตั้งไว้มา ที่ผมจะบอกคืออย่าเขินที่จะบอกงบประมาณตัวเอง ครับ ถ้าคุณไม่อยากเสียเวลามาก
2.2 ขอให้คุณหาข้อมูลสินค้ามาบ้าง จะทำให้ตอนที่ไปหน้าร้านจริงๆนั้นง่ายขึ้น และ อย่าไปลองเชิงพนักงานด้วยการถามอ้อมไปอ้อมมาครับ ถามก็ถามไปตรงๆ ไม่ต้องเขิน จะได้ประหยัดเวลา และ จะได้ข้อมูลที่ตรงโจทย์ ตรงใจกว่าอีกด้วย
3.ปิดการซื้อแบบ Nice Guy
3.1 หลังจากที่ ได้ข้อมูลของสินค้าจนตัดสินใจซื้อได้แล้ว ให้ผ่อนคลายบรรยากาศลงด้วยคำถามว่า "น้องครับ ข้อนี้พี่ขอถามเป็นความรู้หน่อยนะ" แล้วคุณก็ถามคำถามไป ระหว่างที่พนักงานกำลัง รูดบัตร หรือ กำลังคิดเงินให้คุณ การทำแบบนี้ มีประโยชน์ สองประการด้วยกัน
ภาพถ่ายโดย LinkedIn Sales Navigator
3.1.1 การเปิดประโยคคำถาม ในลักษณะดังกล่าวเป็นการคุยแบบผ่อนคลายขึ้น เพราะมันจะแสดงออกว่าคุณเริ่มมีความเชื่อถือในตัวพนักงานขายคนนั้น ผลก็คือเค้าจะกล้าพูดแบบเปิดใจกับคุณมากขึ้นครับ ซึ่งส่งผลให้คุณจะได้ข้อมูลที่ลึกมากขึ้นเสมอ ถ้าข้อมูลอะไรที่เค้ายังบอกคุณไม่หมด เค้าจะบอกเพิ่มเติมในชุดคำถามนี้ครับ
3.1.2 เป็นการผูกมิตรกับพนักงาน ซึ่งเป็นผลดีในอนาคตครับ อย่าไปคิดว่าซื้อครั้งเดียวจบ คุณอาจจะต้องมาซื้ออีก พอมาครั้งหน้า ถ้าโชคดีเค้าจำคุณได้ อะไรๆก็จะง่ายขึ้นกว่าตอนแรกแล้วครับ
3.2 แต่ถ้าการถามในลักษณะนั้นไม่ใช่สไตล์คุณ ก็ขอให้มองตา และ ส่งยิ้มให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ และ ถามชื่อพนักงานที่ดูแลคุณไว้ครับ(ซึ่งไม่ต้องจำได้ก็ได้) นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่จะผูกมิตรกับพนักงาน
3.2.1 ในกรณีที่ คุณรู้สึกว่าพนักงานดูแลดีมาก หลังจากถามชื่อแล้ว ผมแนะนำให้คุณชมพนักงานคนนั้นต่อหน้า ผจก ร้านเลยครับ หรือ ไม่ก็ คุยกับ ผจก ร้านไปเลยว่าพนักงานดูแลดีมาก อะไรว่าไป แต่ถ้าโอกาศไม่เหมาะสม ก็ใช้วิธีหาเพจของร้านค้า(ถ้ามี) และไปกล่าวชมโดยการเอ่ยชื่อพนักงาน เป็นสาธารณะเลยครับ(ชมในคอมเม้นต์โพสต์ไปเลย)แค่นี้เค้าก็จะจดจำคุณในแง่ที่ดีได้แล้ว **ทริค** อย่าใช้วิธีโทรไปชมกับสำนักงานใหญ่ บางที เรื่องลูกค้าชมเชย ทางสำนักงานใหญ่มักไม่รีพอร์ตมาที่หน้าร้านครับ**
4.ถ้าคุณเริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว มักจะมีเหตุให้ต้องเคลมของครับ ซึ่งมีข้อควรปฎิบัติ และ การวางตัวแบบนี้ เพื่อคงลักษณะ ของลูกค้าระดับสูงเอาไว้ครับ
ก่อนอื่นเลยต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ใดๆในโลกล้วนไม่มีอมตะ ใดๆในโลกล้วนพังได้ รถยังพังได้ ของเป็นแสนยังพังได้ นับประสาอะไรกับของต่างๆที่ความคงทนน้อยกว่า ถ้าเข้าใจตรงนี้ คุณจะทำใจได้ง่ายมาก
4.1 อย่าไปคาดคั้นถามว่าเสียเพราะอะไร
น่าจะเป็นคำถามที่ถามกันบ่อยครับ คือถามถึงสาเหตุ ที่สินค้านั้นชำรุดเสียหาย อย่างเช่น ทีวีเปิดไม่ติด ตู้เย็นไม่เย็น มือถือชาร์จแบตเตอร์รี่ไม่เข้าต่อWi-Fi ไม่ได้ โปรเจคเตอร์ฉายภาพซ้อน บลาๆๆ ที่ผมจะบอกคือ "ไม่มีใครรู้สาเหตุ ที่แท้จริง หรอกครับ" ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม เพราะ อาการเสียของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ถ้าเสียตั้งแต่โรงงานอาจจะบัดกรีมาไม่ดี ติดตั้ง Ship มาไม่แน่น สายวงจรด้านในหยิบของผิดสเปคมาใส่ วางตำแหน่งของบอร์ดไม่ตรงสเปค เยอะครับ ถ้าเป็นในมุมของผู้บริโภคก็จะเป็น ทำน้ำหกใส่ อุปกรณ์เจอความชื้น หรือ ความร้อนที่มากเกินไป ทำร่วงบ่อย ปลั๊กที่คุณเสียบใช้ทุกวัน เดินไฟไม่เสถียร สายชาร์จไม่ดี และ อีกมากมาย ซึ่ง คำตอบที่คุณได้จะเป็นการคาดเดาอย่างเดียวครับ และ พอผ่านศูนย์ซ่อมเคลมแล้ว เค้าก็บอกคุณไม่ได้อยู่ดีว่าเสียเพราะอะไร เพราะเค้าก็ไม่รู้ ถ้าเค้าจะบอกคุณได้ก็มีแต่ ชิ้นส่วนที่เสีย เค้าซ่อมมายังไง ได้แค่นั้นครับที่เป็น Fact ที่เหลือ Fake
4.2 วางมาดสบายๆ และ อย่าบ่นเยอะ
คำพูดประมาณว่า "เพิ่งใช้ไปได้ xx เดือนเอง" หรือ "ไม่ค่อยได้ใช้เลย พังแล้ว" คำพูดประมาณนี้ ไม่มีใครสนใจหรอกครับ เพราะถ้าพูดในมุมของศูนย์ซ่อมเคลม หรือ ร้านค้า เค้าไม่ได้ไปรู้กับคุณนะ เค้าอาจจะมองว่าคุณโกหกครับ และไม่ได้มีส่วนทำให้การเคลมสินค้านั้นไวขึ้นเท่าไหร่หรอกครับ ที่คุณควรทำคือ แจ้งอาการเสีย และ ปล่อยให้พนักงานจัดการต่อไปตามขั้นตอนของเค้าครับ สุภาพไว้ก่อนเดี๋ยวดีเอง
4.3 ระยะเวลา เป็นอะไรที่ถามได้
คุณควรถามเพื่อรักษาประโยชน์ของคุณครับ เพราะ สินค้าเกือบทุกประเภทมีระยะเวลาประกัน 1ปี 2ปี 5ปี ว่าไปตามแต่แบรนด์จะดูแล ถ้าเคลมนานแล้วมีอะไรมาชดเชยเวลาที่คุณไม่ได้ใช้งานระหว่างส่งเคลมอยู่หรือไม่ในกรณีที่เกินกรอบเวลามาตราฐานที่แจ้งไว้ตอนแรก (ส่วนใหญ่ กรอบเวลามาตราฐาน ที่ แบรนด์สินค้าแต่ละแบรนด์ จะใช้ในการรับเคลม จะ อยู่ที่ 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน) อย่างเช่น พนักงานแจ้งว่า เคลม 2 เดือน แต่ดันเคลมไป 5 เดือน มีชดเชยเวลาประกันให้ 3 เดือนหรือเปล่า ประมาณนี้ครับ แต่ถ้าทางร้านไม่สามารถ ช่วยในจุดนี้ได้จริงๆ พนักงานกล่าวคำขอโทษและให้เหตุผลที่ฟังขึ้น ก็อย่าไปโวยวายใส่เค้าครับ นิ่งไว้จะเป็นผลดีกับตัวคุณมากกว่า
4.4 เมื่อส่งเคลมแล้ว อย่าใจร้อน อย่าโวยวาย
ผมแนะนำให้คุณโทรไปถามความคืบหน้าเป็นระยะ ถ้าคุณรู้สึกร้อนใจ แต่ถามด้วยความสุภาพ อย่าหยาบคาย หรือ เร่งรัดขั้นตอนของร้านค้า เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ โดยทั่วไป ในขั้นตอนการรับเคลมสินค้าต่างๆ จะเป็นแบบนี้ครับ
- รับสินค้าที่ลูกค้าแจ้งเสีย แล้ว ตรวจสอบ
- พิสูจน์ได้ว่าเสียจริง และ เริ่มรับเข้าระบบเคลม
- ส่งของเคลมจากโชว์รูมไปศูนย์ซ่อม
- รอ อะไหล่สำหรับ ซ่อม
- ซ่อมเสร็จรอส่งกลับ
- ส่งกลับ
- ของส่งมาถึง โชว์รูม
- แจ้งลูกค้ามารับของ
- ลูกค้ามารับของที่เคลมไว้ และ ตรวจงานซ่อม เพื่อรับกลับ
จะเห็นว่ามีขั้นตอนยิบย่อยพอสมควรนะครับ เหตุเพราะแม้แต่การเคลมก็มีค่าใช้จ่ายนะ ไม่ใช่ว่าทางร้านนั้นงกนะครับ แต่เป็นเพราะ ต้องจัดการเรื่องเอกสารสำคัญต่างๆ เพราะมันมีผลกับการยื่นภาษีด้วย แต่ถ้าเจอร้านงก เรื่องเซอร์วิสหลังการขายมีเงื่อนไขเยอะ ผมแนะนำว่า เลิกซื้อร้านนั้นครับ น่าเกลียดจนรับไม่ได้ครับแบบนี้
4.5 โปรดใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์
ของไม่เสีย อย่าว่าเสีย ข้อนี้พูดถึงขั้นตอนในการตรวจสภาพสินค้าก่อนรับเคลมนะครับ คุณควรฟังพนักงานแล้วลองคิดตามดู อย่าเคลมเพราะรู้สึกไม่สบายใจเฉยๆ เพราะมันจะทำให้คุณเสียประโยชน์ เพราะ ถ้าส่งของที่ไม่เสียไปที่ศูนย์ซ่อม แล้วมันไม่เสีย ทางศูนย์ซ่อมเค้าไม่ซ่อมให้นะครับ ทางศูนย์ก็ตีกลับ และเแจ้ง ว่าไม่เสียแทนที่จะซ่อม คุณก็จะเสียเวลาใช้งานในระยะประกันไปฟรีๆ แต่ถึงแบบนั้น มันก็มีนะที่บางครั้งสินค้ามีอาการ "กลัวหมอ" คืออยู่ในมือเราเนี่ย เสีย ใช้งานไม่ได้ ใช้งานติดขัด พอมาถึงโชว์รูมแล้วดันหายซะแบบนั้น ถ้าเจอกับสถานการณ์แบบนี้ คุณแค่เพียง อธิบายอย่างละเอียด และ ขอให้ส่งเคลมดูครับ เผื่อเจอปัญหาจริงๆ จะได้แก้ไขได้
4.6 อาการเสียไม่อยู่ในเงื่อนไขการประกัน
สินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีเหตุให้หมดประกันอยู่สองแบบหลักๆด้วยกันตามนี้ครับ
4.6.1 ในกรณีที่เสียแต่อยู่นอกเหนือระยะเวลาของการประกันสินค้า ถ้าอยู่นอกระยะเวลาประกันอาจจะมีเซอร์วิสการซ่อมแบบต้องเสียเงิน ในสินค้าที่ราคาสูงๆทางศูนย์อาจจะมี offer พิเศษให้ อย่างเช่น ให้สิทธิ์ซื้อตัวใหม่ซึ่งเป็นรุ่นเทียบเคียงรุ่นเดิมในราคาที่ถูกลง แต่ในบางกรณีก็จะไม่มีเซอร์วิสหลังหมดประกัน ตรงนี้อาจจะเป็นภาระที่คุณต้องถามก่อนจ่ายเสมอนะครับ บางที ข้อมูลในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่พนักงานมักจะไม่บอกคุณครับถ้าลูกค้าไม่ได้ถาม
4.6.2 เงื่อนไขการประกันโดยทั่วไปจะไม่ครอบคลุมในส่วนอุบัติเหตุนะหว่างการใช้งาน อย่างเช่น ทำร่วงตกแตก ทำน้ำหกใส่ ไฟฟ้าลัดวงจร เหยียบแตก หรือ ใดๆที่ทำให้ชิ้นส่วนทั้งภายนอก และ ภายในบุบสลาย และ เสียสภาพจากเดิม (แต่ถ้าเป็นในกรณีกาวหลุด หรือ ชิ้นส่วนหลุดแบบเนียนๆ ควรอยู่ในประกันนะ) วิธีการวางตัวเมื่อเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นกับคุณ ไม่ว่าจะเกิดจากคุณพลาดเอง คนในบ้าน หรือ สัตว์เลี้ยงเป็นตัวการก็ตาม คือการรับสภาพอย่างตรงไปตรงมา และ ให้ส่งไปที่ศูนย์ซ่อม ให้ประเมินราคาซ่อม โดยกำชับให้พนักงาน แจ้งค่าเสียหายก่อนดำเนินการซ่อมทุกครั้ง เพราะ บางทีค่าเซอร์วิสซ่อมนั้น บวก ลบ คูณ หาร แล้วซื้อใหม่คุ้มกว่า
ภาพถ่ายโดย Free-Photos--242387
5. สามข้อที่ห้ามทำเด็ดขาด ถ้าอยากเป็นลูกค้า V.I.P
5.1 อย่าทะลุกลางปล้อง
อย่าเข้าไปถามแทรกกลางในจังหวะที่พนักงานกำลังพูดคุยให้ข้อมูลกับลูกค้าท่านอื่นอยู่ เป็นที่เข้าใจได้ครับว่าทุกคนไม่ชอบรอ ทุกคนอยากได้บริการที่รวดเร็วทันใจ แต่ถ้าคุณคิดจะถามแทรกกลางไปเลย ก็ขอให้คิดสักนิดครับว่า ลูกค้าคนนั้นก็อาจจะรอคิวมาก่อนคุณนะ และ การยืนดูสินค้าตัวอื่นไปก่อน อย่างไม่แสดงอาการร้อนรน และ แสดงออกถึงความปลอดโปร่งทางอารมณ์ ขอบอกเลยครับว่า บุคลิกทรงประมาณนี้จะส่งให้คุณดูดี ดูน่าเกรงใจขึ้นมาทันที
5.2 อย่าแสดงอาการโมโห แต่ให้แสดงความไม่พอใจได้ด้วยคำพูดอย่างใจเย็น
เป็นที่แน่นอนครับว่าการเข้าไปรับบริการของร้านค้าในบางครั้ง เราต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ที่น่าหงุดหงิดใจ ไม่สบายใจ หรือ ในบางกรณีก็ถึงขั้นน่าโมโห ก่อนอื่นเลยคุณต้องสงบสติอารมณ์ให้ได้ และ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ปลอดโปร่งโดยคีย์เวิร์ดนี้ครับ "พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยครับ" แนะนำให้ใช้คีย์เวิร์ดนี้เพราะ เบาสุด และ เป็นคำพูดที่กระทบจิตใจน้อยสุดครับซึ่งจะส่งผลดีในท้ายที่สุด**เดี๋ยวผมจะอธิบายในตอนท้ายข้อครับ**
ถ้าคุณเจอร้านและพนักงานที่ดี พนักงานจะรีบถามคุณเลยครับ ว่า "คุณลูกค้าไม่สบายใจตรงไหนครับ" แล้วคุณก็อธิบายไปถึงความไม่สบายใจของคุณอย่างเปิดอกตรงไปตรงมา และ ระมัดระวังคำที่อาจจะกระทบจิตใจอีกฝ่ายสักเล็กน้อย พอพูดจบ ก็เปิดโอกาสให้พนักงานพูดอธิบาย หรือ หาทางแก้ปัญหาอันน่ากระอักกระอ่วนนี้ โดยไม่ไปกำกับการแก้ปัญหานั้น และ ปล่อยให้ทางร้าน และพนักงานที่รับเรื่องเป็นคนจัดการเอง และ ทางคุณเองก็อย่าไปคาดหวังการแก้ปัญหานั้นจะตรงใจคุณที่สุด ของแบบนี้มันต้องคนละครึ่งทางครับ ทำอะไรๆให้ง่ายเข้าไว้
แต่ถ้าคุณเลือกใช้วิธีการแสดงออกด้วยอารมณ์เป็นตัวตั้ง ใช้วิธีการโวยวาย พูดจาแดกดันประชดประชัน หรือ พูดด้วยถ้อยคำที่ไม่ดีนักโดยหวังทำลายความรู้สึกอีกฝ่าย สิ่งที่คุณจะได้รับก็จะไม่ต่างกันกับการที่คุณเลือกใช้คำพูดดีๆหรอกครับ ฮ่าๆๆ แล้วทำไมต้องเลือกใช้คำพูดดีๆน่ะเหรอ เหตุผลเป็นเพราะว่า ถ้าคุณเลือกใช้วิธีการแสดงออกด้วยอารมณ์ คุณจะได้รับคำขอโทษ และ การแก้ปัญหา แบบเคลียร์ สถานการณ์เฉพาะหน้า คือเป็นการทำอย่างไรก็ได้ ให้สถานการณ์อันเลวร้ายผ่านพ้นไปโดยเร็วที่สุด และ คำขอโทษที่คุณได้รับ จะไม่ใช่คำขอโทษจากใจเลยครับ มันจะเป็นคำขอโทษเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาในที่นี้ก็คือการมีอยู่ของคุณนั่นเองครับ ในมุมกลับ ถ้าคุณเลือกใช้วิธีการที่ปลอดโปร่ง การแก้ปัญหา และ คำขอโทษนั้น จะออกมาจากใจ และ คุณจะได้เป็นภาพจำที่ดี ได้ความเคารพยำเกรง จากพนักงาน และ ร้านที่คุณเข้าไปใช้บริการครับ ซึ่งจะส่งผลที่ดีต่อไปในการใช้บริการในอนาคต
ภาพถ่ายโดย mohamed Abdelgaffar
5.3 อย่าได้ออกปากว่าคุณรู้จักเจ้าของร้าน ด้วยตัวคุณเอง
ในข้อนี้ โดยทั่วไปร้านค้าต่างๆ ถ้าทางฝั่งลูกค้ารู้จักกับเจ้าของร้านจริงๆ ขั้นตอนที่เลือกใช้กันหลักๆจะเป็นแบบนี้ครับ
ขั้นตอนแรก ลูกค้าโทรหาเจ้าของกิจการร้านค้า ถึงสินค้าหรือ บริการ ที่ตัวเองสนใจ
ถัดมา เจ้าของกิจการ โทรมาแจ้งทางหน้าร้านถึงรายละเอียดต่างๆ อย่างเช่น สินค้า หรือ บริการที่ลูกค้าสนใจจะเข้ามาดู แจ้งชื่อ ตามด้วย ลักษณะรูปพรรณของลูกค้า และ ส่วนลดที่เจ้าของกิจการจะให้ลูกค้าคนดังกล่าว
ขั้นท้ายสุด จะเป็นตอนที่ลูกค้าเข้ามาถึงหน้าร้านแล้ว
ขั้นตอนด้านบน เป็น ขั้นตอนปฎิบัติพื้นฐาน ที่ทางร้านใช้พิสูจน์ ว่าลูกค้าคนนี้รู้จักกับเจ้านายของตัวเองจริงหรือไม่ครับ ในกรณีที่คุณรู้จักเจ้าของร้านจริงๆ ให้ใช้วิธีการโทรหาเค้าก่อนจะดีที่สุดครับ และ ถ้าคุณไม่ได้รู้จักเข้าของร้านจริงๆอย่าเลือกใช้วิธีการโกหกครับ โดนจับโกหกได้ไม่ยากเลยครับ และ ดู น่าเกลียดมากด้วย
5.4 อย่าถามถึงโปรโมชั่น และ ส่วนลดตั้งแต่แรก แต่ให้ถามตอนที่กำลังจะตัดสินใจซื้อครับ
ในข้อนี้ผมก็อธิบายในเชิงลึกไม่ได้ครับ แต่ที่พอบอกได้คือ การถามในลักษณะนั้น จะทำให้คุณดูดีกว่า การถามโปรก่อนการทราบข้อมูลสินค้าเป็นไหนๆครับ
ส่งท้าย ก่อนอื่นเลย ขอขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ 555 ตอนแรกว่าจะเขียนสั้นๆ แต่พอพิมพ์ไปพิมพ์มา ดันแตกประเด็นได้เยอะเฉยเลยครับ
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ผมจะสรุปให้ ว่าด้านบนที่เขียนไปนั้น คืออะไร ด้านบนนั้นเป็นปฎิบัติการเชิงจิตวิทยาอย่างนึงครับ เป็นการเล่นกับ อารมณ์ ความรู้สึกของคนรูปแบบนึง ต้องคำนึงไว้เสมอครับว่า พนักงานที่คุณมีปฎิสัมพันธ์ุด้วยนั้นไม่ใช่หุ่นยนต์ เป็นคนเหมือนกับคุณ มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีหัวใจ มีผิดพลาดได้ อันที่จริงมันจะมีเชิงลึก จำพวก ภาษากาย การเลือกใช้คำต่างๆในโอกาศต่างๆกันไป บุคลิคที่ดีก็จะช่วยขับเน้นให้ทุกการกระทำดูทรงพลังและน่าเกรงขามไปด้วย แต่ในกลุ่มพวกนั้นผมว่ามันเป็นเรื่องปัจเจกเกินไป ถ้าจะให้ Set ไปถึงระดับบุคลิคเพื่อจะไปเลือกซื้อสินค้า หรือ บริการ สักอย่างนึง ผมว่ามันเป็นอะไรที่มากไปครับ เลยไม่ได้เขียนลงไป
ภาพถ่ายโดย energepic.com
จริงๆมันมีวิธีเป็นลูกค้า VIP อีกแบบนึงครับ ที่โคตรง่ายและไม่ต้องทำอะไรเยอะเลย คือการมียอดซื้อที่โดดเด่นกว่าลูกค้าคนอื่นครับ โคตรจบ555 เป็นอีกข้อที่ทำได้ แต่ผมคิดว่า คงไม่ใช่ทุกคนล่ะมั้ง ที่จะมีกำลังซื้อขนาดนั้น วิธีการด้านบนจึงเป็นวิธีการ ขึ้นไปเป็นลูกค้า VIP แบบประหยัดเงินครับ แน่นอน คุณต้องจ่ายเพื่อซื้อของบ้าง มียอดประมาณนึง เมื่อ รวมกับข้อปฎิบัติข้างต้นเข้าไปด้วย การเป็นลูกค้า VIP ที่มีส่วนลดพิเศษ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ
ภาพถ่ายโดย mentatdgt
แต่มันก็จะมีคนประเภทที่ มีบุคลิคที่น่าคบหาอยู่แล้ว คนพวกนี้จะมีเสน่ห์เฉพาะตัวครับ ไม่ต้องใช้กรรมวิธีอะไรเลย ก็กุมใจผู้คนได้โดยธรรมชาติถ้าคุณเป็นคนแบบนั้นก็ขอบอกเลยครับว่าน่าอิจฉาสุดๆ แต่คนแบบนั้นก็มีน้อยอีกนั่นแหละ
สุดท้ายนี้ ก็ขอติงทิ้งท้ายไว้นิดนึงครับว่า ในบทความนี้ เป็น แนวทางของแอดมิน ที่เคยลองใช้และได้ผลค่อนข้างดี เลยอยากแชร์ให้อ่านกัน และ อยากให้ลองไปพิสูจน์ด้วยการปรับให้เข้ากับตัวเองอย่างพิศดารกันดูครับ
สวัสดีครับ
โฆษณา