2 มี.ค. 2020 เวลา 15:51 • ธุรกิจ
วิธีคิดในช่วงเวลาที่เราตกต่ำ ยากลำบากในชีวิต
หลายคนถามว่า ผมผ่านพ้นจากจุดตกต่ำที่สุดมาได้อย่างไร มีวิธีคิดยังไงในช่วงเวลานั้น อยากให้ผมแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง...
วันนี้ผมจึงถือโอกาส แนะนำหนังสือเล่มนึงครับ..ที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ จากช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุด ช่วงที่มีหนี้สินมากมาย ปัญหาชีวิตรุมเร้า พัฒนากลายมาเป็น ช่วงชีวิตที่ดีที่สุดในเวลานี้ ทั้งในเรื่องการเงิน เรื่องธุรกิจ เรื่องความรัก หรือ เรื่องครอบครัวครับ...
ผมได้วิธีคิดมากมายจากหนังสือเล่มนี้ครับ...
จริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ หาซื้อได้ทั่วไป และเป็นหนังติดอันดับขายดีตลอดกาลของร้านหนังสือชั้นนำของไทย
หนังสือเล่มนั้นชื่อ "ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" ของ T.Harv Eker
ผมบอกตรงๆ ได้เลยครับว่า มีคนแนะนำให้ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ "ตอนผมทำธุรกิจเครือข่าย"
จริงๆ ช่วงเวลาที่ผมทำธุรกิจเครือข่าย ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีคิดในการดำรงชีวิตมากมาย หนึ่งในนั้น ก็คือ วิธีคิดแบบคนรวย ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิธีคิดของชนชั้นกลาง และ คนจน (ผมพูดเรื่องคนรวยคนจน มิได้มีเจตนาจะดูแคลนสถานะของใครนะครับ แต่มันเป็น "คำศัพท์" ที่ในหนังสือเล่มนั้นได้นำมาใช้ครับ)
วันนี้ผมจะขอยกตัวอย่างบางส่วนบางตอนของหนังสือเล่มนี้ ขึ้นมาเพื่อเป็นข้อคิด สำหรับหลายๆ ท่านที่สงสัยว่า
"ทำไมตัวเองไม่รวยสักที" "ทำไมไม่ออกจากวงจรการหมุนเงินไม่ทัน หาไม่พอใช้สักที..."
ผมคิดว่ามันอาจจะช่วยอะไรท่านได้บ้างครับ
ข้อคิด ประการ ที่ 1 ครับ
คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง" ในขณะที่ คนจน เชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"
ขอขยายความนะครับ ถ้าคุณอยากรวย หรือ อยากประสบความสำเร็จในชีวิต คุณต้องเชื่ออย่างสนิทใจว่า คุณสามารถกำหนดชีวิตของตัวเองได้ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อว่า ตัวเองถูกกำหนดให้เป็นอย่างนี้ แบบนี้ จากสังคม จากคนรอบข้าง จากสิ่งแวดล้อม แบบนี้คุณจะไม่มีวันร่ำรวย หรือ ประสบความสำเร็จได้เลยครับ เพราะในใจคุณไม่เคยคิดเลยว่า คุณสามารถกำหนดชะตาชีวิต ความเป็นอยู่ของคุณได้เองเลย เมื่อเป็นอย่างนั้น คุณก็จะ "รอคอย" แต่โชคชะตา และ คนรอบข้าง หรือ สิ่งแวดล้อม ให้มากำหนด โชคชะตา ชีวิตของคุณครับ
ตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ทำไม คนจนชอบเล่นห่วยครับ ในทางตรงกันข้าม ผมยังไม่เคยเห็นคนรวยคนไหน ชอบเล่นห่วยเลยครับ (ไม่นับที่เล่นสนุกๆ นะครับ) เพราะคนที่ชอบเล่นห่วยเอามากๆ ก็คือ คนที่เชื่อหรือหวังลมๆ แล้งๆ ว่า วันนึงโชคชะตาจะเข้าข้างเค้า โดยที่เค้าไม่ได้เป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองเลย ในขณะที่คนรวย จะไม่พึงโชคชะตาครับ เค้าจะเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองด้วยตัวของเค้าเอง
อีกตัวอย่างนึงนะครับ คุณเคยได้ยินคำพูดของเพื่อน คนรอบข้าง หรือแม้แต่ตัวคุณเองมั้ยครับว่า ชั้นก็เป็นได้แค่นี้แหละ ทำได้แค่นี้แหละ ก็ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนี้ แล้วจะให้ชั้นทำยังไงละ...?
คำพูดแบบนี้ คือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยครับว่า เค้าคนนั้นไม่คิดที่จะกำหนดชีวิตของตัวเองเลย โทษทุกอย่างที่อยู่รอบข้าง เช่น โทษว่าเศรษฐกิจไม่ดี โทษรัฐบาลว่าบริหารไม่เป็น โทษเจ้านาย โทษลูกน้อง โทษหุ้นส่วน โทษคู่แข่ง มีอยู่คนเดียวที่ไม่เคยโทษ คือ โทษตัวเองครับ
คนที่โทษคนอื่นไปหมด มักจะตามมาด้วย การแก้ตัวเพื่อหักล้างสิ่งที่เกิดขึ้นครับ ว่ามันเป็นแบบนี้เพราะไอ้นี่...ไอ้นั้น...
สุดท้ายนะครับ คนที่เชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นแบบนี้" มักจะพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลา เช่น บ่นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลย ขายไม่ได้เลย ไม่มีลูกค้าเลย คนเค้าไม่กล้าใช้เงินกันหมดเพราะเศรษฐกิจไม่ดี หรือ บ่นเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง เป็นต้นครับ
ยิ่งบ่นมากเท่าไหร่ สิ่งเหล่านั้นมันจะยิ่งขยายผล เพราะความสนใจคุณจะมุ่งแต่จะไปโทษสิ่งๆ นั้น โดยที่คนเหล่านั้นไม่เคยคิดหาวิธีแก้ไขด้วยตัวเองเลย นอกจากรอคอยโชคชะตา หรือ ใ้ห้คนอื่นๆ มาช่วย และเมื่อไม่มีคนช่วย ก็ไปโทษเค้า ว่าเค้าว่าใจดำ ไม่มีน้ำใจ เป็นต้นครับ
นี่จึงเป็นเหตุผลให้คนแบบนี้ไม่ประสบความสำเร็จสักที
วิธีคิดแบบ "ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง" เป็นวิธีคิดที่ทำให้ผมหลุดจากช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิตของผมได้มาแล้วครับ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าผมสามารถกำหนดทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราคิดและตั้งใจไว้ เชื่อมั้ยครับว่า ผมเคยคิดว่าวันนึงผมจะมีธุรกิจ 100 ล้านตั้งแต่วันที่ผมกับแฟนผม(คุณอุ๊) ยังเอาเสื้อผ้ามือ 2 ไปวางขายแบกะดินที่ตลาดนัด และ ผมยังโดนบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคคล เจ้าหนี้โทรตามทุกวันอยู่เลย...
อย่าโทษสิ่งรอบข้าง จงโทษที่ตัวเองและกำหนดมันใหม่ ให้มันเป็น อย่างที่คุณอยากให้มันเป็น
ลองเอาไปปรับใช้กับชีวิตของคุณดูนะครับ...
ถ้าอ่านแล้วชอบ เกิดแรงบันดาลใจ แชร์ต่อได้นะครับ
แต่กรุณาให้เครดิตเพจด้วยนะครับ
ผมแอบเห็นคนเอาไปแชร์แล้วก็อปไปทั้งข้อความโดยไม่ได้ให้เครดิตเพจ
แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำครับ..
พี่บี พลิกชีวิต ด้วยเสื้อผ้า Online
โฆษณา