3 มี.ค. 2020 เวลา 12:05 • กีฬา
เลสเตอร์ ซิตี้ เก็บได้แค่ 2 แต้มจาก 4 นัดหลังสุด ถือเป็นทีมที่ทำผลงานแย่ที่สุดในพรีเมียร์ลีกเดือนกุมภาพันธ์ร่วมกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
 
ไม่ใช่แค่ 4 นัดที่ผ่านมา จริงๆ ทีมจิ้งจอกสยามฟอร์มตกต่อเนื่องมาพักใหญ่แล้ว
 
พวกเขาเก็บได้เพียง 12 แต้มจาก 12 นัดหลังสุด พุ่งชนความพ่ายแพ้ถึง 6 ครั้ง นับตั้งแต่โดน นอริช ซิตี้ หยุดสถิติชนะเกมลีก 8 นัดรวดเมื่อกลางเดือนธันวาคม
การเจอ "ของจริง" อย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ จบลงด้วยการแพ้แบบเป็นรองทุกประตู
การเจอทีมกลางตารางอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ ก็ปราชัยไป ทั้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน
และล่าสุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่แล้ว พวกเขาแพ้ให้ทีมอันดับบ๊วยอย่าง นอริช ซิตี้ ไปอีก 1-0
ช่วงกลางเดือนตุลาจนถึงต้นเดือนธันวาคม ที่ทำผลงานชนะ 8 นัดรวด (เจมี่ วาร์ดี้ ยิงได้ทั้ง 8 นัด) เลสเตอร์ คือทีมเดียวที่ตามหลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล ด้วยจำนวนแต้มไม่ถึงเลขสองหลัก
ซีรี่ย์ยาวชนะรวด 8 นัด ถือเป็นการทำลายสถิติชนะเกมลีกสูงสุดอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
 
โอเคว่า การรั้งอันดับ 3 ในเวลานี้ ทิ้งห่างอันดับ 5 ถึง 8 แต้ม ยังเป็นสถานการณ์ที่ดูดีเกินคาด หากเทียบกับเป้าหมายก่อนเปิดซีซั่น ที่ขอแค่เบียดทีมท็อปซิกซ์ ลุ้นไปเล่น ยูโรปา ลีก ได้ก็น่าพอใจแล้ว
 
แต่ความจริงก็คือ ฟอร์มตั้งแต่สัปดาห์ก่อนเข้าเทศกาลคริสต์มาส ลากยาวมาจน 2 เดือนแรกของปีใหม่ มันแย่เกินไปจริงๆ
 
หลังจบเกมนัดที่ 16 พวกเขาทิ้งห่างอันดับ 5 มากถึง 14 แต้ม ตามหลังจ่าฝูงแค่ 8 คะแนน
ทว่าตอนนี้กลายเป็นคนละเรื่อง เมื่อโดนหงส์แดงทำแต้มทิ้งขาด 29 แต้ม และโดนทีมที่ไล่หลังมาขยับเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งที่จะว่าไปแล้ว พวกทีมลุ้นโควตาไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ฟอร์มดีเด่อะไร
 
ด้วยมาตรฐานที่ตกลงอย่างน่าใจหาย แถมยังถูก แอสตัน วิลล่า ถีบตกรอบรองชนะเลิศ คาราบาว คัพ มันก็อดห่วงไม่ได้จริงๆ ว่าผลงานยอดเยี่ยมที่จิ้งจอกทำไว้เมื่อช่วงครึ่งซีซั่นแรก มันอาจไม่เพียงพอให้พวกเขารักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ได้จนจบฤดูกาล
 
เกิดอะไรขึ้นกับ เลสเตอร์ ซิตี้?
 
ทำไมฟอร์มพวกเขาในช่วงหลัง ถึงใกล้เคียงกับมาตรฐานทีมหนีตกชั้นขนาดนี้?
ปัจจัยสำคัญอันดับแรกคือการเสียความมั่นใจ ซึ่งจิ้งจอกสยามชุดนี้คือทีมพลังหนุ่ม และหลายคนไม่คุ้นชินกับความกดดันระยะยาว
 
ถ้าพวกเขามั่นใจและชนะต่อเนื่องเรื่อยๆ ก็เหมือนเสือติดปีก
แต่ถ้าเริ่มสะดุดสัก 2-3 นัดติด มันก็อาจหมดไฟเอาง่ายๆ
 
ขุมกำลังชุดปัจจุบันมีแค่ จอนนี่ อีแวนส์, แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, เจมี่ วาร์ดี้, เวส มอร์แกน และ คริสเตียน ฟุคส์ ที่อายุเกิน 30 ปี
 
และนอกจาก 4 คนนี้ ก็เหลือแค่ มาร์ค อัลไบรท์ตัน กับ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่เคยมีประสบการณ์ลุ้นแชมป์ หรือแย่งโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก
ขณะที่ เดมาไร เกรย์ หนึ่งในสมาชิกทีมชุดคว้าแชมป์ลีก ถือว่าไม่นับว่าเป็นนักเตะที่เก๋าเกมในเรื่องการรับมือความกดดันอย่างแท้จริง เพราะในซีซั่นที่ทีมคว้าแชมป์ เขามีสถานะเป็นแค่ตัวสำรองยาวซะส่วนใหญ่
 
ฤดูกาล 2015-16 เคลาดิโอ รานิเอรี่ อาจพา เลสเตอร์ คว้าแชมป์ได้แบบเซอร์ไพรส์ แต่จริงๆ ตอนนั้นพวกเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมากอยู่ก่อนแล้วนะครับ จากการเร่งฟอร์มหนีตายได้ในโค้งสุดท้ายของซีซั่นก่อนหน้า
 
ในซีซั่น 2014-15 เลสเตอร์ เจอความกดดันไม่น้อยไปกว่าทีมที่ต้องเบียดลุ้นแชมป์ เพราะมีช่วงเวลายาวนานถึง 19 สัปดาห์ที่รั้งอันดับบ๊วย
ก่อนลงเตะนัดที่ 30 พวกเขาอยู่ห่างโซนปลอดภัยถึง 7 คะแนน แต่ ไนเจล เพียร์สัน นำทีมชนะถึง 7 นัดจาก 9 นัดสุดท้าย พาทีมอยู่รอดได้อย่างเหลือเชื่อ
รานิเอรี่ แค่เข้าไปทำให้ทีมที่ลงเตะทุกนัดด้วยความคิดที่ว่า "ต้องหนีตาย" ก่อนอาศัยช่วงเวลาขาลงของทีมใหญ่ทุกทีมในปีนั้น ค่อยๆ โกยแต้มจนผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
ตัดภาพกลับมาที่ฤดูกาลปัจจุบัน เลสเตอร์ คงไม่คาดหวังว่าสถิติชนะเกมลีกมา 8 นัดรวด จะถูกหยุดลงด้วยน้ำมือทีมอย่าง นอริช ซิตี้ เมื่อทำได้แค่ไล่ตีเสมอ 1-1 ในช่วงกลางเดือนธันวาคม
แถมมันยังเป็นการเสียแต้มที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของตัวเอง ในเกมที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีตัวเลือกให้ใช้แบบฟูลทีมอีกต่างหาก
คือมันอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำลายความมั่นใจมากนัก หากทีมที่หยุดความห้าวพวกเขาลงได้ก่อนใคร คือทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมหนีตกชั้นอย่างนกขมิ้น
การได้แค่ 1 แต้มจากเกมที่ใครๆ ก็มองว่าคงชนะได้แบบแบเบอร์ คือจุดเริ่มต้นของมาตรฐานที่ตกลงเรื่อยๆ ลากยาวมาจนถึงตอนนี้
 
เจมี่ วาร์ดี้ อดมีชื่อบนสกอร์บอร์ดในเกมกับ นอริช เพราะประตูถูกยกให้เป็นเครดิตการทำเข้าประตูของ ทิม ครูล
เรื่องนั้นน่าจะส่งผลไม่น้อยกับฟอร์มของอดีตหัวหอกทีมชาติอังกฤษ เมื่อหมดโอกาสลุ้นทำลายสถิติซัดในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันนานที่สุดที่ตัวเองเคยทำไว้ 11 นัดซ้อนเมื่อปี 2011 ไปอย่างน่าเสียดาย
 
หลังจากนั้นมา เขายิงเพิ่มอีกแค่ลูกเดียวในเกมบุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ก่อนที่ทั้งทีมจะฟอร์มรูดพร้อมกันหมด ในเกมโดน ลิเวอร์พูล ถล่มเละ 0-4 คาบ้านตัวเอง
 
แม้จะคืนฟอร์มกลับมาชนะ เวสต์แฮม และ นิวคาสเซิ่ล แต่การไม่ยอมเสริมทัพอย่างจริงจังในเดือนมกราคม นอกจากแค่ยืมตัว ไรอัน เบนเน็ตต์ จาก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส มาเป็นอะไหล่สำรองในแนวรับ นั่นจึงไม่ต่างอะไรกับการเลือกหยุดอยู่กับที่
 
พวกเขาไม่มีใครเข้ามาเป็นจุดเปลี่ยน ในช่วงที่ทั้งทีมเล่นได้ไม่ดีเหมือนเดิม
ในระหว่างทางที่ฟอร์มดำดิ่ง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ยังเจอปัญหานักเตะตัวสำคัญบาดเจ็บอีกต่างหาก
 
วิลเฟรด เอ็นดิดี้ ซึ่งเป็นคีย์แมนในการตัดเกมแดนกลาง เจอปัญหาบาดเจ็บเข่า
ซึ่ง 5 นัดที่ดาวเตะทีมชาติไนจีเรียไม่ได้ลงสนาม ทีมไม่ชนะใครเลย (เสมอ 2 แพ้ 3)
 
เช่นเดียวกับดาวยิงตัวความหวังอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ก็มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิตที่ทำให้ไม่ปราดเปรียวดังเดิม หลังจากบาดเจ็บช่วงปลายเดือนธันวาคม และยังต้องพะวงกับการดูแลภรรยาที่เพิ่งคลอดบุตรคนที่ 3 ให้เขา
 
8 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว ที่ วาร์ดี้ ลงสนามรวมทุกรายการแล้วคลำเป้าไม่เจอ ก่อนจะมาบาดเจ็บจนหลุดจากทีมอีกครั้ง และทีมก็บุกแพ้บ๊วยอย่าง นอริช 1-0 ในเกมล่าสุด
จริงๆ แล้วอาการฟอร์มตก คือเรื่องธรรมดาของนักเตะทุกคน
การที่ วาร์ดี้ เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แล้วทำให้เกมรุกของทั้งทีมแย่ไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่านักเตะคนอื่นๆ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ
 
เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ยังยิงประตูในลีกไม่ได้นับตั้งแต่ขึ้นปี 2020 ขณะที่ อาโยเซ่ เปเรซ ก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่ยิงได้สม่ำเสมอ
 
เพลย์เมกเกอร์อย่าง เจมส์ แมดดิสัน ก็ไม่มีทั้งประตูและแอสซิสต์ให้เห็นอีก ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่
 
3 นัดหลังสุด เลสเตอร์ ยิงใครไม่ได้ ทำให้บีร็อดต้องออกโรงบ่นลูกทีม ที่มัวแต่ฝากความหวังการจบสกอร์ไว้กับหัวหอกหมายเลข 9 ที่อายุปาเข้าไปแล้ว 33 ปี
 
“ถ้าหากคุณจำเป็นต้องยิงให้ได้ 60 กว่าประตูเพื่อไปถึงตำแหน่งที่คุณต้องการจะอยู่ มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ดีเท่าไร ถ้าคุณบอกว่าตัวเองมีกองหน้าที่สามารถยิงถึง 40 ลูก แต่คนอื่นๆ ไม่สามารถช่วยเหลือได้”
 
แล้วไม่ใช่แค่เกมรุกที่มีปัญหา เกมรับก็เสียประตูง่ายขึ้นจนน่าตกใจ
13 เกมหลังสุดในลีก เก็บคลีนชีตได้แค่ 2 หน แต่กลับโดนยิงไปถึง 18 ลูก
 
มาตรฐานตกลงจากเดิมเกินครึ่ง เพราะ 15 เกมแรก แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เสียเพียง 9 ประตู และกวาดคลีนชีตถึง 7 ครั้ง
ด้วยช่องว่าง 8 แต้มที่นำหน้าทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ถือว่าทีมจิ้งจอกสยามยังกุมชะตาตัวเองในการลุ้นไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนลงเตะ 10 นัดสุดท้าย
 
เลสเตอร์ จำเป็นต้องการันตีชัยชนะ ตลอดทั้ง 3 นัดข้างหน้าที่จะเจอทีมอันดับต่ำกว่า ไม่ว่าจะเป็น แอสตัน วิลล่า (เหย้า), วัตฟอร์ด (เยือน) และ ไบรท์ตัน (เหย้า) เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมาให้ทันก่อนเจองานหนักต้องบุกเยือน เอฟเวอร์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ
 
บททดสอบที่แท้จริงของ เลสเตอร์ อยู่ที่ช่วง 5 นัดสุดท้าย ที่ต้องพบกับทีมลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปถึง 4 ทีม ไม่ว่าจะเป็น อาร์เซน่อล, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และปิดท้ายด้วยการรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด
 
ถ้าก่อนถึงเวลานั้น พวกเขายังคืนฟอร์มกลับมาไม่ได้ และกลายเป็นทีมแจกแต้มให้คู่แข่งที่หวังไปลุย UCL เหมือนกัน บางที เบรนแดน ร็อดเจอร์ส อาจต้องยอมรับสภาพ ว่าทีมคงทำได้แค่ตามเป้าหมายที่วางไว้ช่วงก่อนเปิดฤดูกาล นั่นคือการทำได้แค่ไปเล่น ยูโรปา ลีก
 
จริงๆ การจบฤดูกาลใน 6 อันดับแรกได้ มันไม่ใช่ผลงานที่แย่สำหรับทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้
 
แต่การออกตัวแรงๆ แล้วมาสะดุดทีหลังอย่างน่าเกลียด ยังไงก็เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอยู่ดี
#เสียบสามเหลี่ยม #Leicester #LCFC #Vardy #Rodgers #PremierLeague
 
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
 
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา