6 มี.ค. 2020 เวลา 05:25 • ความคิดเห็น
ยากจน จนตรอก ก็จะลุกขึ้นสู้
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
1-15 มีนาคม 2563 ผมนำคณะสำรวจเมียนมาภาคเหนือเพื่อไปดูสถานการณ์การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในเมียนมา
โดยเริ่มเมื่อวันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2563 เดินทางด้วยรถยนตร์จากเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ด้วยระยะทาง 154 กิโลเมตรไปพักที่เชียงตุง วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม เดินทาง 455 กิโลเมตรไปพักที่ตองยี เมืองหลวงของรัฐฉาน วันอังคารที่ 3 เดินทาง 266 กิโลเมตร ไปพักที่เมืองมัณฑะเลย์
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 เดินทาง 343 กิโลเมตร ไปพักที่กะตา เมืองในเขตซะไกง์ ซึ่งเป็นเขตที่มีพรมแดนประชิดติดกับอินเดีย วันพฤหัสบดีที่ 5 เดินทาง 244 กิโลเมตรไปพักที่มิตจีนา เมืองหลวงของรัฐกะฉิ่น
ขณะที่กำลังเขียนรับใช้เพื่อนไลน์ @NTP59 ในขณะนี้ ผมอยู่ที่เมืองปูตาโอ เหนือสุดของเมียนมา ใกล้กับภูเขาคากาโบราซีที่ปกคลุมด้วยหิมะ
ย้อนกลับไปในขณะกำลังพักอยู่ที่เมืองกะตา ผมสนทนากับเจ้าของโรงแรมซึ่งเป็นสตรีสัญชาติเมียนมา เชื้อสายจีน อายุ 72 ปี คุณพ่อของท่านถูกทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มารบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเล่าถึงเหตุการณ์การจลาจลที่ชาวเมียนมาต่อต้านชาวจีนเมื่อ พ.ศ. 2510 ไว้ได้อย่างน่านำมาถ่ายทอดต่อ
เยื้องกับโรงแรมที่ผมพักเป็นโบสถ์ฮินดูที่มีชายสัญชาติเมียนมาเชื้อสายอินเดียดูแล ท่านผู้นี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ชาวเมียนมาก่อจลาจลต่อต้านชาวอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2473 และ พ.ศ. 2481 ซึ่งต่อไปในอนาคตก็มีโอกาสที่จะเกิดซ้ำอีก
ตอนนี้มีคนจีนเข้ามาลงทุนในเมียนมาเป็นจำนวนมาก และเมื่อเจาะลึกลงไป พบว่ามีชาวเมียนมาจำนวนไม่น้อยเริ่มต่อต้านชาวต่างชาติ หากไม่แก้ไขเสียแต่ต้น อาจพัฒนากลายเป็นการจลาจลที่คล้ายกับที่เกิดใน พ.ศ. 2473 พ.ศ. 2481 และพ.ศ. 2510
ประเทศที่เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงานและกำลังอดอยากอย่างหนัก เมื่อบวกกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ก็เป็นไปได้ที่จะทนไม่ไหวและจะลุกขึ้นมาก่อการจลาจลไปทุกตรอกซอกมุมของประเทศ ไม่ใช่แต่เมียนมาเท่านั้น แต่การลุกขึ้นของผู้คนมีโอกาสเกิดในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้
ผมคิดว่าเรื่องเมียนมาก่อการจลาจลต่อต้านคนจีนและอินเดียในอดีตน่าเอามาเล่าต่อ ขอเริ่มจากเรื่องที่คนเมียนมาต่อต้านคนอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2473 ก่อนแล้วกันครับ
ห้วงนั้น เมียนมาหรือพม่า (ชื่อเดิม) ตกเป็นของอังกฤษแล้ว พอขุดคลองสุเอซเสร็จ การเดินเรือจากมหาสมุทรอินเดียไปยังทวีปยุโรปก็ง่ายและสั้นเข้า
อังกฤษจึงมีนโยบายใช้พม่าเป็นแหล่งสินค้าทางการเกษตร พวกยางพารา ไม้สัก เพื่อส่งไปขายในทวีปยุโรป ส่วนข้าว อังกฤษจะส่งไปขายในอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งสมัยนั้นประชากรเริ่มทวีขึ้น แต่ผลิตข้าวไม่พอกิน อังกฤษจึงสนับสนุนคนพม่าให้ออกไปเปิดป่าเพื่อเปลี่ยนมาเป็นนาข้าว
การเปลี่ยนจากป่ามาเป็นนาข้าวต้องใช้ทุนสูง ไหนจะโค่นป่า ขุดตอ และปราบวัชพืช กว่าจะเปลี่ยนป่าดงดิบมาเป็นนาข้าวได้ต้องใช้เวลา 5 ปี และกว่าจะได้กำไรต้องใช้เวลานานถึง 8 ปี คนพม่าจึงต้องพึ่งพาทั้งทุนและแรงงานจากอินเดีย
อังกฤษเอาคนอินเดียเข้าไปในพม่าจำนวนมาก ระหว่าง พ.ศ. 2469-2472 เข้าไปมากถึงปีละ 4 แสนคนโดยเฉลี่ย คนจำนวนไม่น้อยไปเป็นแพทย์ นักกฎหมาย และรับราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรถไฟและกรมตำรวจ
คนอินเดียอีกจำนวนหนึ่งเข้าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและตามบริษัท ส่วนคนอินเดียที่ไม่มีการศึกษาก็ไปเป็นกรรมกรตามโรงงานและในไร่นาด้วยค่าจ้างที่แสนถูก
พรุ่งนี้ขอมารับใช้ต่อครับ ว่าเป็นเพราะอะไรใน พ.ศ. 2473 คนพม่าถึงฆ่าคนอินเดียตายหลายร้อย และในพ.ศ. 2481 มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปมากถึง 1,080 คน
1
ประชาชนนะครับ ถ้าถูกกดดันให้จนตรอก ก็จะร่วมใจกันลุกขึ้นสู้.
โฆษณา