7 มี.ค. 2020 เวลา 04:12 • บันเทิง
Forrest Gump คือหนังชีวิตเรื่องแรกที่ผมได้ดูครับ
ท่านทราบไหมครับว่า กว่าที่หนังเรื่องนี้จะคลอดออกมาให้เราได้ชมกันนั้น มันต้องใช้เวลาในการเดินทางถึง 9 ปีเลยทีเดียว
และบุคคลสำคัญที่ผมอยากให้ทุกท่านจำชื่อเอาไว้ดีๆ คือ Wendy Finerman ครับ เพราะถ้าไม่มีเธอล่ะก็ หนังเรื่องนี้คงไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
(บทความนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องนะครับ Spoiler Alert)
สำหรับผมแล้ว Forrest Gump เป็นหนังที่สวยงามครับ เรื่องราวเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ปิดบังด้านที่เลวร้ายของโลก เพียงแต่หนังเลือกจะนำเสนออย่างพอดีๆ ไม่หนักจนเกินไป ถ้าให้บรรยายความรู้สึกตอนดู ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ ครับ แต่ละนาทีของหนังเรื่องนี้มันเปี่ยมพลังจริงๆ
Cr.pagesix
ย้อนไปประมาณเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1985 ตอนนั้น Finerman ได้มีโอกาสอ่านต้นฉบับนิยายเรื่อง Forrest Gump ที่เขียนโดย Winston Groom แล้วเธอก็ตกหลุมรักมันอย่างแรงครับ จากนั้นเธอก็ไปคุยกับรองประธานฝ่ายผลิตหนังของค่าย Warner Bros. เพื่อเปิดการเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายเพื่อเอามาทำเป็นหนัง โดยสนนราคาเบ็ดเสร็จประมาณ 350,000 เหรียญ
จากนั้นก็เริ่มมีการวางตัวนักแสดงกันขึ้น โดยทั้ง Groom และ Finerman ต่างก็ช่วยกันเลือกดาราที่น่าจะเหมาะกับบทกัมพ์ ดาราเหล่านั้นก็มี Dustin Hoffman, John Goodman, Nick Nolte, Bill Murray, Michael Keaton และ Robin Williams แต่ปรากฏว่าดาราที่พวกเขาหมายตา กลับไม่มีใครสนใจบทนี้เลย (ส่วนหนึ่งก็เพราะฟอร์เรสต์ กัมพ์เป็นคนสติปัญญาต่ำกว่าระดับปกติครับ ซึ่งบทแบบนี้มักถูกมองข้ามในสมัยนั้น)
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่การทาบทามผู้กำกับก็ยังประสบความล้มเหลวครับ ไม่ว่าจะผู้กำกับอย่าง Penny Marshall, Martin Brest, Frank Oz, Joe Dante หรือแม้แต่ Robert Zemeckis ก็ยังเซย์โนให้กับหนังเรื่องนี้
โครงการหนังเรื่องนี้เริ่มจะมืดมนมากขึ้น เพราะดูท่าว่าไม่มีใครสนใจจะทำเลย แต่ Finerman ก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ เธอหอบโครงการไปเสนอ Columbia Pictures แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก แล้วค่ายต่อมาที่เธอเอาโครงการไปเสนอก็คือค่ายดาวภูเขา Paramount Pictures ปรากฏว่าประธานฝ่ายการผลิตของค่ายชอบนิยายเรื่องนี้มากๆ ก็เลยตกลงปลงใจที่จะรับมาทำ
แต่ทีนี้สิทธิ์เดิมนั้นอยู่กับค่าย Warner ครับ Paramount เลยต้องเปิดโต๊ะเจรจาขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายต่อจาก Warner ซึ่ง ทาง Warner ก็เสนอตัวเลขในการขายลิขสิทธิ์ Forrest Gump ที่ 1 ล้านเหรียญครับ ก็ทำเอาทาง Paramount อึ้งไปเหมือนกัน
แต่ Paramount ก็มีทางออกครับ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่นาน Paramount เพิ่งแย่งสิทธิ์บทหนังแอ็กชันเรื่อง Executive Decision ไปจาก Warner ซึ่งก็เป็นที่รู้กันในยุคนั้นครับว่า Warner น่ะชอบที่จะทำหนังแอ็กชันมากกว่าอยู่แล้ว ดังนั้น Paramount เลยเสนอที่จะแลกบทหนัง Executive Decision กับ Forrest Gump และยังจะแถมเงินให้อีก 4 แสนเหรียญด้วย มาไม้นี้ Warner ก็เซย์เยส ตอบตกลงในทันที
Cr.IMDB
พอ Forrest Gump มาอยู่ในร่มเงาของค่ายดาวภูเขาแล้ว ก็มีการวางตัวเลยครับว่าจะให้ Barry Sonnenfeld เจ้าของผลงาน The Addams Family มานั่งเก้าอี้กำกับซึ่ง Sonnenfeld เองพออ่านนิยายเรื่องนี้แล้วก็ตกหลุมรักทันทีเลยเหมือนกัน และเขายังเป็นคนทาบทามให้ Tom Hanks มารับบท ฟอร์เรสต์ กัมพ์อีกด้วย
ทีนี้งานก็เริ่มเดินแล้วครับ Sonnenfeld จัดการติดต่อให้ Eric Roth มาดัดแปลงจากนิยายมาเป็นหนัง ซึ่งเขามีเวลาไม่มากนักในการทำให้บทเป็นรูปเป็นร่าง เนื่องจากตอนนั้นค่ายดาวภูเขาเปลี่ยนประธานอีกแล้วครับ ทำให้สถานะของโครงการนี้กลับมาง่อนแง่นอีกครั้ง
แล้วในเวลาหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ในที่สุด Roth ก็ปิ๊งไอเดียที่จะเล่าเรื่อง Forrest Gump ด้วยวิธีแฟลชแบ็คครับ เขาคิดฉากเปิดเรื่องขึ้นมา เป็นฉากที่ฟอร์เรสต์ กัมพ์นั่งรอรถเมล์อยู่ แล้วจู่ๆ ก็มีขนนกลอยมาตกที่รองเท้าของเขา จากนั้นกัมพ์ก็ค่อยๆ รำลึกเรื่องราวในอดีตของเขาออกมาให้คนดูได้รับรู้กัน ไอเดียเหล่านี้โดนใจประธานคนใหม่ของค่ายดาวภูเขาอย่างยิ่งครับ เขาเลยไฟเขียวให้กับโครงการนี้อย่างเป็นทางการ
1
แต่ข่าวดีๆ แบบนี้กลับมาไวและไปเร็วครับ จู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนประธานอีกรอบและประธานคนใหม่ที่ชื่อว่า Sherry Lansing เกิดสนใจจะทำ Addams Family ภาค 2 จนถึงขั้นว่าทาบทามให้ Barry Sonnenfeld มากำกับเรื่องนี้แทน และยังเสนอค่าตัวให้ Sonnenfeld มากกว่าค่าตัวที่เขาจะได้จากเรื่อง Forrest Gump ตั้ง 3 เท่า
Cr.IMDB
เจอแบบนี้เข้า Sonnenfeld ก็ใจแกว่งครับ ตอนแรกเขาก็พยายามจะประนีประนอมกับ Finerman ครับ โดยการขอเลื่อนกำหนดการเปิดกล้อง Forrest Gump ออกไปก่อน แล้วพอเขาทำ Addams Family 2 เสร็จแล้วค่อยกลับมากำกับ Forrest Gump อีกที
ปรากฏว่า Finerman ไม่ยอมครับ เธอถึงกับร้องไห้ออกมาเพราะเธอต่อสู้เพื่อหนังเรื่องนี้มา 8 ปีแล้ว และเธอไม่อยากจะรออีกต่อไป เธอเลยยื่นคำขาดกับ Sonnenfeld ว่าเขาต้องเลือกว่าจะกำกับ Forrest Gump ตอนนี้หรือจะไม่กำกับเลย
Sonnenfeld ก็กลับไปทบทวนอยู่พักหนึ่งครับ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลับไปทำ Addams Family 2 เพราะผู้จัดการของ Sonnenfeld เองสนับสนุนให้เขาทำหนัง Addams Family มากกว่า (ว่ากันว่าที่เป็นแบบนั้นเพราะค่าตอบแทนมันต่างกันถึง 3 เท่าน่ะครับ ทำให้ผู้จัดการที่ปกติจะได้ 10% จากค่าตัวผู้กำกับเชียร์ให้เขารับงานที่ได้เงินมากกว่า)
แล้วเก้าอี้ผู้กำกับ Forrest Gump ก็ว่างลง แต่ Finerman ก็ยังคงไม่ยอมแพ้ครับ เธอติดต่อไปยัง Penny Marshall อีกรอบ แต่ก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิม จนในที่สุดเธอตัดสินใจพาครอบครัวไปฉลองวันคริสต์มาสที่บ้านของผู้กำกับ Robert Zemeckis พร้อมทั้งเกลี้ยกล่อมว่าบทหนังเรื่อง Forrest Gump นี้จะเป็นเหมือนของขวัญวันคริสต์มาสชิ้นที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะให้เขาได้
Cr.IMDB
พอหมดช่วงวันหยุด Finerman ก็รีบส่งบทไปให้ Zemeckis ครับ แล้วจากนั้น 24 ชั่วโมงต่อมา Zemeckis ก็ติดต่อกลับไป พร้อมตอบตกลงครับ เหตุผลสำคัญคือเพราะพอเขาอ่านบทฉบับล่าสุดที่แล้ว เขาก็รู้สึกอยากที่จะกำกับหนังเรื่องนี้มากๆ
แล้วโครงการก็เริ่มเดินหน้าแบบเต็มตัวอีกครั้งครับ จริงๆ ทุกอย่างถือว่าไปได้สวยยกเว้นอย่างเดียวคือ “เรื่องเงินๆ ทองๆ”
ในเบื้องต้นค่าย Paramount อนุมัติทุนสร้างให้ที่ $40 ล้านครับ ซึ่งจริงๆ ถือว่าเยอะมากแล้วสำหรับหนังชีวิตสักเรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาคือ Forrest Gump มีสิ่งหนึ่งที่ต้องมีในหนัง นั่นคือ CG ครับ ต้องมีการใช้เทคนิค CG เนรมิตบุคคลในประวัติศาสตร์ที่กัมพ์ได้ไปพบ อย่างจอห์น เอฟ เคนเนดี้ หรือ ริชาร์ด นิกสัน ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็เกือบๆ 10 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่งประเด็นนี้เป็นปัญหาอย่างมาก แต่ทีมงานก็พยายามที่จะเซฟงบและถ่ายทำภายใต้งบที่ค่ายให้น่ะครับ แต่ถึงที่สุดแล้วงบ $40 ล้าน ก็เอาไม่อยู่จริงๆ จนทำให้ Rober Zemeckis, Tom Hanks, Finerman และผู้อำนวยการสร้างต้องยอมรับเงินค่าตัวช้ากว่ากำหนดครับ ว่าง่ายๆ คือยอมเอาเงินค่าตัวของพวกเขามาใช้จ่ายเพื่อประคองให้หนังสามารถถ่ายทำต่อไปได้จนจบ
ปรากฏว่าสุทธิสุดท้ายแล้ว งบก็บานปลายจาก $40 ล้านเป็น $55 ล้านครับ ว่ากันว่าทาง Paramount ไม่สบอารมณ์อย่างมาก ถึงขนาดประกาศว่าจะไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในงานปาร์ตี้วันปิดกล้องเลยทีเดียว จนทีมงานระดับหัวหอกนำโดย Tom Hanks และ Robert Zemeckis ต้องควักเงินตัวเองออกมาเพื่อจัดงานเลี้ยงให้กับทีมงานทุกคนที่อุตส่าห์ทุ่มเทเพื่อหนังมาถึงขนาดนี้
และหนังก็ถูกตัดต่อจนเสร็จครับ ทางผู้บริหารค่าย Paramount ก็มานั่งดู และพวกเขาชอบมันมากๆ ถึงขนาดมีผู้บริหารบางคนเอ่ยปากเลยว่า “หากหนังเรื่องนี้ไม่ดังล่ะก็ จะไม่ขออยู่ในวงการนี้อีกต่อไป”
Cr.Pinterest
ในที่สุดทางผู้บริหารก็เอ่ยปากชมครับ และยอมจ่ายเงินค่างานเลี้ยงปาร์ตี้ปิดกล้องคืนให้กับทุกคนที่ควักเงินตัวเองออกไป
และเมื่อหนังออกฉาย หนังสามารถทำเงินเบ็ดเสร็จในอเมริกาได้ 329 ล้าน หากรวมทั่วโลกก็จะเป็น 673 ล้าน ครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดประจำปี 1994 และตอนออกวีดีโอยังสามารถทำรายได้คืนมาไม่ต่ำกว่า 150 ล้านเหรียญ
และในแง่รางวัล หนังคว้าออสการ์มาได้ 6 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม และ เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยครับ หากไม่มีผู้หญิงที่ชื่อ Wendy Finerman กับการต่อสู้ 9 ปีของเธอ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จออกมาได้
Cr.underthebutton
หากถามว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรกับผมบ้าง อย่างแรกเลยคือความสุขครับ จุดเด่นสำคัญคือการเล่าเรื่อง หนังเล่าเรื่องแบบต่อเนื่องกันไป แต่ละซีนจะเป็นเหตุการณ์ที่ความยาวไม่มาก นำมาร้อยเรียงเล่าต่อๆ กัน ซีนนั้น 2 นาที ซีนนั้น 4 นาที และแต่ละซีนมันคือเรื่องราวแบบเนื้อๆ ทำให้หนังไม่มีความน่าเบื่อใดๆ มีแต่ความลื่นไหลและคล่องคอ
สิ่งต่อมาคือสิ่งที่ฟอร์เรสต์ กัมพ์สอนเราครับ จริงที่เขามีสติปัญญาต่ำกว่าระดับ โดยรวมๆ แล้วกัมพ์มีลักษณะของคนเป็นออทิสติกเพียงแต่ในหนังและในนิยายจะไม่ได้บอกแบบตรงๆ แต่สิ่งที่เขาเป็นกลับมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต เพราะจริงๆ แล้วชีวิตของกัมพ์นี่ก็รันทดนะครับ เขาไม่มีพ่อ ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ ขาก็ไม่แข็งแรง นอกจากแม่และเจนนี่ที่ดีต่อเขาแล้ว คนอื่นๆ มีแต่จะมองว่าเขาเป็นคนไม่เต็มเต็ง ซึ่งหากเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็อาจคิดมาก เครียดมาก ดีไม่ดีอาจจะคิดสั้นด้วยซ้ำ
แต่ด้วยสิ่งที่เขาเป็น ทำให้เขาไม่คิดเยอะ ไม่สนใจอะไรมาก เขาเพียงดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ จากเช้าถึงเย็น จากตื่นถึงหลับ ดุจขนนกที่ลอยลม มีลมก็ลอย ไม่มีลมก็หยุด
ส่วนคนอื่นๆ ที่สมองปกติกลับต้องเจอแต่เรื่องทุกข์ อย่างเจนนี่ที่โดนพ่อทำร้ายตั้งแต่ยังเล็ก เธอจึงพยายามหนีไปให้ไกลจากบ้านมากที่สุด แต่แม้เธอจะหนีไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เธอก็ยังรู้สึกทุกข์ รู้สึกสับสน เพราะจิตใจของเธอยังติดอยู่ในบ้านหลังนั้น บ้านที่เธอพบเจอกับเรื่องเลวร้าย
เธอเดินทางทั่ว เข้ากลุ่มบุปผาชน เข้ากลุ่มคนเล่นยา หมายจะค้นหาอะไรบางอย่างที่จะทำให้ตนเองเป็นอิสระ หรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้ชีวิตมีความหมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งใดนำพาเธอไปถึงสิ่งเหล่านั้นได้
ยกเว้นผู้ชายสติไม่เต็มคนหนึ่ง ที่เติมเธอให้เต็ม ด้วยความรัก
cr.AL.com
และยังมีผู้หมวดแดนอีกคน เขาคนนี้จริงๆ เจอจุดหมายในชีวิตแล้ว นั่นคือต้องการตายกลางสนามรบแบบเดียวกันบรรพบุรุษ เขามองว่านั่นคือความหมาย มองว่านั่นคือศักดิ์ศรี แต่แล้วก็มีนายทหารซื่อๆ คนหนึ่ง มาแบกเขาออกไปให้พ้นจากความตาย
ผู้หมวดแดนไม่รู้สึกขอบคุณนายทหารคนนั้นแม้แต่น้อย จริงๆ เขาโกรธด้วยซ้ำที่นายทหารคนนั้นทำให้เขาพลาดโอกาสจะไปให้ถึงจุดหมายที่เขายึดมั่น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป นายทหารคนนี้ยังคงแวะเวียนมาแบกเขาอีกเป็นพักๆ
... แบกให้เขาลุกขึ้น
... แบกให้เขาขึ้นเรือ
... แบกจนเขายิ้มให้กับโลก
... แบกเขา ไปสู่ ชีวิตใหม่
น่าคิดเหมือนกันว่าชีวิตผู้หมวดแดนจะเป็นอย่างไร หากเขาเลือกจะเกาะขวดเหล้า แทนที่จะเกาะไหล่ของฟอร์เรสต์ กัมพ์
Cr.garysinise.com
... ชีวิตก็เหมือนช็อกโกแลตซักกล่อง เราไม่มีวันรู้ว่าจะได้อะไร
เพราะอย่างนั้นล่ะครับ เราถึงต้องพร้อมที่รับกับอะไรก็ตามที่จะเข้ามาในชีวิต
และแม้เราจะไม่รู้ว่าอะไรที่จะเข้ามา แต่อย่างน้อยเราก็เลือกได้ว่าจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
มีลมก็ลอย ไม่มีลมก็หยุด
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่าผมดู Forrest Gump ไปกี่รอบแล้ว
รู้เพียงตอนนี้ ผมอยากดูอีก และผมรู้ว่าผมจะต้องมีความสุขอีกแน่ๆ
แด่ Forrest Gump อัจฉริยะปัญญานิ่ม ครับ
ท่านยังสามารถชมวีดีโอเวอร์ชั่นภาพและเสียงได้ที่นี่ครับ
โฆษณา