ฤดูกาล 2004-05 แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทซีซั่นด้วยผลงานย่ำแย่ พวกเขาแพ้ อาร์เซน่อล ซึ่งเพิ่งเป็นแชมป์ไร้พ่ายในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนจะเป็นทีมแรกที่แพ้ให้กับ เชลซี ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในพรีเมียร์ลีกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยสกอร์ 0-1
เกมลีก 4 นัดแรกของฤดูกาลนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมเก็บชัยชนะเพียงนัดเดียว แถมเป็นการเฉือนน้องใหม่อย่าง นอริช ซิตี้ แบบหืดจับ 2-1
สาเหตุสำคัญของฟอร์มสุดฝืด คืออาการบาดเจ็บของดาวยิงตัวความหวังอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย รวมไปถึงตัวเก๋าอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่พักยาวจนคนลืมไปว่าตอนนั้นยังไม่แขวนสตั๊ด
ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ต้องไปเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกสชุด ยู-23 ทำศึกฟุตบอลชายโอลิมปิกที่เอเธนส์ เท่ากับว่าแนวรุกผีแดงตอนนั้น ต้องฝากความหวังไว้กับสมาชิกใหม่อย่าง อลัน สมิธ
วันที่ 25 สิงหาคม 2004 ระหว่างเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ ดินาโม บูคาเรสต์ 3-0 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มีแฟนบอลรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าชื่อ โจ รวน ชูป้ายกระดาษที่ทำขึ้นเองง่ายๆ พร้อมข้อความง่ายๆ ตามสไตล์เด็กๆ ว่า “Please Buy Rooney”
อันที่จริง ต่อให้ไม่มีแฟนบอลคนไหนเรียกร้อง แต่ปฏิบัติการดูด เวย์น รูนี่ย์ ไปร่วมทัพ คือภารกิจที่ เซอร์ อเล็กซ์ จำเป็นต้องทำให้สำเร็จอยู่ดี
เพราะถ้าทีมอื่นได้ตัวไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่บริษัทใหญ่แพ้ประมูลโครงการสำคัญ ในการแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินที่ถูกตีราคาว่ามีมูลค่ามากที่สุดในรอบทศวรรษของประเทศชาติ
ย้อนไปเมื่อปี 2004 เวย์น รูนี่ย์ วัย 18 ปี คือดาวรุ่งพุ่งแรงอันดับหนึ่งของอังกฤษอย่างไม่ต้องสงสัย หลังแจ้งเกิดสักพักใหญ่ก่อนหน้านั้นกับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยฝีเท้าและผลงานที่แสดงให้เห็นประจักษ์กับตา ในช่วง 2 ฤดูกาลที่เพิ่งประเดิมสนามบนเวทีพรีเมียร์ลีก
และเมื่อระเบิดฟอร์มเทพในศึกยูโร 2004 ที่ยิงไปถึง 4 ประตู นั่นทำให้สปอตไลท์ทุกดวงในอังกฤษสาดส่องไปที่ “วันเดอร์คิด” คนนี้มากยิ่งขึ้น
แม้จะต้องพักรักษาตัวนานหลายเดือน เพราะได้รับบาดเจ็บในเกมพบกับ โปรตุเกส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้ทีมสิงโตคำรามแพ้การดวลจุดโทษจนตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยหยุดให้ความสนใจ
และแน่นอนว่า เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่ต้องการขาย รูนี่ย์ ไม่ว่าทีมทอฟฟี่จะอยู่ในสภาพขาดความคล่องตัวทางการเงินขนาดไหนก็ตาม