7 มี.ค. 2020 เวลา 10:41 • กีฬา
เวย์น รูนี่ย์ คือเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยผลงาน 253 ประตูจาก 559 นัด ผ่านการรับใช้ทีมปีศาจแดงเป็นเวลานานถึง 13 ปี
 
แน่นอนว่าสถิติแบบนั้น ทำให้ชื่อของเขาถูกยกขึ้นหิ้งเป็นอีกหนึ่งตำนานตัวจริงแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
 
ทั้งแฟนบอล, นักเตะชุดปัจจุบัน รวมถึงกุนซืออย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยังคง Respect อดีตกัปตันทีมคนนี้เป็นอย่างสูง สังเกตได้ชัดเจนจากปฏิกิริยาที่ทุกคนมีต่อเขาในเกม เอฟเอ คัพ ที่ผ่านมา ที่ผีแดงบุกถล่ม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 3-0
 
ด้วยความที่เป็นไอคอนของความสำเร็จนับไม่ถ้วนของทีมปีศาจแดงมาตั้งแต่ยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ โดยได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปถึง 5 สมัย เข้าชิงบอลยุโรป 3 ครั้ง และเคยได้แชมป์เมื่อปี 2008 มาจนถึงโทรฟี่สุดท้ายภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่
 
ด้วยความที่เป็นเจ้าของประตูที่สวยที่สุดของสโมสรอยู่หลายๆ ฤดูกาล ทั้งลูกวอลเลย์เต็มข้อใส่ นิวคาสเซิ่ล ปี 2005, ลูกจักรยานอากาศใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปี 2011 และลูกกลับตัวยิงครึ่งสนามใส่ เวสต์แฮม ในปี 2014
 
นั่นทำให้แฟนบอลจดจำช่วงเวลาดีๆ ของเขากับสโมสรมากกว่าวีรกรรมการก่อปัญหาเอาไว้ไม่น้อยในอดีต
 
แน่นอนว่าเขาคือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลคนหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคงไม่มีทางมีเส้นทางอาชีพที่มหัศจรรย์ขนาดนี้ หากไม่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ฤดูกาล 2004-05 แมนฯ ยูไนเต็ด ออกสตาร์ทซีซั่นด้วยผลงานย่ำแย่ พวกเขาแพ้ อาร์เซน่อล ซึ่งเพิ่งเป็นแชมป์ไร้พ่ายในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนจะเป็นทีมแรกที่แพ้ให้กับ เชลซี ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในพรีเมียร์ลีกที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยสกอร์ 0-1
 
เกมลีก 4 นัดแรกของฤดูกาลนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พาทีมเก็บชัยชนะเพียงนัดเดียว แถมเป็นการเฉือนน้องใหม่อย่าง นอริช ซิตี้ แบบหืดจับ 2-1
 
สาเหตุสำคัญของฟอร์มสุดฝืด คืออาการบาดเจ็บของดาวยิงตัวความหวังอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย รวมไปถึงตัวเก๋าอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่พักยาวจนคนลืมไปว่าตอนนั้นยังไม่แขวนสตั๊ด
 
ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็ต้องไปเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกสชุด ยู-23 ทำศึกฟุตบอลชายโอลิมปิกที่เอเธนส์ เท่ากับว่าแนวรุกผีแดงตอนนั้น ต้องฝากความหวังไว้กับสมาชิกใหม่อย่าง อลัน สมิธ
 
วันที่ 25 สิงหาคม 2004 ระหว่างเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ ดินาโม บูคาเรสต์ 3-0 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มีแฟนบอลรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าชื่อ โจ รวน ชูป้ายกระดาษที่ทำขึ้นเองง่ายๆ พร้อมข้อความง่ายๆ ตามสไตล์เด็กๆ ว่า “Please Buy Rooney”
 
อันที่จริง ต่อให้ไม่มีแฟนบอลคนไหนเรียกร้อง แต่ปฏิบัติการดูด เวย์น รูนี่ย์ ไปร่วมทัพ คือภารกิจที่ เซอร์ อเล็กซ์ จำเป็นต้องทำให้สำเร็จอยู่ดี
 
เพราะถ้าทีมอื่นได้ตัวไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่บริษัทใหญ่แพ้ประมูลโครงการสำคัญ ในการแย่งชิงสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินที่ถูกตีราคาว่ามีมูลค่ามากที่สุดในรอบทศวรรษของประเทศชาติ
 
ย้อนไปเมื่อปี 2004 เวย์น รูนี่ย์ วัย 18 ปี คือดาวรุ่งพุ่งแรงอันดับหนึ่งของอังกฤษอย่างไม่ต้องสงสัย หลังแจ้งเกิดสักพักใหญ่ก่อนหน้านั้นกับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยฝีเท้าและผลงานที่แสดงให้เห็นประจักษ์กับตา ในช่วง 2 ฤดูกาลที่เพิ่งประเดิมสนามบนเวทีพรีเมียร์ลีก
 
และเมื่อระเบิดฟอร์มเทพในศึกยูโร 2004 ที่ยิงไปถึง 4 ประตู นั่นทำให้สปอตไลท์ทุกดวงในอังกฤษสาดส่องไปที่ “วันเดอร์คิด” คนนี้มากยิ่งขึ้น
 
แม้จะต้องพักรักษาตัวนานหลายเดือน เพราะได้รับบาดเจ็บในเกมพบกับ โปรตุเกส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้ทีมสิงโตคำรามแพ้การดวลจุดโทษจนตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เคยหยุดให้ความสนใจ
 
และแน่นอนว่า เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่ต้องการขาย รูนี่ย์ ไม่ว่าทีมทอฟฟี่จะอยู่ในสภาพขาดความคล่องตัวทางการเงินขนาดไหนก็ตาม
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เผยว่า กว่าที่ทีมปีศาจแดงจะบรรลุข้อตกลงคว้าตัว รูนี่ย์ ไปเสริมทัพได้ ก็ต้องรอถึงช่วงก่อนปิดตลาดซื้อขายซัมเมอร์ปีนั้นเพียง 7 ชั่วโมง
 
บิล เคนไรท์ อดีตประธานสโมสร เอฟเวอร์ตัน ถึงกับร้องไห้ในคืนสำคัญของการเจรจา ขณะที่ เดวิด มอยส์ กุนซือทอฟฟี่สีน้ำเงินในตอนนั้น แสดงท่าทางขึงขังว่าจะไม่มีทางปล่อยสมบัติสำคัญให้ในราคาถูกๆ แน่
 
สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องยอมทุ่มเงินรวมออปชั่นทั้งหมดเป็นมูลค่าสูงกว่า 25 ล้านปอนด์ ส่งผลให้ เวย์น รูนี่ย์ คือเจ้าของสถิตินักเตะอายุไม่ถึง 20 ปีที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ณ เวลานั้น
 
สิ่งที่ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ ประทับใจนอกจากพรสวรรค์ที่เก่งเกินเด็ก คือคาแรกเตอร์ที่เป็นคนมุ่งมั่น กระหายอยากลงสนามตลอดเวลา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ รูนี่ย์ เป็นนักเตะที่วิ่งพล่านทั่วสนามได้ตลอด 90 นาที
 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของ รูนี่ย์ คือรูปร่างที่เป็นนักเตะโครงใหญ่ และมีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก
 
เฟอร์กี้เคยเผยว่า เขามองว่าตำนานผีแดงคนนี้จะขึ้นสู่จุดพีคตอนอายุราวๆ 26 แต่ถ้าเข้าวัยเลขสามเมื่อไร ความฟิตจะตกลงฮวบฮาบทันที
 
ซึ่งปัญหาสำคัญคือเรื่องสรีระนั่นแหละ เขาไม่ใช่ผู้เล่นที่รูปร่างพื้นฐานดีเหมือน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่พร้อมเล่นระดับสูงได้จนกระทั่งอายุเกือบๆ 40 ปี หากดูแลร่างกายให้ดีตลอดเวลา
 
แต่สิ่งที่ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เชื่อมั่นว่าการเซ็นสัญญากับ เวย์น รูนี่ย์ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่ออนาคตระยะยาวของสโมสร นั่นคือพรสวรรค์ที่หาตัวจับยาก และความกล้าหาญในการต่อสู้ที่เหนือกว่านักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันนั่นแหละ
 
และต่อให้ถึงวันที่ รูนี่ย์ เข้าสู่วัยเลยจุดพีค เฟอร์กี้ก็ยังมีแผนสำรองอีกว่า สามารถปรับตำแหน่งให้ถอยไปเล่นเป็นกองกลางในภายหลังก็ยังได้
2
การได้ตัวนักเตะพรสวรรค์สูงที่สุดของอังกฤษมาร่วมทีมตั้งแต่วัยรุ่น ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ ต้องใช้ศิลปะชั้นสูงในการดูแลคน มาประคบประหงม รูนี่ย์ ตั้งแต่ปีแรกๆ ที่ได้ตัวเขามาร่วมทีม
 
เขาไม่ใช่นักเตะที่ย้ายมาปุ๊บก็พร้อมลงปั๊บ เพราะมีอาการบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกติดตัวมาตั้งแต่ศึกยูโรแล้ว ทำให้กว่าดาวยิงร่างตันจะได้เดบิวต์กับต้นสังกัดใหม่ ต้องใช้เวลาหลังจากเปิดตัวชูเสื้อเกือบๆ 1 เดือน
 
วันที่ 28 กันยายน 2004 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเตะเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก พบกับ เฟเนร์บาห์เช่ ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกมนั้น เวย์น รูนี่ย์ ได้ลงเล่นให้ทีมปีศาจแดงเป็นนัดแรก ก่อนพาทีมชนะไปแบบท่วมท้นด้วยสกอร์ 6-2
 
ทุกคนคงจำได้ว่าเกมนั้น รูนี่ย์ ทำแฮตทริกได้สำเร็จ และในเมื่อประเดิมเครื่องแบบผีแดงนัดแรกได้อย่างมหัศจรรย์ แน่นอนว่าเขาต้องอยากได้ลูกฟุตบอลของเกมนั้นกลับไปเก็บเป็นที่ระลึก ตามสิทธิ์ที่นักเตะที่ทำแฮตทริกได้พึงได้รับ
 
แต่ผู้ตัดสิน แฟร้งค์ เดอ บลีคแกร์ จากเบลเยียม ปฏิเสธที่จะมอบมันให้กับดาวยิงวัยทีนเอจ โดยบอกว่า “บอลลูกนี้มันสำหรับผม”
 
ทว่ามีคนคนหนึ่งเดินเข้าไปหาผู้ตัดสินในห้องแต่งตัว เพื่อทวงสิ่งของเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยคุณค่าทางจิตใจกลับมาให้
 
คนที่เอาลูกบอลกลับมาให้ รูนี่ย์ ได้ในตอนนั้นคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
 
“ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้จัดการทีมมาถามผมว่า “อะไรวะเนี่ย! แกไม่ได้ลูกบอลงั้นเหรอ?” แล้วเขาก็ออกไปหาผู้ตัดสิน”
 
“จากนั้นเขากลับมาพร้อมกับลูกบอล และผมไม่สามารถขอบคุณเขาได้มากพอเลยจริงๆ”
1
ภายใต้การดูแลของ เซอร์ อเล็กซ์ ดาวเตะผู้เป็นผลผลิตจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ค่อยๆ กลายเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ
 
หลังจาก รุด ฟาน นิสเตลรอย ย้ายออกไปแค่ปีเดียว เวย์น รูนี่ย์ ก็ได้ครอบครองเสื้อหมายเลข 10 ในปี 2007
 
เขาเป็นกำลังสำคัญของทีมชุดที่แกร่งที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน (2006-2008)
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงเวลาที่เล่นร่วมกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ คาร์ลอส เตเวซ นอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด จะเหมาแชมป์ลีกแล้ว ในปี 2008 ยังคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และสโมสรโลกมาครองได้ด้วย
 
แต่หลังจบฤดูกาล 2008-09 ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พลาดโอกาสพาทีมป้องกันแชมป์ยุโรปเพราะพ่ายแพ้ต่อ บาร์เซโลน่า ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บรมกุนซือชาวสกอตติชก็อนุญาตให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก ตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านั้น 1 ปี
 
ขณะที่ คาร์ลอส เตเวซ เลือกหนีไปซบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แทน ทำให้ขุมกำลังของปีศาจแดงดูจะดร็อปคุณภาพลงไปไม่น้อย
 
นักเตะที่ เซอร์ อเล็กซ์ ดึงเข้าไปแทนดูจะมีคลาสเทียบเท่า 2 สตาร์ดังที่ย้ายออกไปไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ วาเลนเซีย, กาเบรียล โอแบร์กต็อง และ มาเม่ บิราม ดิยุฟ ส่วน ไมเคิ่ล โอเว่น ก็เจออาการบาดเจ็บเล่นงานบ่อยซะจนแทบหมดสภาพแล้ว
 
ถึง วาเลนเซีย จะทำผลงานได้ดีกับบทบาทปีกขวาในปีแรกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด และช่วยให้ รูนี่ย์ ยิงเป็นกอบเป็นกำด้วยผลงาน 34 ลูกจาก 44 นัดรวมทุกรายการ แต่ซีซั่นนั้นทีมเสียแชมป์ลีกให้กับ เชลซี
 
ในปี 2010 สโมสรยังคงไม่ยอมเซ็นสัญญากับนักเตะระดับท็อป แต่กลับไปคว้าตัวผู้เล่นที่ยังโนเนมอย่าง คริส สมอลลิ่ง และ ฮาเวียร์ “ชิชาริโต้” เอร์นานเดซ
หนักสุดคือ เบเบ้ เอามาจากไหนก็ไม่รู้ นี่คืออดีตนักเตะทีมชาติโปรตุเกสชุดของ "คนไร้บ้าน" ด้วยซ้ำ
 
นั่นยิ่งทำให้ รูนี่ย์ ไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของต้นสังกัดอีก ว่าจะกลับไปเป็นทีมระดับท็อปของลีก และจะท้าชิงความสำเร็จในระดับทวีปได้อย่างไร
ก่อนเปิดฤดูกาล 2010-11 ไม่กี่วัน รูนี่ย์ แจ้งกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่าไม่ต้องการต่อสัญญาใหม่
 
หลังจากนั้นในเดือนตุลาคม อดีตกองหน้าเจ้าของฉายาสุกรโลกันตร์เข้าไปประชุมร่วมกับ เซอร์ อเล็กซ์ และ เดวิด กิลล์ อดีตประธานสโมสร โดยตำหนิ แมนฯ ยูไนเต็ด ว่าดูไม่มีความทะเยอทะยานมากพอ จึงเป็นเหตุผลให้เขาลังเลเรื่องการฝากอนาคตกับทีมต่อไป
 
เซอร์ อเล็กซ์ โมโหมากที่ได้ยินข้ออ้างแบบนั้น เขาโต้ตอบใส่ รูนี่ย์ ไปว่า “ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีปีไหนบ้างที่เราไม่ได้ลุ้นแชมป์ลีก และเราผ่านเข้าชิงระดับยูโรเปี้ยนกี่ครั้ง ในช่วงเวลา 3-4 ปี”
 
นี่คือทีมที่ทำให้ รูนี่ย์ มีเกียรติประวัติแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน, มีแชมป์ยุโรป, มีแชมป์โลก และเกือบจะได้แชมป์ลีก 4 ปีติด เพียงแต่อาการบาดเจ็บของ รูนี่ย์ ในช่วงโค้งสุดท้าย ส่งผลให้บั้นปลายตามหลัง เชลซี แค่แต้มเดียว
 
เพราะฉะนั้นการที่มีลูกทีมมาตั้งแง่ว่าสโมสรไม่ดีพอ จึงเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้
 
รูนี่ย์ แนะนำว่า “แต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เราน่าจะซื้อ เมซุต โอซิล” (เรอัล มาดริด คือทีมที่ได้ตัวไปแทนด้วยราคาไม่แพงจาก เบรเมน หลังจากนักเตะฟอร์มเด่นในฟุตบอลโลก 2010)
 
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแกที่จะมาบอกว่าเราควรซื้อใคร” กุนซือระดับท่านเซอร์ สวนกลับ
 
และการประชุมกันก็ไม่ได้บทสรุปที่เคลียร์นัก เพราะตอนนั้น เฟอร์กูสัน ยังต้องเตรียมทีมสำหรับลงเตะเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก พบกับ บูร์ซาสปอร์
 
ในการให้สัมภาษณ์ เพรสส์ คอนเฟอเรนซ์ ก่อนแข่ง 1 วัน อดีตตำนานผู้จัดการทีมปีศาจแดง บอกกับนักข่าวว่า เวย์น รูนี่ย์ ต้องการย้ายทีมจริงๆ โดยเผยว่าตนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุผลอะไร ในเมื่อให้การดูแล รูนี่ย์ เป็นอย่างดีตลอดมา ยิ่งกว่านักเตะคนไหนๆ ในทีมด้วยซ้ำ
 
จริงๆ ป๋าเฟอร์กี้ทำแบบนั้น เพราะต้องการให้ รูนี่ย์ มาขอโทษเขา จากการเล่นแง่ ทำท่าว่าตัวเองกำลังเป็นนักเตะที่ใหญ่กว่าสโมสร ทั้งที่แม้แต่ผู้เล่นระดับ ไรอัน กิ๊กส์ กับ พอล สโคลส์ ยังไม่เคยมีท่าทางแบบนี้มาก่อน
แต่ในวันถัดมา ก่อนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะพบกับ บูร์ซาสปอร์ เพียง 2 ชั่วโมง จู่ๆ รูนี่ย์ ก็ออกแถลงการณ์ให้สถานการณ์มันแย่ลงไปอีก เมื่อบอกชัดเจนว่าเขาต้องการย้ายทีม
 
“ผมได้พบกับ เดวิด กิลล์ เมื่อสัปดาห์ก่อน และเขาไม่ได้ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นแต่อย่างใด เกี่ยวกับขุมกำลังของทีมในอนาคต”
 
“ผมจึงแจ้งเขาไปว่าผมจะไม่ต่อสัญญา ผมสนใจว่า เซอร์ อเล็กซ์ จะต้องพูดอะไรออกมาบ้างเมื่อวานนี้ และประหลาดใจกับคำพูดบางอย่างของเขา”
 
“มันเป็นความจริงแท้อย่างที่เขาเคยบอก ที่เอเยนต์ของผมและตัวผมมีการประชุมร่วมกับสโมสรหลายครั้งเรื่องสัญญาใหม่”
 
“ระหว่างการประชุมเหล่านั้นในช่วงเดือนสิงหาคม ผมขอร้องให้สโมสรรับรองว่า พวกเขาจะยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักเตะระดับท็อปของโลกได้”
 
“ผมไม่เคยมีสิ่งอื่นใดนอกจากการให้ความเคารพอย่างสูงต่อสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมจะไม่เคารพประวัติศาสตร์อันมหัศจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 6 ปีที่ผ่านมา ที่ผมโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมันได้อย่างไรล่ะ?”
 
“สำหรับผม ทั้งหมดมันคือเรื่องของการคว้าแชมป์ ในฐานะสโมสรที่เคยทำได้เสมอภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ และเพราะเหตุนั้น สิ่งที่ผมขอไปมันจึงเป็นเรื่องที่สมควร”
 
“แม้ช่วงหลังๆ มาจะมีปัญหา แต่ผมตระหนักว่าผมเป็นหนี้บุญคุณอย่างสูงต่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาคือผู้จัดการทีมและผู้ชี้แนะที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งช่วยเหลือและสนับสนุนผมมาตั้งแต่วันที่เขาเซ็นสัญญาคว้าผมจาก เอฟเวอร์ตัน ตอนที่ผมอายุแค่ 18 ปี”
 
“เพื่อประโยชน์สูงสุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมหวังว่าเขาจะยังทำหน้าที่นั้นได้ตลอดไป เพราะเขาคือกุนซือเพียงหนึ่งเดียว และเป็นอัจฉริยะ”
 
แต่เรื่องที่พลิกล็อคกว่านั้นก็เกิดขึ้น เพราะหลังจากแถลงการณ์นั้นออกมาเพียง 2 วัน รูนี่ย์ ก็จรดปากกาต่อสัญญากับทีมยาวจนถึงปี 2015 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ณ ตอนนั้น
ในหนังสืออัตชีวประวัติของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือระดับตำนานถึงกับใช้คำว่า “เป็นเรื่องน่าสมเพชสำหรับ เวย์น เพราะเขาทำตัวเหมือนนักเตะหิวเงิน”
 
คือตอนทำท่างอแง ก็ยกเหตุผลมาอ้างร้อยแปด แต่พอได้ค่าจ้างมหาศาล กลายเป็นว่าปฏิกิริยาเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง
 
ถึง เซอร์ อเล็กซ์ จะไม่คิดว่าเจตนาของดาวเตะลูกรักจะเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟนบอลจะมองเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
 
คือตราบใดที่ยังยิงประตูได้เรื่อยๆ จะไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าฟอร์มห่วยเมื่อไร เขาจะถูกโจมตียิ่งกว่าเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
 
หลังจากได้สัญญาฉบับใหม่ รูนี่ย์ ใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะคืนฟอร์มกลับมายิงประตูได้อีกครั้ง กว่าจะยิงลูกแรกได้จากโอเพ่นเพลย์ เมื่อโหม่งใส่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในวันขึ้นปีใหม่ 2011
 
ยังดีที่ช่วงต่อจากนั้น เขาเร่งฟอร์มกลับมาซัดในลีกได้อีก 9 ลูก หนึ่งในนั้นคือลูกยิงจักรยานอากาศใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกยกขึ้นหิ้งว่าสวยที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก บวกกับผลงานเหมาแฮตทริก พาทีมพลิกแซงชนะ เวสต์แฮม ที่ อัพตัน พาร์ค 4-2 จากการโดนนำก่อน 2 ประตู
 
แมนฯ ยูไนเต็ด ทวงแชมป์พรีเมียร์ลีกคืนมาได้ในซีซั่น 2010-11 โดย รูนี่ย์ มีบทบาทสำคัญกับครึ่งซีซั่นหลัง
 
อย่างไรก็ตาม คนที่โดดเด่นกว่าจริงๆ คือ นานี่, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ที่เป็นดาวซัลโว และผู้มาใหม่อย่าง ฮาเวียร์ “ชิชาริโต้” เอร์นานเดซ ที่ซัดประเดิมซีซั่นแรกในอังกฤษถึง 20 ประตูรวมทุกรายการ
1
ฤดูกาล 2011-12 เวย์น รูนี่ย์ ระเบิดฟอร์มร้อนแรงในช่วงออกสตาร์ทซีซั่น เมื่อทำประตูได้ 5 นัดติดต่อกัน แถมมีการทำแฮตทริก 2 เกมติดใส่ อาร์เซน่อล และ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ด้วย
 
แต่หลังจากนั้นเขาฟอร์มฝืดๆ ไปพักใหญ่ และก่อวีรกรรมฝ่าฝืนคำสั่งของสโมสรอีกครั้ง ในวันบ็อกซิ่งเดย์ เมื่อพา จอนนี่ อีแวนส์ กับ ดาร์รอน กิ๊บสัน ออกไปเที่ยวโรงแรม หลังจากทีมเพิ่งถล่ม วีแกน แอธเลติก 5-0 ทำให้วันถัดมามีระดับความฟิตไม่มากพอสำหรับการฝึกซ้อม
 
เซอร์ อเล็กซ์ สั่งลงโทษปรับค่าเหนื่อยทั้ง 3 คนดังกล่าว 1 สัปดาห์ และดร็อปออกจากทีมในเกมพรีเมียร์ลีกวันสิ้นปี 2011
ซึ่งสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด พ่าย แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คาบ้านแบบพลิกล็อค 2-3 ก่อนที่มันจะส่งผลสำคัญให้ทีมเสียแชมป์ลีกให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยผลต่างประตูได้-เสียในบั้นปลาย
แม้ฤดูกาล 2011-12 เวย์น รูนี่ย์ จะยิงได้มากที่สุดในชีวิตค้าแข้ง (27 ประตูในพรีเมียร์ลีก, 34 ประตู รวมทุกรายการ) แต่ต้นสังกัดไม่สามารถคว้าแชมป์รายการไหนมาครองได้เลย
 
การพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างน่าเจ็บใจ ทำให้ซัมเมอร์ 2012 บรมกุนซือชาวสกอตติชเสริมดาวดังระดับท็อปคลาสอีกครั้ง
เริ่มด้วย ชินจิ คากาวะ ที่เพิ่งเป็นกำลังสำคัญพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แชมป์ลีก 2 สมัยซ้อน
 
แต่คนที่มาสั่นคลอนตำแหน่งของ รูนี่ย์ อย่างแท้จริง คืออดีตดาวยิงที่ไม่ยอมต่อสัญญาใหม่กับ อาร์เซน่อล อย่าง โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ที่เข้ามายกระดับเกมรุกให้ทีมด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์
 
หัวหอกชาวดัตช์ซัดรวมกันถึง 30 ประตู แบ่งเป็น 26 ลูกในพรีเมียร์ลีก โดยได้ลงสนามเกมลีกครบ 38 เกม และครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด
 
ด้วยฟอร์มระดับนั้นของ ฟาน เพอร์ซี่ ทำให้ รูนี่ย์ มีความสำคัญกับทีมน้อยลง บวกกับมีปัญหาสภาพร่างกายในซีซั่น 2012-13 จนพลาดโอกาสลงเล่นในลีกซีซั่นนั้นถึง 11 นัด และมีชื่อออกสตาร์ทตัวจริงแค่ 22 เกมเท่านั้น
 
อีกหนึ่งแมตช์สำคัญที่ รูนี่ย์ หลุดไปนั่งสำรองคือเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชี้ชะตากับ เรอัล มาดริด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเสียตำแหน่งตัวจริงให้ แดนนี่ เวลเบ็ค ซึ่ง เซอร์ อเล็กซ์ มองว่าโก๋แดน น่าจะช่วยตามประกบ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้ดีกว่า
 
ดิ แอธเลติก สื่อดังที่มักนำเสนอประเด็นต่างๆ แบบเจาะลึก เผยว่ามีนักเตะคนหนึ่งในทีมปีศาจแดงชุดแชมป์ลีกครั้งสุดท้าย พูดถึงสถานการณ์ในทีม ณ เวลานั้นว่า รูนี่ย์ ไม่มีความสุขกับการที่มีความสำคัญกับทีมน้อยลงจริงๆ
 
“โรบิน กลายเป็นตัวหลัก เป็นกองหน้าตัวชูโรง ความสัมพันธ์ของ เวย์น กับผู้จัดการทีมดูจะถดถอยลง เพราะเขาถูกดร็อปจากเกมนัดสำคัญบ่อยขึ้น”
 
“พวกเราไม่ได้โง่ เราดูออกว่าเคมีระหว่างพวกเขาไม่เหมือนเดิม แต่มันก็มีบางช่วงเวลาในอาชีพ ที่คุณไม่มองหน้าผู้จัดการทีมของคุณเลย”
 
คิดไปแล้วก็ตลก เพราะในปี 2010 เขาอ้างเหตุผลที่อยากย้ายทีมเพราะสโมสรไม่ซื้อนักเตะระดับท็อป แต่พอตัวเองกลายเป็นแค่ตัวสำรอง เมื่อเจอนักเตะใหม่เข้ามาทำผลงานได้ดีกว่า ก็กลับมีปัญหาอีก
 
น่าเสียดายที่ เซอร์ อเล็กซ์ ไม่อยู่แก้ปัญหาที่คาราคาซังของ รูนี่ย์ ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ให้มันเรียบร้อย เพราะตัดสินใจวางมือทันทีที่การันตีแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2012-13 เขาจึงปล่อยให้ เดวิด มอยส์ พร้อมกับซีอีโอคนใหม่อย่าง เอ็ด วู้ดเวิร์ด จัดการเรื่องยุ่งยากนี้แทน
ในช่วงซัมเมอร์ 2013 กระแสข่าวที่ว่า รูนี่ย์ ต้องการย้ายทีมมีตามหน้าสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยทีมที่แสดงความสนใจชัดเจนที่สุดคือ เชลซี ที่เพิ่งได้ตัว โชเซ่ มูรินโญ่ กลับไปคุมทีมรอบสอง
 
แต่ความเป็นจริงก็คือ เขาพ้นวัยพีคไปเรียบร้อยแล้ว (ตอนนั้นอายุ 28 ปี) น่าจะเล่นในระดับสูงได้ไม่เกิน 3 ปี และเหลือสัญญากับสโมสรอีกแค่ไม่ถึง 2 ปีด้วย
 
ด้วยสถานการณ์แบบนั้น เชลซี จึงสู้ค่าตัวไม่เกิน 25 ล้านปอนด์ และแน่นอนว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ต้องการขาย เพราะนั่นคือราคาที่ถูกเกินไปสำหรับการปล่อยตัวให้ทีมคู่แข่งแย่งแชมป์ลีกโดยตรง
 
รูนี่ย์ โชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นในซีซั่น 2013-14 เมื่อยิงรวมทุกรายการไปถึง 19 ลูก แม้ผลงานของทีมจะย่ำแย่และไม่ได้ไปเล่นแม้แต่ถ้วย ยูโรปา ลีก ก็ตาม
 
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 ดูเหมือนว่า เอ็ด วู้ดเวิร์ด จะจัดการกับสถานการณ์ได้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร ที่มอบสัญญาฉบับใหม่ให้ รูนี่ย์ ที่ตอนนั้นอายุปาเข้าไปแล้ว 29 ปีไปอีก 5 ปีครึ่ง แถมทุ่มค่าเหนื่อยให้เป็นสัปดาห์ละ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์อีก
 
คือเรื่องต่อสัญญาคือสิ่งที่สมควร กับการทำให้นักเตะอยู่กับทีมต่อเพื่อกลายเป็นกัปตันทีม และดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็คือเล่นในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จนแขวนสตั๊ดไปเลย
 
แต่การทุ่มค่าเหนื่อยมหาศาลเกินไป เพื่อรั้งนักเตะที่ทำท่าจะย้ายทีมอีกครั้งในช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง ไม่ใช่การใช้เงินที่คุ้มค่า
 
สุดท้าย รูนี่ย์ ก็อยู่กับทีมต่ออีกไม่นานจริงๆ
เพราะหลังจากทำลายสถิติของ เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ลงได้เป็นที่เรียบร้อยในปี 2017 และคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก เป็นความสำเร็จส่งท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตัดสินใจลดรายจ่ายด้วยการตกลงยกเลิกสัญญากับ รูนี่ย์ เพราะ ณ เวลานั้นทีมเก่าของเขาอย่าง เอฟเวอร์ตัน ก็ต้องการนักเตะกลับไปเล่นให้ด้วยพอดีเช่นกัน
และ ณ เวลานี้ รูนี่ย์ ในช่วงบั้นปลายอาชีพ ต้องปรับบทบาทถอยต่ำไปเล่นกองกลางจริงๆ อย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เคยคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่น
ไม่มีใครปฏิเสธว่า เวย์น รูนี่ย์ คือนักเตะที่ดีมากๆ ของทีมปีศาจแดง ด้วยความสำเร็จและผลงานส่วนตัวต่างๆ ที่เคยทำไว้ตลอดช่วงเวลานาน 13 ปี
 
เขาคือที่รักของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปตลอดกาล ด้วยสถิติสวยหรู และช่วงเวลาที่ได้อยู่กับทีมอย่างยาวนาน แถมเป็นช่วงที่ทีมประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วย
 
แต่ถ้าดูเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด ต้องบอกว่าทั้ง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และสโมสรต่างหาก ที่ช่วยกันสนับสนุน รูนี่ย์ ให้มีทุกอย่างที่ต้องการ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่เขาจากไป
#เสียบสามเหลี่ยม #Rooney #SirAlexFerguson #SirAlex #ManUTD #MUFC #ManUtd #PremierLeague
 
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
 
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา