11 มี.ค. 2020 เวลา 07:47
ปี 1973 คือปีที่ George Lucas ปิ๊งไอเดียหนังชุดผจญภัย (ที่ต่อมากลายเป็นตำนาน) พร้อมกันถึง 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือหนังผจญภัยสงครามอวกาศสไตล์ Flash Gordon ซึ่งได้กลายมาเป็น Star Wars ในเวลาต่อมา
1
ส่วนอีกเรื่องคือยอดฮีโร่นักโบราณคดีสไตล์หนังผจญภัยยุค 30 - 40 ซึ่ง Lucas คิดชื่อเรื่องไว้ว่า The Adventures of Indiana Smith
โดยชื่อ Indiana เอามาจากชื่อสุนัขของเขาเอง ส่วน Smith ก็ยืมมาจากหนังคาวบอยเรื่อง Nevada Smith (1966) ที่นำแสดงโดย Steve McQueen
จากนั้นเขาก็นำเอาไอเดียไปคุยกับผู้กำกับและมือเขียนบท Philip Kaufman ที่ตอนนั้นก็กำลังสร้างชื่อในวงการอยู่ โดย Kaufman ได้เสนอว่าสมบัติที่เหมาะจะนำมาเป็นเป้าหมายให้พระเอกตามหา คือ หีบแห่งพันธสัญญา (Ark of the Covenant) ตามตำนานในพระคัมภีร์
ถือว่า Kaufman เลือกได้ถูกจุดอย่างยิ่ง เพราะการจะทำหนังผจญภัยให้ปังนั้น หากให้พระเอกไปหาสมบัติอะไรก็ไม่รู้ ก็ย่อมไม่ดึงดูดเท่ากับการหาสมบัติในตำนานที่ถูกเล่าขานมานับพันปี
พอคิดพล็อตไปสักพัก Kaufman ก็หมายมั่นว่าจะกำกับให้ แต่พอดี Clint Eastwood อยากให้ Kaufman ไปช่วยทำหนังเรื่อง The Outlaw Josey Wales (1976) เสียก่อน
สุดท้ายโปรเจค Indiana Smith เลยถูกวางไว้บนหิ้งชั่วคราว ส่วน Lucas ก็ไปตั้งหน้าตั้งตาทำ Star Wars จนสำเร็จ
George Lucas / Cr.moseisleyspaceport.org
เวลาล่วงมาถึงเดือนพฤษภาคมปี 1977 ตอนนั้น Lucas มีชื่อเสียงอย่างมหาศาลจาก Star Wars ใครก็ต่อใครก็มาล้อมหน้าล้อมหลัง
เขาเลยตัดสินใจปลีกวิเวกไปพักผ่อนที่ฮาวาย และระหว่างกำลังเดินเล่นริมหาดอยู่นั้น เขาก็ได้พบกับเพื่อนสมัยเรียนกำลังนั่งก่อปราสาททรายอยู่
เพื่อนคนนั้นคือ Steven Spielberg
Spielberg ในเวลานั้นก็เป็นที่รู้จักจากหนังฉลามกินคนอย่าง Jaws (1975) และกำลังพักผ่อนระหว่างพักกอง Close Encounters of the Third Kind ครั้นพอได้เจอเพื่อนเก่าก็เลยสนทนากันอย่างออกรส
ระหว่างที่ทั้งคู่คุยไปก่อปราสาททรายไปนั้น Spielberg ก็เผยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาว่า เขาอยากกำกับหนังเจมส์ บอนด์ 007 สักครั้ง แล้วก็ถาม Lucas ว่ามีลู่ทางที่จะติดต่อ Albert R. Broccoli (ผู้สร้างหนัง 007) บ้างไหม
Lucas จึงตอบไปว่า "รู้ไหม ผมมีของดีกว่านั้นให้คุณทำนะ" ซึ่งของดีที่ว่าก็คือหนังการผจญภัยของ Indiana Smith นั่นเอง
พอ Lucas เล่าเรื่องเสร็จ Spielberg ก็ออกปากว่าอยากกำกับทันที แต่มีข้อแม้เพียงประการเดียวคือเขาอยากเปลี่ยนนามสกุลตัวละครจาก "สมิธ" เป็นอย่างอื่น เพราะมันฟังดูไม่เหมือนนักผจญภัย แต่ดูจะเป็นนักบัญชีหรือไม่ก็พระเอกในหนังโรแมนติกมากกว่า
สุดท้ายทั้งสองคนก็เห็นตรงกันว่าควรจะใชนามสกุล "โจนส์" เพราะฟังดูปราดเปรียวและเรียกง่ายดี
Steven Spielberg / Cr.cinelinx
จากนั้นในปี 1978 Lucas ก็เดินหน้าทำ The Empire Strikes Back ภาคต่อของ Star Wars ไปพร้อมๆ กับ Indiana Jones ซึ่งทำให้เขาได้พบกับ Lawrence Kasdan มือเขียนบทหน้าใหม่ที่คุยไปคุยมาก็พบว่า Kasdan คนนี้มีไอเดียดีๆ เยอะ และมีแววเป็นนักเขียนบทอนาคตไกล
Lucas เลยดึง Kasdan มาร่วมเขียนบททั้ง 2 เรื่องเลย
แล้ว Lucas ก็จัดแจงนัดให้ Spielberg กับ Kasdan มานั่งประชุมเพื่อสร้างบทหนัง Indiana Jones ซึ่งพวกเขานั่งคุยกันถึง 5 วันเต็มๆ แล้วต่างคนต่างก็ใส่ไอเดียลงในบทหนังแบบเต็มที่
แต่ทีนี้คุยไปชักยาว ไอเดียเริ่มมากและอลังการเกินกว่าจะใส่ลงไปในหนังเรื่องเดียวได้ Kasdan เลยเสนอให้นำบางไอเดียเก็บไว้ก่อน แล้วหากได้ทำภาคต่อก็ค่อยใส่ลงไป (เช่น ฉากไล่ล่าในเมือง, ฉากสู้กับพวกมาเฟียในเซี่ยงไฮ้ หรือฉากผจญภัยสุดเหลือเชื่อที่ให้อินเดียน่า โจนส์โดดจากเครื่องบนแล้วมาหล่นลงบนแพ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกนำไปใช้ในภาค Temple of Doom)
ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ทำให้ Lucas กับ Spielberg ต้องถกเถียงกันเล็กน้อย นั่นคือเรื่องคาแรคเตอร์ของอินเดียน่า โจนส์ (หรือที่พวกเขาเรียกย่อๆ ว่า"อินดี้")
Spielberg อยากให้อินดี้ออกแนวเพลย์บอยคล้ายๆ เจมส์ บอนด์ แต่ Lucas กลับเห็นว่าอินดี้ควรจะเป็นศาสตราจารย์นักโบราณคดีที่ทุ่มเทให้กับการสืบค้นประวัติศาสตร์มากกว่าจะมัวแต่เหล่สาว ซึ่งสุดท้ายทุกคนก็ตกลงที่จะใช้คาแรคเตอร์แบบหลัง
นอกจากนี้ Spielberg ก็มีไอเดียที่ออกแนวไซไฟเช่นอยากให้ตัวร้ายของเรื่องมีแขนเป็นหุ่นยนต์ อีกทั้งอยากให้อินดี้มีด้านมืด เช่นเป็นนักผจญภัยที่ติดเหล้าอะไรทำนองนั้น
ประเด็นเหล่านี้ทำให้ Lucas ต้องพยายามเบรคครับ เขาเสนอว่าหนังควรเป็นแนวผจญภัยมากกว่าจะเป็นไซไฟ (ดังนั้นเรื่องแขนหุ่นยนต์เลยโดนตัดออก) อีกทั้งอยากให้หนังมีโทนที่ไม่หม่นมืดจนเกินไป (ดังนั้นเรื่องด้านมืดของอินดี้ก็เลยหายไปเช่นกัน)
บทหนังอินเดียน่า โจนส์ที่มาพร้อมชื่อเรื่องว่า Raiders of the Lost Ark สำเร็จออกมาในช่วงที่ Lucas ทำ The Empire Strikes Back เสร็จพอดี เขาเลยเดินหน้าติดต่อค่ายหนังเพื่อจะได้หาทุนมาทำอินเดียน่า โจนส์
George Lucas และ Lawrence Kasdan / Cr.fanthatracks
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อ 1941 (1979) ผลงานล่าสุดของ Spielberg ล้มเหลวไม่เป็นท่า ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่ถูกพูดถึงทั่วทั้งวงการ
บางคนถึงกับออกมาพูดว่า Spielberg คือเด็กมือเติบที่ผลาญเงินทุน 35 ล้านเหรียญอย่างสนุกมือ แต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลับมาเลย
(แต่ในความจริงแล้วหนังไม่ถึงกับเจ๊งสนั่น เพราะอย่างน้อยก็ทำเงินทั่วโลกประมาณ 94 ล้าน ซึ่งถือว่าได้กำไรนิดๆ ด้วยซ้ำ - เพียงแต่ถ้าเทียบกับผลงานก่อนหน้าของ Spielberg ที่ทำเงินร้อยล้านขึ้นแล้ว เรื่อง 1941 ถือว่าผิดฟอร์มอย่างมาก)
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทุกค่ายหนังต่างพากันส่ายหน้าเวลาที่ Lucas บอกว่าโปรเจค Raiders of the Lost Ark จะกำกับโดย Spielberg
แต่ Lucas ก็ไม่ยอมแพ้ครับ เขาเชื่อมั่นในบทและเชื่อมั่นในตัว Spielberg เขาเลยตั้งหน้าตั้งตาเจรจาไม่ว่าจะโดนปฏิเสธกี่ครั้งก็ตาม
ในที่สุดค่ายดาวภูเขา Paramount Pictures ก็ตกลงรับมาทำครับ เพราะ Michael Eisner ผู้บริหารของค่ายชอบบทหนังมากถึงขั้นบอกว่านี่คือบทหนังที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยอ่านมา
แต่มีข้อแม้ว่า Lucas กับ Spielberg จะต้องทำหนังอินดี้ออกมาอีก 4 ภาคภายใต้ร่มเงาค่าย Paramount
Paramount ให้ทุน 20 ล้านเหรียญตามคำขอของ Lucas การถ่ายทำก็กำลังจะเริ่มต้น แต่ทีนี้ก็ติดปัญหาอยู่อีกนิดตรงขั้นตอนการเลือกคนมารับบทอินดี้
Spielberg นั้นต้องการให้ Harrison Ford มาแสดงอย่างมาก เรียกว่าเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกหนึ่งเดียวของ Spielberg ก็ว่าได้
แต่ Lucas กลับคัดค้านเพราะ Ford ได้เล่นหนังของ Lucas มาหลายเรื่องติดๆ กัน (ได้แก่ American Grafiti, Star Wars และ The Empire Strikes Back) ดังนั้นถ้าขืนยังให้ Ford มาแสดงนำในหนังอินเดียน่า โจนส์อีก ก็อาจจะถูกครหาว่า Lucas เล่นเส้นใช้แต่คนของตัวเอง
(ที่ Lucas กลัวประเด็นนี้ก็เพราะเพื่อนของเขาอย่าง Martin Scorsese ก็เคยโดนครหาหลังจากร่วมงานกับ Robert De Niro มาหลายเรื่อง)
Lucas เสนอดาราหน้าใหม่อย่าง Tom Selleck ให้มารับบท ซึ่ง Selleck ก็สนใจอย่างมากครับ
Tom Selleck / Cr.thedelite
แต่แล้วปัญหาก็เกิดเพราะ Selleck เซ็นสัญญากับซีรี่ส์ Magnum, P.I. เอาไว้ และทางผู้สร้างก็ไม่อนุญาตให้ Selleck ไปเล่นหนังเรื่องอื่นๆ ในที่สุด Selleck ก็ต้องพลาดบทนี้ไป
(และเป็นที่ทราบกันในภายหลังว่า จริงๆ ถ้าดูจากช่วงเวลาแล้ว กว่า Magnum, P.I. จะเริ่มถ่ายทำ Raiders ก็ถ่ายเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว... กล่าวคือ Selleck โดนกั๊กตัวไว้ครับ)
ในที่สุดก็เข้าอีหรอบ "คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันไปได้" ในที่สุด Harrison Ford ก็ได้รับบทอินเดียน่า โจนส์สมความตั้งใจ Spielberg
ซึ่ง Ford ก็ไม่ทำให้ใครผิดหวังครับ เขาทุ่มเทกับการแสดงอย่างมาก ฉากสตันท์ส่วนใหญ่เขาก็เล่นเองจนเขาได้รับบาดเจ็บในฉากรถบรรทุกครับ ทำเอาซี่โครงเดาะไปหลายซี่ทีเดียว
Raiders of the Lost Ark ถ่ายทำจนสำเร็จ ออกสู่สายตาผู้ชมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 1981 และประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล
หนังทำเงินสูงสุดประจำปี 1981 โกยไปทั่วโลกถึง 353 ล้านเหรียญ ก่อให้เกิดกระแสหนังผจญภัยฟีเวอร์ขึ้นมาทันที
Cr.chicagotribune
ตัวหนังจัดว่ายอดเยี่ยมครับ ลงตัวในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะฉากแอ็กชันผจญภัยที่สนุกตื่นเต้นที่มีมาเสิร์ฟตั้งแต่ฉากแรก ตามด้วยมุกฮาที่แทรกมาเป็นระยะ ดาราที่มาแสดงก็เหมาะกับบทช่วยชูรสได้อย่างน่าปรบมือ
ไหนจะงานเทคนิคพิเศษแน่นๆ ตั้งแต่ซีนอินดี้หนีกับดักตอนต้น ไล่มายันฉากไคลแม็กซ์เมื่อหีบศักดิ์สิทธิ์สำแดงอานุภาพ
สิ่งสำคัญคือ Effect ทั้งหลายไม่เด่นเกินหน้าเนื้อเรื่อง ไม่กลบหนังจนทำให้หนังมีดีแค่ขาย Effect แต่มันทำหน้าที่เหมือนบทสมทบที่คอยเสริมความสนุกให้กับเรื่องราวได้อย่างเหมาะเจาะ
ดูไปก็รู้สึกเหมือนได้ดูหนังบอนด์อยู่ในทีเพราะอินดี้ก็มีภารกิจต้องไปทำ นั่นคือการตามหาหีบศักดิ์สิทธิ์ให้พบก่อนพวกเยอรมันนาซีจะชิงไปเสริมแสนยานุภาพให้กับกองทัพของฮิตเลอร์
จุดเด็ดอีกหลายประการที่ทำให้หนังขึ้นหิ้งก็ยังมีดนตรีที่ยอดเยี่ยมของ John Williams ที่สร้างธีมอมตะขึ้นมาประดับวงการ พร้อมด้วยดนตรีประกอบระหว่างทางที่เสริมอารมณ์ได้อย่างพอดี ฉากไหนบู๊ก็เร้าให้ลุ้น ฉากไหนลึกลับก็กล่อมให้ใจเราแกว่ง
นอกจากนี้หนังยังทำสำเร็จในจุดที่หนังแนวนี้หลายๆ เรื่องพลาดไป นั่นคือ "การเล่าตำนานอุ่นเครื่องกระตุ้นต่อมคนดูให้สนใจใคร่รู้ และทำให้คนดูเชื่อว่าสมบัติที่ตัวเอกตามหานั้นมีอยู่จริงและถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้"
Cr.syfy
ฉากที่ถือว่ายอดเยี่ยมสุดๆ ฉากหนึ่งต้องยกให้ฉากเล่าตำนานหีบศักดิ์สิทธิ์ที่ทำออกมาได้ขลังมากๆ ทั้งเรื่องเล่า จังหวะการเล่า และดนตรีระดับมาสเตอร์พีซของ John Williams ที่ท่วงทำนองเคล้าไปด้วยความลึกลับและความน่ากลัว ทั้งหมดส่งให้ฉากที่ว่าทรงพลังอย่างยิ่ง
และยังถือเป็นฉากที่เปิดประตู จูงมือผู้ชมให้ก้าวเข้าไปสุ่โลกแห่งขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าอย่างเต็มตัว
หนังเรื่องไหนทำให้คนดูเชื่อไปกับเรื่องเล่าในหนังได้ เรื่องนั้นเตรียมประสบความสำเร็จได้เลย (ดูอย่าง National Treasure กับ The Da Vinci Code เป็นตัวอย่างร่วมด้วยก็น่าจะเห็นภาพครับ)
นอกจากความสำเร็จทางรายได้แล้ว หนังยังได้เข้าชิงออสการ์ถึง 9 สาขาครับ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย แต่สุดท้ายก็ได้มา 5 สาขา ได้แก่ กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม, ลำดับเสียงยอดเยี่ยม และ เทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมครับ
นี่เป็นเพียงการเปิดตัวเรื่องราวของอินดี้ครับ ยังมีอีกหลายภาคตามมา ซึ่งเบื้องหลังการสร้างแต่ละภาคนั้นก็มีอะไรชวนติดตามไม่แพ้ตัวหนังเลยครับ
อย่างภาคต่อไป (Indiana Jones and The Temple of Doom) ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่ารู้และน่าสนใจ
เช่นภาค Temple of Doom นั้นแท้จริงแล้วเป็นภาคก่อนหน้า ไม่ใช่ภาคต่อ
และที่สำคัญคืออินดี้เกือบจะได้ไปเจอกับ "ซุนหงอคง" ราชาวานรแห่งไซอิ๋วด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
Cr.ascmag
โฆษณา