13 มี.ค. 2020 เวลา 12:08 • บันเทิง
ตอนที่ 27 เด็กเนิ้ต
“แต่น แตน แต๊น” พ่อส่งเสียงเป็นทำนองพร้อมกับเปิดผ้าคลุมเผยสิ่งที่อยู่ข้างใน
ฉันตื่นเต้นเมื่อได้เห็นรถมอเตอร์ไซด์สีแดง
“รถคันใหม่ของเราสามคนไง” พ่อพูดพลางอุ้มฉันขึ้นไปนั่งบนเบาะ
“ชอบไหมลูก”
“ชอบค่ะ”
พ่อขึ้นมานั่งข้างหลังฉัน
“คุณ ไปนั่งรถเล่นกัน” พ่อเรียกแม่มานั่งซ้อนท้าย
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ สนุกจัง
พ่อของฉันเป็นทหาร แม่ของฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ
ทั้งสองพบรักกันช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แม่สมัครเป็นอาสาพยาบาลและล่าม ส่วนพ่อโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่แก้มก้นนอนตะแคงหลับตาปี๋ให้แม่ทำแผล แม่มักจะแซวพ่อว่าโชคดีที่โดนด้านหลังไม่งั้นจะอายมากกว่านี้
พ่อมักจะพาฉันนั่งรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นเขา บนนั้นมีวัด พ่อชอบคุยกับพระ หลายครั้งที่ได้ข้าวสารอาหารแห้งติดรถกลับมาด้วย
ตอนลงจากเขาพ่อจะดับเครื่องลงมา รถที่แล่นโดยไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ลมพัดปะทะหน้าเบา ๆ ทำให้ฉันนึกถึงพรมวิเศษในนิทานที่แม่เล่า
ฉันตั้งชื่อให้รถคันนี้ว่า ‘คุณจินนี่’
แม่ของฉันเล่านิทานก่อนนอนเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ฉันยังเล็ก ๆ ทำให้ฉันซึมซับความรู้ด้านภาษา ต่อยอดไปยังภาษาอื่นอย่างฝรั่งเศสและเยอรมัน
ครูและเพื่อนในห้องต่างเรียกฉันว่า ‘อัจฉริยะ’ ขณะเดียวกันฉันก็ทึ่มสุด ๆ ในวิชาสายวิทย์-คณิต
ช่วงที่ฉันเรียนม.ศ. 4 แม่ป่วยหนัก ฉันจึงมีโรงพยาบาลเป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง ฉันเห็นคนป่วย เห็นคุณหมอ เห็นคุณพยาบาล ฉันบอกแม่ว่าฉันอยากช่วยรักษาคนจากโรค อยากรักษาแม่ให้หาย
“หนูทำได้แน่ ๆ จ้ะ แม่เป็นกำลังใจให้นะ” ถึงแม่จะรู้จากผลการเรียนของฉันว่ามันแทบไม่มีทางเป็นไปได้แต่แม่ก็ยังสนับสนุนฉัน
“แม่จะมองดูลูกจากบนฟ้านะจ๊ะ ในยามกลางวันแม่จะมองผ่านเมฆก้อนนิด ๆ ในยามมืดมิดแม่จะมองผ่านละอองดวงดาวนับล้าน หนูต้องเข้มแข็งนะ”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของแม่ในวันที่ฉันขึ้นชั้นม.ศ.5 เหลือเพียงปีเดียวเท่านั้นที่ฉันจะต้องพยายามทำให้แม่ภูมิใจ
พ่อร้องไห้ทุกวันหลังจากที่แม่จากไป พ่อโทษตัวเองที่ไม่ได้ดูแลแม่อย่างเต็มที่เพราะช่วงนั้นเกิดรัฐประหารและประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ นานหลายเดือนกว่าที่พ่อจะยอมรับว่าพ่อทำหน้าที่สามีอย่างสุดความสามารถแล้ว
ครูหลายท่านแนะนำให้ฉันเรียนต่อคณะอักษรศาสตร์ แต่ฉันตั้งใจแน่วแน่
“ครูไม่อยากให้เธอทิ้งความสามารถด้านภาษาแล้วไปสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ที่โอกาสสอบติดหรือเรียบจบยากมากเลยนะ”
คำตอบที่ฉันคาดไว้ออกจากปากครูสุภีร์ที่เป็นครูสอนวิชาวิทย์-คณิตเก่งที่สุดในโรงเรียน
“หนูถึงมาขอความช่วยเหลือจากครูไงคะ ไม่ว่าใครจะพูดยังไงหนูก็ไม่เปลี่ยนใจค่ะ”
ครูมองหน้าฉันที่พยายามส่งความจริงจังผ่านไปทางแววตา แล้วถอนหายใจเบา ๆ
“เธอเตรียมใจไว้นะ กำแพงยิ่งใหญ่ใจยิ่งต้องใหญ่กว่า”
ตั้งแต่วันนั้นฉันเรียนเสริมพิเศษกับครูทุกวันและทุกเวลาที่ว่างโดยที่ครูไม่เรียกร้องค่าตอบแทนอะไรเลย บางครั้งเพื่อนในห้องขอมาเรียนด้วย ครูก็ยินดีสอนให้เต็มที่ ด้วยเวลาที่มีไม่มากครูจึงเน้นให้ทำแบบฝึกหัดซ้ำไปซ้ำมา
“โจทย์บางข้อเธออาจไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรแก้ปัญหา คำตอบที่ออกมาอาจไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เธอเพียรทำในตอนนี้จะช่วยพาเธอผ่านมันไปได้”
คำพูดนี้ของครูผุดขึ้นมาทุกครั้งที่ฉันท้อ
ในวันที่ฉันรู้ผลสอบเอ็นทรานซ์ ฉันไปหาครูที่บ้าน ก้มลงกราบ ครูกอดฉันแล้วร้องไห้ด้วยกัน
‘หนูทำได้แล้วค่ะครู’ ฉันได้แต่คิดซ้ำ ๆ เพราะรู้สึกตื้นตันในอกจนไม่อาจเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้
ฉันเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า จ้องมองที่ก้อนเมฆเล็ก ๆ
‘หนูทำได้แล้วนะคะแม่’
พ่อส่งฉันขึ้นรถไฟพร้อมกับฝากดูแลคุณจินนี่ที่อยู่ในโบกี้ขนสัมภาระ
ฉันสังเกตเห็นว่าพ่อพยายามกลั้นน้ำตา
“พ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ หนูจะเขียนจดหมายส่งให้พ่อบ่อย ๆ”
ฉันชะโงกออกไปนอกหน้าต่าง ยิ้มและโบกมือไปมา จนภาพที่พ่อโบกมือตอบลับสายตา
“สวัสดีครับ ผมชื่ออิฐ เรียนคณะแพทยศาสตร์ครับ”
ชายหนุ่มหัวเกรียน หน้าตาคมเข้ม ผิวคล้ำ ผอม สูงกว่าฉันนิดเดียว แนะนำตัวพร้อมเตรียมจดชื่อของฉันและชื่อคณะลงในสมุด มันเป็นเกมละลายพฤติกรรมในวันปฐมนิเทศน์ของมหาวิทยาลัย
อิฐเป็นที่รู้จักของเหล่านักศึกษาใหม่เพราะเขาพกดีกรีคะแนนสอบข้อเขียนอันดับหนึ่งของประเทศ
เขามีน้ำใจกับทุกคน โดยเฉพาะเรื่องวิชาการ แม้จะโดนรุมยิงคำถามก็ไม่เคยแสดงท่าทีอารมณ์เสีย และบังเอิญว่าเราได้เป็นคู่ทำแล็บมืด ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น
ภาพโดย OpenClipart-Vectors จาก Pixabay
‘ความจริงที่ฉันต้องการเก็บไว้
มันทำให้ฉันต้องคอยห่างเธอ
ไม่กล้ามอง ไม่จ้องตา
ไม่ค่อยมาเจอ
เดี๋ยวจะเผลอ
เกิดหลุดปากอะไรไป
บังเอิญคืนนั้นพระจันทร์สุดสวย
บังเอิญตอนนั้นเหลือเธอกับฉัน
ทั้งสายลมและแสงดาวก็เหมือนแกล้งกัน
บังคับกัน
จนฉันทนไม่ไหว
ไม่มีทางหนี
ได้เลย
ฉันเลยต้องเอ่ยปาก
บอกรักเธอ
รักเธอมานานแสนนาน ’
เสียงเพลงหยุดลง ชายเจ้าของเสียงหันมาทางฉันพร้อมไม้กวาดในมือที่หยุดนิ่งพร้อมกัน ลุงนักการภารโรงชื่อโจเอล เป็นลูกครึ่ง เพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ฉันกับอิฐมักเรียกว่าลุงโจ
“หนูกำลังฟังเพลินเลยค่ะ ขอโทษนะคะที่ขัดจังหวะ หนูไม่เคยได้ยินเพลงนี้เลย ชื่อเพลงอะไรคะ”
ฉันขอโทษลุงโจที่แอบฟังลุงร้องเพลงด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงพลาดไม่รู้จักเพลงนี้
“เพลงของเพื่อนลุงน่ะ ลุงยืมมาร้องอีกที หนูได้ยินเป็นคนแรกของโลกเลยนะ” ลุงโจพูดไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี
“เนื้อเพลงตรงกับความรู้สึกตอนนี้ของหนูเลยค่ะ เลยรู้สึกเพราะเป็นพิเศษ”
ฉันหลุดปากบอกความในใจออกไป แต่คงไม่เป็นไรกระมัง
“การที่เราเป็นผู้หญิงแล้วสารภาพรักก่อนอาจดูไม่งาม แต่กับผู้ชายซื่อ ๆ เซ่อ ๆ จะรอให้เขาสารภาพก็ไม่ไหวนะ”
ลุงเปรยเหมือนจะรู้ว่าฉันแอบรักใคร ฉันเผลอเห็นด้วยกับลุงนิด ๆ
ลุงโจกำชับว่าอย่าร้องเพลงนี้ให้ใครฟัง เพื่อนลุงหวง ฉันรับคำด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมนั่งซึมกระทือคนเดียว เนิ้ตเพื่อนสนิทเราไปไหนล่ะ” ลุงโจถามอิฐที่นั่งอ่านหนังสือใกล้โรงอาหาร
“เพื่อนเนิ้ตเขาบอกผมว่าเนิ้ตมีคนที่แอบชอบน่ะครับ ป่านนี้คงพยายามไปอยู่ใกล้ ๆ คนนั้น ผมละอยากรู้จริง ๆ ว่าเป็นใคร” อิฐพรั่งพรูออกมาดูเหมือนจะห่วงเพื่อนสนิทไม่น้อย
“อย่างนั้นหรอกหรือ แล้วอิฐคิดกับเนิ้ตมากกว่าเพื่อนสนิทหรือเปล่า” ลุงโจโยนหินถามทาง
“บ้าน่ะลุง เพื่อนสนิทจริง ๆ ถ้าเขาชอบใครผมก็จะพยายามช่วยให้เขาสมหวัง ผมพูดจริงนะลุง” อิฐบอกปัดขณะที่แก้มและใบหูแดงก่ำ
“ลุงเอาใจช่วยนะ” ลุงโจพูดยิ้ม ๆ กระหยิ่มในที
“ผมได้ยินจากเพื่อนคุณว่าคุณมีคนที่ชอบ ผมคิดว่าน่าจะดีถ้าคุณบอกเขา”
ฉันไม่รู้ว่าเขาได้ยินมาจากใคร เพื่อน ๆ ก็รู้ว่าฉันชอบอิฐแต่ทำไมเขาถึงคิดว่าเป็นคนอื่น
“คุณลองซ้อมสารภาพรักกับผมก่อนก็ได้นะ เหมือนทำแบบฝึกหัดไง ยิ่งทำบ่อยยิ่งดี”
สมกับเป็นอิฐ ชอบช่วยเหลือเพื่อนอย่างที่สุด บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่จะทำตามคำแนะนำของลุงโจ
ไม่มีดาว ไม่มีสายลม ไม่มีพระจันทร์ ต้องโทษเธอคนเดียว
ฉันรวบรวมความกล้าโพล่งประโยคที่น่าอายที่สุดออกไป
“ฉันรักคุณค่ะ...อิฐ”
เขายิ้มตอบคำสารภาพรักนั้นอย่างซื่อ ๆ แล้วบอกว่า
“เกือบดีแล้ว แต่อย่าพูดชื่อผมสิ ถึงจะเป็นการซ้อมก็ต้องใช้ชื่อจริง ๆ ของคนนั้นนะ ลองอีกที”
“ไอ้บ้า” ฉันสุดจะทนเลยพลั้งปาก เมื่อนึกขึ้นได้จึงยกสองมือปิดหน้าแล้ววิ่งหนี
อิฐวิ่งตามมาและจับข้อมือฉันไว้
“ถ้าผมพูดอะไรผิดหูคุณ ผมขอโทษ”
“ฉันรักแกไง เข้าใจหรือยัง ปล่อย” ฉันพูดพลางสะบัดแขนแต่ก็ไม่หลุด
“แกนี่หมายถึงผมเหรอ” อิฐทำหน้างง ๆ เพราะฉันไม่เคยใช้สรรพนามว่าแกกับเขา
“ใช่ ฉันยื่นกุญแจเข้ามาสู่โลกของฉันแล้วนะ คำตอบล่ะ” ฉันก้มหน้าเล็กน้อยไม่กล้าสบตาอิฐ
ฉันถูกดึงเข้าไปกอด เสียงกระซิบที่แผ่วเบาละลายในอากาศจนแทบจะไม่ได้ยิน
ฉันพยายามดันตัวเองออกมา “แกพูดว่าอะไรนะ”
“ฉันก็รักแกเหมือนกัน” เสียงอิฐดังขึ้นแต่ก็ยังเบาอยู่ดี
“ดังกว่านี้อีกซิ” ฉันพูดยิ้ม ๆ
“ฉั น ก็ รั ก แ ก เ ห มื อ น กั น” อิฐส่งสายตาเว้าวอนราวกับจะบอกว่าอย่าแกล้งผมอีกเลย
ฉันโผเข้าไปกอดอิฐ
“แกจะเป็นคนเดียวที่ฉันเรียกแบบนี้”
ฉันพูดดังเท่าที่จะเปล่งออกไปได้ รสเค็มปะแล่มของน้ำตาจะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป
อิฐเดินผ่านโรงอาหารเห็นเนิ้ตคุยกับลุงโจ สองมือของลุงโจประคองแท่งสี่เหลี่ยมหันไปที่เนิ้ต
“ทำอะไรกันน่ะ” อิฐส่งเสียงทักทาย
“ขอเวลาฉันชั่วประเดี๋ยว อิฐรอตรงนั้นก่อนนะ” เนิ้ตหันไปบอกอิฐด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทว่าหนักแน่น แล้วหันไปคุยกับลุงโจต่อ
นานพอดูที่อิฐนั่งรอและจ้องมองเนิ้ตพูดคุย กระทั่งเห็นเนิ้ตยกมือโบกไปมา เธอจึงเดินมาหาเขา
“วันจันทร์นี้ไปขนทรายเข้าวัดกันนะ”
เนิ้ตชวนอิฐด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้มที่อิฐคิดว่าสวยที่สุดตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันแม้จะรู้สึกได้ถึงความเศร้าแฝงในรอยยิ้มนั้น อิฐบอกกับตัวเองว่าเขาจะจดจำรอยยิ้มนี้ไปชั่วชีวิต
“ไปสิ แกไปที่ไหน ฉันก็ต้องอยู่ข้างแกอยู่แล้ว” อิฐจ้องมองดวงตากลมโตและตอบโดยไม่ต้องคิด
“หิวแล้ว ไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน” เนิ้ตเอามือลูบท้องเบา ๆ อิฐหันไปหาลุงโจตั้งใจจะชวนไปกินด้วยกัน แต่ลุงโจไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“ลุงโจมีธุระอย่างอื่นน่ะ คงไม่ได้เจออีกนาน แต่เชื่อฉัน ว่า ‘แก’ จะต้องได้เจอลุงโจแน่ ๆ ไปเร็ว หิว”
เนิ้ตจูงมืออิฐไปทางคุณจินนี่ อิฐสงสัยนิด ๆ ว่าทำไมเนิ้ตถึงใช้คำว่าแกแทนเรา แต่อิฐก็ปล่อยให้ความสงสัยนั้นผ่านไปและคิดว่าเขาคงต้องเพลา ๆ นิสัยช่างสังเกตไปเสียบ้าง
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าจะอยู่ได้นานถึงเมื่อไร
ฉันจึงเลือกที่จะส่งต่อความฝันด้วยการตระเวนแนะแนวอาชีพด้านสาธารณสุขให้กับโรงเรียนต่าง ๆ และเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยนอกเหนือจากงานประจำ
ฉันมีความสุขที่ได้เห็นความฝันของฉันเบ่งบานในใจของน้อง ๆ
ฝากด้วยนะจ๊ะ
ท้ายเรื่อง :
.
.
.
‘...พอเธอได้รู้แล้วเธอโกรธไหม
มันคงไม่ใช่เป็นความผิดฉัน
ต้องโทษดาวโกรธสายลม
และโทษพระจันทร์
ที่สั่งฉัน
ให้ฉันต้องบอกเธอ
ไม่มีทางหนี
ได้เลย
ฉันเลยต้องเอ่ยปาก
บอกรักเธอ
รักเธอมานานแสนนาน’
ฉันหันไปเห็นชายหนุ่มกำลังแอบฟังฉันร้องเพลง ฉันจึงหยุดร้องพร้อมกับวางแฟ้มประวัติคนไข้ลงและยิ้มให้กับชายคนนั้นพลางคิดในใจ
‘ลุงโจ หนูขอโทษ มีคนได้ยินเพลงนี้แล้ว’
“ขอโทษครับที่ขัดจังหวะ คุณพยาบาลร้องเพลงเพราะจังเลยครับ ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน ไม่ทราบว่าชื่อเพลงอะไรครับ” ชายหนุ่มทำท่าทางสงสัยราวกับตัวเองพลาดเพลงนี้ไปได้อย่างไร
“ฉันได้ฟังจากลุงคนหนึ่งค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเพลงอะไร” ฉันตอบชายหนุ่มไปตรง ๆ
“ผมชอบเพลงนี้มากครับ ถ้าไม่รังเกียจ คุณพยาบาลร้องให้ผมฟังอีกรอบนะครับ”
“ขอโทษนะคะ ลุงเค้ากำชับว่าอย่าร้องให้ใครฟังน่ะค่ะ เมื่อสักครู่ฉันเผลอร้องเสียงดังไปหน่อย ขอโทษจริง ๆ นะคะ”
“เสียดายมากครับ ผมจะรอฟังเพลงนี้อีกครั้งไม่ว่าจะนานเพียงไหน อ้อ ผมลืมแนะนำตัว”
“ผมชื่อ ‘ดี้’ ครับ”
ท้ายของท้ายเรื่อง :
.
.
.
“วันจันทร์นี้ไปขนทรายเข้าวัดกันนะ” ลุงโจยิ้ม น้ำตาซึมเล็กน้อยเมื่อได้ยินเนิ้ตคุยกับอิฐ เชื่อว่าทั้งคู่จะใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างคุ้มค่าที่สุด
“ข้าสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งสีแถวนี้ เล็กและอ่อนจนบอกไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน” onyx กระซิบบอกลุงโจ
“อีกแล้วเหรอ onyx ไม่เอาน่า นี่มันปีพ.ศ.2516 เรื่องนั้นมันยังไม่เกิดเสียหน่อย กลับกันเถอะ”
.
.
สายตาเรียบเฉยของอิฐจับจ้องลุงโจที่เดินไปข้างหลังต้นไม้และหัวเราะในลำคอเบา ๆ
คุยกัน :
ตอนนี้เล่นใหญ่ลามไปหาพี่ดี้แล้ว ถ้าพี่ดี้หลงเข้ามาอ่านก็ขออภัยด้วยนะครับที่ไม่ได้ขอก่อน เป็นเรื่องจินตนาการสนุก ๆ ล้วน ๆ ตอนเขียนก็คิดเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงแล้วเพลงนี้ใครแต่งกันนะ
(⊙﹏⊙)
พี่เรื่องสั้นทักว่าทิ้งช่วงนานเลยอ่านไม่รู้เรื่อง ผมว่าทิ้งช่วงสั้นก็อ่านไม่รู้เรื่องอยู่ดี อิ อิ คนเขียนสนุกเองคนเดียว แล้วก็ทิ้งช่วงต่อ
o(^▽^)o
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
รักคนอ่าน จุ๊บ ๆ
(( ◜‿◝ )♡

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา