Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ประสบการณ์ของพี่ทอมเองครับ
•
ติดตาม
15 มี.ค. 2020 เวลา 01:12 • ธุรกิจ
ทำไมเจ้าของธุรกิจต่อไปนี้ต้องลดคน เหตุผลเพราะ paradigm shift
โลกตอนนี้เปลี่ยนไปมากมาย ยิ่งในส่วนของการทำธุรกิจเปลี่ยนอย่างรุนแรงมาก ถ้าใครอายุประมาณ 37–45 ปี จะสามาถทันเห็นการเปลี่ยนแปลงของการทำธุรกิจอย่างสิ้นเชิงเรียกสั้นๆว่าการทำธุรกิจจาก offline เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาเป็น online เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ในปีนี้เจ้าพ่อการลงทุน Ray Dalio ได้ทำการใช้ศัพท์คำหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ Paradigm shift ( อ่านว่า พาราดาม ชิฟท์) ซึ่งผมฟังตอนแรกก็งงๆ แถมยังอ่านไม่ถูกอีก 55
Paradigm Shift คืออะไร และมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจการลงหรือธุรกิจเรายังไง?
1
Paradigm shift ภาษาไทยคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ฟังแล้วแปลความหมายจากไทยเป็นไทยอีกทียังโคตรงงครับ เอาเป็นว่าผมสรุปสั้นๆให้ก็คือการเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยหรือความเชื่อของเราที่มาแล้วส่งผลให้สภาพสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ทุกอย่างครับ
ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจแล้วกันนะครับ เมื่อ 10–50 ปีที่ผ่านมาใครทำธุรกิจ SMEs แบบค้าปลีกมานานตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่จะเคยชินกับทำธุรกิจแบบมีหน้าร้าน หรือ offline
10–50 ปีที่ผ่านมาถ้าลองถามรุ่นพ่อแม่เราว่าขายของหน้าร้านดีไหม ทุกคนจะตอบว่าดีมาก เมื่อ 20–30 ปีแล้วขายของดีจนขนาดไม่มีเวลากินข้าวหรือใช้เงินเลย ทำให้มีโอกาสเก็บเงินได้มาก นำไปต่อยอดต่างๆนานาร่ำรวยมากขึ้น
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิด paradigm shift ทำให้เกิดการปฎิวิัติการทำการค้าของ SMEs อย่างสิ้นเชิง สาเหตุที่สำคัญคือ เทคโนโลยี การเมืองการปกครอง แนวโน้มประชากรไทยที่เริ่มลดลง และธนาคารไม่ควบคุมการปล่อยสินเชื่อ และอื่นๆอีกมากมายส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
หลายๆคนเคยชินกับสภาวะเศรษฐกิจ 10–20 ปีผ่านมา เมื่อสมัยก่อนตอนปี 2540 เศรษฐกิจไทยยังไม่หนักขนาดนี้ อัตราเกิดของประชากรยังพอมีเยอะ เทคโนโลยีการค้าออนไลน์ยังไม่เกิดขึ้น มาร์ค ซัคเคิลเบริกยังไม่เกิด สภาพเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ดี การค้าขายลื่นไหล เอาเป็นว่าถ้ารู้จักเก็บเงินยังไงก็รวย (พ่อแม่ผมเล่าให้ฟังนะครับ) นักธุรกิจล้มละลายเมื่อ 20 ปีที่แล้วยังสามารถลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้ง่ายกว่าตอนนี้
3–4 ปีที่ผ่านมาภาพรวมของธุรกิจ SMEs ก็แย่ลง หลายๆคนยังไม่เข้าใจ ทำให้เกิดคำพูดคลาสสิคว่า เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น แต่อย่าลืมนะครับมันดีขึ้นแน่นอน ตามวัฏจักร แต่ไม่รู้เมื่อไร ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาหลังเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของอเมริกาเมื่อปี 1929–1930 กว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นก็ใช้เวลา 10–20 ปี ฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม
เมื่อ Paradigm shift เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเพราะมีเทคโนโลยี AI ,ประชากรไทยเกิดน้อย, และปัจจัยนโยบายของการเมืองเหมือนไปเอื้อทุนใหญ่ หลังจากนี้น่าจะทำให้เห็นการลดพนักงานของเจ้าของกิจการมากขึ้น
ทำไมผมมองการลดพนักงานของทุุกบริษัทจำเป็น ถึงแม้ผลกระทบระยะยาวมันจะทำให้คนไม่มีงานและเงิน ไม่กำลังซื้อมาซื้อของ สุดท้ายธุรกิจก็แย่ลง
ตรงนี้ก่อนจะเล่า ให้วางอคติลงนะครับ มองตามความเป็นจริง ว่า
1.การแข่งขันของธุรกิจมันมากขึ้น ถ้าสังเกตเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทที่ผลิตสินค้าจะต้องลดราคาเพื่อการแข่งขัน แต่บริษัทหนึ่งลดราคา ทำให้บริษัทอื่นต้องลดราคาตามเพื่อความอยู่รอด เพราะถ้าเราไม่ลดราคา ของเราก็จะขายไม่ออก stock มันจะบวม เงินก็หมุนไม่ทัน
2.การลดราคาจะทำให้กำไรของบรัษัทลดลง ที่นี้ถ้าบางบริษัทยังพอมีกำไรเยอะหน่อยก็จะยังไม่ทำอะไรมาก แต่ถ้าบางบริษัทกำไรเริ่มลดน้อยลง กำไรไม่พอที่จะนำไปใช้คืนดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร บริษัทต้องเริ่มลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ถ้าลดไม่ได้แล้วขั้นต่อไปคือการลดพนักงาน
3.มนุษย์เราคิดไม่เหมือนกัน เจ้าของกิจการจะคิดมองภาพรวมของบริษัทครับ เราต้องดูแลทั้งบริษัท เราไม่ได้ดูแลเฉพาะงานอันใดอันหนึ่ง จะมองคนละมุมกับพนักงานที่อยู่แต่ละแผนก แผนกไหนทำไม่ดีส่งผลต่อยอดขายของบริษัทเจ้าของก็จำเป็นต้องทำอะไรซักอย่าง ไม่งั้นบริษัทจะแย่ลงและปิดตัวถ้าเราไม่ลดพนักงาน เมื่อบริษัทปิดตัวพนักงานทั้งหมดก็จะตกงาน
4.เจ้าของธุรกิจคือมนุษย์ครับ มีความคิดเข้าข้างตัวเองทุกคน เราต้องการกำไรเพื่อมาเลี้ยงครอบครัวและพนักงาน แต่เมื่อถึงเวลาที่ภาพรวมเศรษฐกิจมันแย่ลงเนื่องจากอะไรต่างๆนานา เราต้องทำการลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้สมดุลกับยอดขาย ให้มีกำไรที่จะไปต่อ
5.พูดตามตรงเจ้าของธุรกิจบางทีก็ต้องตัดสินใจเลือกให้เด็ดขาดเมื่อถึงเวลาโดยไม่สนใจระยะยาว เราจะต้องมีแผนระยะสั้นไว้รองรับ เมื่อบริษัทเราเริ่มเห็นท่าไม่ดี ยอดขายตกลงติดต่อกันหลายเดือน เช่นตอนนี้บริษัทใช้แผนระยะสั้นคือเอาคนออก ลดค่าใช้จ่ายลงมา และเมื่อสถาพบริษัทดีขึ้นก็ค่อยกลับมาจ้างงานใหม่
6.เจ้าของบริษัทเกือบทุกบริษัทไม่อยากเลือกทางเลือกการลดพนักงานหรอกครับ ปัญหาที่สำคัญที่สุดของเจ้าของกิจการคือเรื่องการจัดการมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนมีปัญหาและเกิดมาไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย เป็นเรื่องที่ปวดหัวมากๆที่จะจัดการองค์กรให้ไปได้ดี แต่ตอนนี้เรามีเทคโนโลยี AI robot มาช่วยในการผลิต ทำให้เรามีทางเลือกที่จะลดปัญหาตรงนี้ โดยไม่จ้างพนักงานเพิ่ม แต่จะเอา robot มาใช้แทน ปัญหาเรื่องคนมาสาย ทำงานอู้ มีความขัดแย้งกันจนทำให้งานเสียก็จะลดลงไป (ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าเราเป็นหัวหน้าในบริษัทหนึ่งแล้วคุมลูกน้องจำนวนมากๆ เรารู้สึกยังไง ถ้ามีทางเลือกในการใช้ robot เราจะใช้ไหม)
7.เมื่อถึงเวลาที่เราต้องเอาตัวรอดเราจะไม่สนใจว่าระยะยาวคนไม่มีงานหรือเงินมาซื้อของจะทำให้ธุรกิจแย่ลงในอนาคต เราจะมองอนาคตไปทำไมเมื่อปัจจุบันเราไม่รอด
สังเกตให้ดีนะครับ ถ้าตามข่าวเศรษฐกิจ ไม่ว่าบริษัทใหญ่ๆเริ่มเข้าใจ paradigm shift ทำงานลดคนลงเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ธนาคาร เป็นตัวอย่างที่ชัดเลยครับ
การแก้ไขของธุรกิจในยุค paradigm shift นี้มีทางเดียวคือ นโยบายการค้าและธุรกิจที่รัฐกำหนดมาและชาตินิยม แต่ตอนนี้นโยบายเหมือนจะไม่เอื้อ SMEs รัฐเหมือนจะเอื้อทุุนใหญ่มากกว่า ดูอย่างบัตรประชารัฐซิครับ สามารถใช้ในห้างและร้านสะดวกซื้อได้แล้ว เงินแทนที่จะให้มาซื้อของที่ SMEs ทำให้ SMEs มีรายได้เกิดการจ้างงานหรือเกิดธุรกิจใหม่ๆ ก็ไม่มีโอกาส
ดังนั้นเราต้องเอาตัวรอดกันเอง
สู้ๆนะครับทุกคน ด้วยความปรารถดี
ปล.หัวข้อนี่คือการวิเคราะห์และความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่มีผิดหรือถูกอย่าดราม่ากันเลยนะครับ ไม่เห็นด้วยก็คุยกันแบบสุภาพนะครับ ไม่ไปอิงกับการเมืองนะครับ
1 บันทึก
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย