15 มี.ค. 2020 เวลา 07:59 • ไลฟ์สไตล์
ซีรีส์แสงชีวิต
ตอน 'อานิสงส์ของการอนุโมทนาบุญ'
'การทำบุญ'
เมื่อเราทำบุญกุศลใด ทำไมต้องนำบุญมาฝากและอยากให้คนที่เรารักและกัลยาณมิตร ได้ร่วมอนุโมทนาบุญกับเรา และบ่อยครั้งที่เราก็ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้อื่นเช่นกัน...
วันนี้เลยขออนุญาตนำข้อมูลเกี่ยวกับอานิสงส์ "อนุโมทนาบุญ" มาให้ได้อ่านกันนะคะ
ที่น่าอัศจรรย์คือ เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใสในบุญกุศลที่คนอื่นได้สร้าง แล้วกล่าวคำอนุโมทนาบุญด้วย ยังเป็นเหตุให้ได้สุคติโลกสวรรค์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว บุญจากการอนุโมทนาที่เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย เป็นบุญพิเศษที่บางท่านมองข้ามไป พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า การอนุโมทนาบุญนี่แหละเป็นทางมาแห่งบุญ เพราะเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ และให้อนุโมทนาบุญเมื่อเห็นคนอื่นทำความดีกัน
 
ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านได้สละเครื่องประดับซึ่งมีราคาถึง ๙ โกฏิ สร้างปราสาทหลังใหญ่ให้เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ถึง ๑,๐๐๐ ห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง เสมือนเทพวิมาน มีภาคพื้นดุจคลังแก้วมณี และการก่อสร้างในครั้งนี้ มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
 
การก่อสร้างวิหารใช้เวลา ๙ เดือนจึงสำเร็จ จากนั้นมีการฉลองวิหารโดยใช้เงินถึง ๙ โกฏิ มหาอุบาสิกาวิสาขาพร้อมด้วยเพื่อนหญิงประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นไปชมปราสาท ได้เห็นสิริสมบัติของปราสาทนั้น เกิดความปลื้มปีติในมหาทานบารมีของตน จึงพูดกับเพื่อนหญิงว่า “พวกเธอจงอนุโมทนาบุญที่ฉันได้ขวนขวายทำเถิด ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ” เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า “สาธุ สาธุ ดีแล้ว”
 
ในบรรดาเพื่อนหญิงทั้งหมดของนางวิสาขา มีคนหนึ่งใส่ใจในการอนุโมทนาบุญเป็นพิเศษ เธอรู้สึกเลื่อมใสราวกับตนเองได้ทำด้วยมือฉะนั้น ครั้นละโลก เธอได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ และด้วยบุญญาอานุภาพของเธอ วิมานหลังใหญ่กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้น วิมานนั้นประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบกขรณี ปรากฏล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปได้ ๑๐๐ โยชน์
 
ครั้นวันหนึ่ง พระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก เห็นเพื่อนของมหาอุบาสิกาวิสาขาก็จำได้ จึงเข้าไปถามว่า
 
“ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศเหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนรำอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมฟุ้ง เมื่อท่านเคลื่อนไหวกาย เครื่องประดับที่ช้องผมก็เปล่งเสียงกังวานฟังไพเราะ มาลัยประดับศีรษะเมื่อต้องลมก็ส่งเสียงดังกังวานไพเราะยิ่งนัก พวงมาลัยบนศีรษะของท่านก็มีกลิ่นหอม ดูก่อนเทพธิดา ผลบุญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านได้ทำกรรมอะไรมา”
เทพธิดาผู้มีบุญตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาอุบาสิกาวิสาขา สหายของดิฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารและการบริจาคทรัพย์อุทิศสงฆ์ได้บังเกิดความเลื่อมใสในบุญนั้น จึงอนุโมทนาบุญด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมหาปีติ ดิฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ก็เพราะการอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้น วิมานลอยไปในเวหาเปล่งรัศมีสว่างไสว ห้องรโหฐานที่อยู่อาศัย ล้วนแล้วแต่บุญปรุงแต่งประหนึ่งเนรมิตไว้เป็นส่วน ๆ เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบทิศ
 
นอกจากนี้ วิมานของดิฉันยังมีสระโบกขรณี มีหมู่มัจฉาแหวกว่ายน่าดูชม มีนํ้าใสสะอาด ปูลาดไว้ด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมบัวหลวงหลากชนิด ยามลมรำเพย ก็โชยกลิ่นระรื่นจรุงใจ มีรุกขชาตินานาชนิด คือ หว้า ขนุน ตาล มะพร้าว และต้นไม้ผลไม้นานาพันธุ์เกิดขึ้นเองภายในนิเวศน์โดยไม่ต้องปลูก วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี เหล่าอัปสรเทพนารีต่างส่งเสียงรื่นเริงยินดี วิมานมีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศและน่าชมเช่นนี้ ล้วนบังเกิดขึ้นเพราะกุศลกรรมที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"
 
พระอนุรุทธเถระคิดว่า “เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานที่ผู้อื่นทำ ยังได้เสวยทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วมหาอุบาสิกาวิสาขาผู้เป็นต้นบุญในการถวายมหาวิหาร หากละโลกไปแล้ว เธอจะไปบังเกิดที่ไหน” ดังนั้น พระอนุรุทธเถระจึงได้ถามเทพธิดา
 
เทพธิดาตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาวิสาขานั้นเป็นสหายของดิฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เธอได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นปชาบดีของท้าวสุนิมมิตเทวราช วิบากแห่งกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา ที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง เพราะเธอได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากมายกว่าดิฉันยิ่งนัก
 
ขอพระคุณเจ้าโปรดชักชวนคนอื่น ๆ ว่า พวกท่านจงถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการได้โดยยาก บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีผลมาก เพราะพระสงฆ์เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่ ไม่อาจคำนวณนับได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนนํ้ามิได้
 
พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้นเป็นอันถวายดีแล้ว บูชาดีแล้ว ทักษิณานั้นถึงสงฆ์แล้ว ย่อมมีผลมาก ชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในภพ พึงกำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้งบาปอกุศล ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์”
1
เราจะเห็นว่า เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานบารมีที่คนอื่นทำ ยังได้รับอานิสงส์ใหญ่เกินควรเกินคาดถึงเพียงนี้ การเปล่งถ้อยคำที่ออกมาจากใจว่า “ขออนุโมทนาบุญ” จึงมิใช่คำที่พอดีพอร้าย หากใจเรามีมหาปีติเลื่อมใสในบุญกุศลที่บุคคลอื่นทำจริง ๆ เหมือนอย่างเทพธิดาที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าให้ฟัง ผลบุญจะบังเกิดขึ้นกับตัวเรามากทีเดียว อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นให้หมั่นมีมุทิตาจิตกับคนอื่น เมื่อเห็นบุคคลใดทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้รีบยกมือกล่าวอนุโมทนาสาธุการกับบุคคลนั้นทันที
 
และถ้าจะให้ดี ตัวเรานั่นแหละควรขวนขวายในการทำบุญกุศลให้เต็มที่ อย่ามัวคิดดูก่อน แต่จงเร่งรีบทำบุญก่อนใคร ไม่คอยแต่รออนุโมทนาบุญกับใคร แต่ให้คนอื่นมาอนุโมทนาบุญที่ได้ทำไปกับเรา เราจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับชาวโลก และเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๓๕๔
ขอขอบคุณ "บทความธรรมะ"
“ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดา ครูอาจารย์ ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน คนเคยร่วมกิจการงานทั้งหลาย ขอให้ได้ในกุศลผลบุญฉัน ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัน ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เทอญ”
น้อมนำบุญมาฝากกัลยาณมิตรทุกท่านนะคะ สาธุ สาธุ สาธุค่ะ🙏🏻🙏🏻🙏🏻
หมายเหตุเพจฯ:
●อธิบาย คนสี่คู่ แปดบุรุษ
ถาม : จากบทสวดมนต์ คู่แห่งบุรุษ 4 คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ 8 บุรุษ หมายถึงบุคคลใดบ้าง
ตอบ : หมายถึงอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ แบ่งย่อยตามหลักเป็น โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค และ อรหัตผล
มรรคกับผลต่างกัน คือเหมือนเราเดินทาง จะนั่งรถก็ดี เดินก็ดี บนอากาศ บนรถไฟ หรืออะไรก็ตาม ขณะกำลังเดินทางเรียกว่ามรรค เมื่อมาถึงแล้วก็เรียกผล
มรรคคือหนทางปฏิบัติ การปฏิบัติก็อริยมรรคมีองค์ 8 ที่เราสวดกัน เดินตามสัมมาทิฏฐิ จนถึงสัมมาสมาธิ
ส่วนผลการปฏิบัติ คือความสุขที่เกิดจากปฏิบัติ ปรากฏความสงบเย็นนั้น เป็นปัตจัตตัง รู้เองว่าเราได้ผลมากน้อยเพียงใด หลวงพ่อชาท่านสมมติว่า เวลาหิวข้าวกำลังทานข้าวมันเป็นมรรคคือเป็นข้อปฏิบัติ แต่ว่าอิ่มนั้นก็ค่อยๆอิ่มไปเรื่อยๆ ถ้าเราเข้าใจว่าต้องทานข้าวเต็มท้องแล้วอิ่มก็ไม่ใช่ อริยบุคคลที่พูดมาก็คือค่อยๆผ่านๆไป นี่คือหลักการปฏิบัติ
แจกแจงธรรมโดย
พระครูนิมิตวิริยานุกูล (สุบิน อุตฺตโม)
วัดป่าบ้านหนองแวง ศรีสะเกษ
สาขาวัดหนองป่าพงที่ 12
ตอบตามธรรม เล่ม 1
(คัดจาก เว็บไซท์มูลยิธิมายาโคตมี
หมายเหตุเพจฯ:
● การอนุโมทนาบุญเป็นการสะสมบุญชนิดหนึ่ง เป็นหนึ่งในบุญกริยาวัตถุสิบที่พระพุทธองค์ทรงให้วิธีไว้
●ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความให้เรารอแต่อนุโมทนาบุญจากคนอื่น ตัวเราเองพึงหมั่นขวนขวายทำบุญที่เลิศตามอัตภาพด้วย โดยการทำบุญนั้นๆ ของเราต้องเป็นบุญที่บริสุทธิ์ กล่าวคือ ของทำบุญได้มาโดยบริสุทธิ์ จิตใจเราบริสุทธิ์ ทำเพื่อให้ได้ทำ ไม่ใช่ทำเพื่อให้ได้หน้า หวังถูกล็อตเตอรี่ ทำร้อยหวังกอบโกยล้าน ฯลฯ
●การทำบุญอยู่ที่ใจ ถ้าทำด้วยใจบริสุทธิ์แม้ทำบาทเดียวก็อาจมีอานิสงส์มากกว่าคนทำำนทำหมื่นที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่างๆ ในการทำบุญนั้นๆ อาทิ บางคนจำใจและแอบไม่พอใจที่ต้องทำแต่ก็ทำเพื่อรักษาหน้า
●คนมีสองบาททำบุญหนึ่งบาท นับว่ามหาศาลแล้ว เพราะทำครึ่งหนึ่งของที่ตนมี ไม่จำเป็นต้องรวย ไม่พึงเสียใจที่ไม่ได้ทำเท่าคนที่มีมากกว่า เพราะโดยปกติการทำบุญต้องไม่เบียดเบียนตนเอง
●การทำบุญแล้วปรารถนาสวรรค์หรือพรหมภูมิก็ตาม ก็ยังเป็นความปรารถนาที่จะ 'เอา' ยังผูกสัตว์ให้อยู่ในสังสารวัฏอยู่ดี ยังเป็นความปรารถนาจะเกิดจะเวียนว่ายไม่รู้จบ การทำบุญที่เลิศจึงเป็นการทำบุญที่ปรารถนาจะ 'สละ' สละสิ่งของ สละเงิน สละโลก สละทุกภพภูมิ แล้วตั้งจิตว่า ทุกครั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้การทำบุญ ทำทาน ทำความดี(ใดๆ)นี้ จงเป็นอีกพลวปัจจัย ส่งให้ข้าพเจ้าได้ถึงซึ่วพนะนิพพานในอนาคต (หรือเมื่อไหร่ก็ตามแต่เจตนามุ่งหมายไว้)
●การทำบุญ ทำทาน ทำความดีใดๆ บุคคลพึงหมั่นทำสม่ำเสมอ ค่อยๆ ทำ อาทิ ใส่บาตรทุกเช้า เพราะเป็นการฝึกให้ ฝึกระเบียบชีวิต ฝึกการสละออก ท่านว่า อาทิ ใส่บาตรประจำ ย่อมเป็นเสบียงในชาติหน้าๆ ที่ยังไม่พ้นทุกข์ (ศีลเป็นสะพาน ทานเป็นเสบียง)
●เมื่อการอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นมีอานิสงส์มากมายขนาดนี้ เราทุกคนเองเมื่อเราทำบุญ ทำทาน ทำคุณความดีใดๆ เราเองพึงปลื้มปีติในบุญทุกบุญนั้นๆ ไม่ว่าบุญเล็กบุญใหญ่ ให้มากๆ ให้เต็มเปี่ยมเหมือนเราได้ทำบุญใหญ่อันบริสุทธิ์ทุกครั้ง แล้วขยัยแผ่บุญนั้นไปให้ผู้อื่นได้อนุโมทนา ก็เป็นการขยายมูลค่าบุญนั้นไปให้ใครต่อใครอีกมากมายด้วย
ภาพจากอินเทอร์เน็ต
ธรรมคัดจาก:
เพจ อร เจ้าหญิงพันล้าน
โฆษณา