18 มี.ค. 2020 เวลา 03:44 • สุขภาพ
อนามัยโลกแนะนำให้รับประทานน้ำตาลได้เพียง 6 ช้อนชาหรือ24 กรัมต่อวันเท่านั้น
คุณรู้ไหมว่าในปัจจุบันคนไทยรับประทานน้ำตาลโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ "สูงมาก" คือมากกว่า 20 ช้อนชาหรือ 80 กรัมต่อวัน เป็นเพราะพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยขึ้นชื่อเหลือเกินในเรื่องของ "ความหวาน"
เพราะในอาหารและเครื่องดื่มเกือบทุกชนิด มักจะมีรสหวานอยู่เสมอ สังเกตได้ง่ายๆเวลาคนไทยดื่มกาแฟมักจะใส่น้ำตาลลงไป เพื่อลดความขม ทราบหรือไม่ว่าน้ำตาล 1 ซองที่ใส่ในกาแฟมีปริมาณน้ำตาล 4-8 กรัมต่อซอง (ขึ้นกับขนาดของซอง)
หรือประมาณ 16.67 – 33.33% ของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานต่อวัน นี่แค่กาแฟเพียง 1 แก้วหากเรารวมอาหารที่บริโภคต่อวันไม่ว่าจะเป็นมื้ออาหาร, ผลไม้ชนิดต่างๆ รวม ทั้งขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย สิ่งที่บริโภคต่างๆเหล่านี้มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบเกือบทั้งหมดจะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารนั้นๆ
มื้ออาหารที่หลีกเลี่ยงน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตได้อย่างสะดวกคือมื้อเย็น เพราะมื้อเช้าน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่สำคัญ เนื่องด้วยเป็นสารอาหารที่สามารถย่อยสลายเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานได้อย่างดีที่สุด ในช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้าสมองต้องการพลังงานอย่างรวดเร็ว ดังนั้นสารอาหารชนิดนี้จึงเหมาะสมสำหรับมื้อเช้าเป็นอย่างมาก ส่วนมื้อเที่ยงโดยส่วนใหญ่ผู้คนจะรับประทานกันนอกบ้านหรือรับประทานกับเพื่อนร่วมงาน หรือที่เรียกกันว่ามื้อสังคม จึงเป็นการไม่สะดวกเท่าไหร่นักหากจะควบคุมการบริโภคในอาหารมื้อนี้ ดังนั้นมื้ออาหารเย็นควรมีคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลที่ต่ำ เพื่อที่จะได้ควบคุมการบริโภคปริมาณน้ำตาลตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำให้รับประทานน้ำตาลได้เพียง 6 ช้อนชาหรือ24 กรัมต่อวันเท่านั้น และที่สำคัญการบริโภคคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลที่ต่ำจะทำให้มีพลังงานส่วนเกินที่ได้จากการย่อยน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำหรือไม่มีเลย ทำให้ไม่มีพลังงานส่วนเกินที่ได้จากการย่อยน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตที่จะถูกแปรรูปเปลี่ยนแปลงเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายที่เป็นสาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
โฆษณา