18 มี.ค. 2020 เวลา 05:10 • ยานยนต์
สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน
1
ยินดีนำเสนอ
EP2 : ทำไม Honda City Gen5 ขายดีเเละเจาะลึกข้อดี-ข้อเสีย
ในอดีตนั้น Honda City เป็นรถ B-Segment ที่โด่งดังยอดฮิตมากที่สุดรุ่นนึงในตลาด ด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรของฮอนด้าที่มีจุดเด่นเรื่องความเเรง(ยกเว้น City Gen2
รุ่นเเมลงสาบที่อืด)เเละประหยัด มิติภายนอกเเละพื้นที่ภายในใหญ่โต
มาวันนี้ City Gen5 นำตัวเองเข้ามาเป็น Eco Car Phase 2 ซึ่งให้การประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นเเละหวังใช้สิทธิด้านภาษีที่ถูกลง(รายละเอียดเงื่อนไข Eco Car อยู่ที่ EP1 นะครับ ใครยังไม่ได้อ่าน ลองเข้าไปอ่านกันได้ครับ)
ซึ่งราคาหลังเปิดตัวมีดังนี้ครับ
รุ่น S CVT 579,500
รุ่น V CVT 609,000
รุ่น SV CVT 665,000
รุ่น RS CVT 739,000
หลังเปิดตัวนั้นมีเเต่เสียงก่นด่าในโลกโซเชียลว่าราคาเเพง เกิน 7 เเสน เครื่อง Eco ราคาไม่ Eco บลาๆเเล้วเเต่ที่จะโดนโจมตีจนเหมือนรถคันนี้ดูเเย่ไปหมด เเต่นั้นเป็นส่วนของโซเชียลครับ เพราะจากยอดขาย 2 เดือนเเรกของปี City ฟาดไปเดือนละ 4600-4700 คัน ครองเเชมป์ Eco Car ยอดขายทิ้งห่างคู่เเข่งเเบบไม่เห็นฝุ่น(อันดับ 2 ได้เเค่ประมาณ 2000 กว่าคัน) วลีที่ว่า"คนซื้อไม่บ่น คนบ่นไม่ซื้อ"ใช้ได้จริงกับกรณีนี้
ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าจริงๆเเล้ว City Gen5 รุ่นนี้มีข้อดี-ข้อเสียหรือจุดควรปรับปรุงอะไรบ้าง มันเเย่จริงอย่างที่เขาพูดกันหรือ
ข้อดี
-นับว่าเป็น hilight ที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ คือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ จากเดิม City ทุกรุ่นจะยืนพื้นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรมาตลอดซึ่งก็เเล้วเเต่ Gen ว่าจะปรับจูนเเบบไหน ซึ่งเกือบทุก Gen ก็มีจุดเด่นด้านความเเรงเเละใช้เครื่องยนต์บล็อกตระกูลที่มีรหัส L15 ตั้งเเต่ Gen2 ยัน Gen4 อาจจะมีเเค่การปรับจูน,เปลี่ยนเกียร์ให้ดีขึ้นเเม้จะทรงพลัง(ใน Gen3 เเละ Gen4)เเต่เครื่องเก่ามีอายุค่อน
ข้างมากเเล้วมาวันนี้เขาเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดโดยใช้เทคโนโลยี downsizing หดเหลือ 1.0 ลิตรเทอร์โบพร้อมระบบ direct injection(เดิมเป็น port injection)ที่ต้องบอกว่ากำลังของมันนั้นน่ากลัวจริงๆ มี 122 เเรงม้า เเรงบิด 173 นิวตันเมตร(City Gen4 117 เเรงม้า เเรงบิด 146 นิวตันเมตร)เครื่องตัวใหม่นี้พละกำลังใกล้เคียงเครื่อง 1.8 ลิตร มันโหดมากเมื่อเทียบกับ Eco Car รุ่นอื่นๆ รุ่นนี้จับเวลา 0-100 km/h ประมาณ 10 วิต้นๆซึ่งมันเเรงชนิดที่รุ่นพี่อย่าง civic fc 1.8 มีอายเลยทีเดียว เพราะตัวเลขอัตราเร่งพอๆกันเลย(City ดีกว่านิดนึงด้วยซ้ำ)ให้ความทันใจในการขับขี่มาก เป็นจุดเเข็งของ City ที่มีมาเกือบทุกรุ่น เเต่มาวันนี้มันถูกเสริมให้เเข็งยิ่งกว่าเดิมอีก
-เกียร์ CVT ของ Honda ค่อนข้างดีที่สุดในตลาด City นี่ก็เช่นกัน จับส่งกำลังไว
โปรเเกรมเกียร์ฉลาด ไม่โง่หรืออืดอาดเหมือน CVT หลายๆยี่ห้อ เเถมมีการลากรอบสร้างความสะใจ บุคลิกคล้ายๆเกียร์ของ civic fc 1.5 turbo
-เเต่เดิม Gen1 ถึง Gen4 ไม่เป็น Eco Car Phase2 พอมาตอนนี้เป็น Eco Car Phase 2 เเน่นอนครับ ความประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิมเเบบไม่เห็นฝุ่นในการใช้งานจริง การวิ่งทางไกลรุ่นก่อนๆอยู่ประมาณ
16 km/l มาตลอด มาวันนี้มีสิทธิ์เเตะ
20 km/l ได้เเบบสบายๆในการวิ่งทางไกล
(สเปคในโบรชัวร์ คือ 23.8 km/l ตามมอก.)ประหยัดดีกว่า city รุ่นเดิมมาก เพราะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก(เเต่อย่าเผลอกดคันเร่งเเรงเพราะสะใจกับอัตราเร่งพละกำลังของมันนะครับ 555 ถ้ากดเเรงๆปุ๊ปมันก็กินน้ำมันพอๆกับเครื่อง 1.8 เลย เเหงละครับเเรงเท่า 1.8 ถ้ากดมิดก็กินน้ำมันเท่าเลย จะกลายเป็นไม่ประหยัด)
-มิติตัวรถภายนอก ซึ่งปกติ city ถือเป็น B-Segment ที่มีมิติใหญ่มากอยู่เเล้ว ถ้าจะเทียบให้เห็นภาพลองเทียบกับรุ่นพี่ C-Segment อย่าง Civic FB เเละ FC(รุ่นที่เเล้วเเละรุ่นปัจจุบันกันดูครับ)
City Gen 5 | Civic FB | Civic FC
ความยาว 4553 4525 4630
ความกว้าง 1748 1755 1798
ความสูง 1467 1434 1417
ฐานล้อ 2589 2670 2700
*หน่วยเป็นมิลลิเมตร
เห็นไหมครับ เป็น B Segment Eco Car ที่คันไม่เล็กเลย เเทบไม่ต่างจากรถ C-Segment มากขนาดนั้น รุ่นพี่อย่าง Civic ที่อุตส่าห์ขยายตัวถังในรุ่นปัจจุบันเเล้ว เจอ City Gen5 เข้าไปมีปาดเหงื่อเหมือนกันครับ รุ่นน้องจะเท่ารุ่นพี่อยู่เเล้ว อันที่จริงถ้าใครสังเกตให้ดีจะพบว่ามิติของ City ถ้าเทียบกับพี่ Civic ในยุคเดียวกันจะไม่เเตกต่างกันมากนักมาโดยตลอด คือพี่ใหญ่ขึ้น น้องก็ใหญ่ตาม พี่จะทำไร น้องก็คอยหายใจรดต้นคอ
-Honda เป็นยี่ห้อที่เก่งเรื่องทำรถให้ภายในกว้างเกินจริงมากๆ City ทำพื้นที่ภายในมาได้ดีทุกรุ่น จากเเนวคิดที่ Honda ใช้มาตลอดหลายสิบปี "Man Maximum Machine Minimum" กล่าวคือ "ให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในของผู้โดยสารมากที่สุดเเละให้ความสำคัญกับพื้นที่วิศวกรรมน้อยที่สุด"มารุ่นนี้มันดีขึ้นไปอีกครับ จากมิติภายนอกที่ใหญ่โตของมัน จนมีพื้นที่กว้างขวางโอ่โถงมากที่สุดใน Eco Car เเล้วเเถม Honda เป็นยี่ห้อที่ลูกค้าผู้หญิงเยอะ เรื่องช่องเก็บของไม่ต้องห่วงมีมาให้เเทบจะทุกจุดทุกบริเวณ อเนกประสงค์สุดๆ
1
-มีเบาะหลังที่เป็น Hilight นอกจากเครื่องยนต์ก็ว่าได้ คือ นั่งสบายที่สุดใน Eco Car อันนี้คือต้องชมเลยว่ามันนั่งสบายจนว้าวมากๆ ผู้เขียนไม่ใช่คนตัวเล็ก สูง 178 หนัก 75 สามารถนั่งเบาะหลังของ City ได้อย่างสบายโดยที่ปรับเบาะหน้าในตำเเหน่งที่ตัวเองถนัด มันนั่งสบายมากๆ คือ พูดตามตรงว่าผู้เขียนนั่งเบาะหลัง Civic FB เกือบทุกวัน มานั่ง City จะบอกว่า City นั่งสบายกว่าครับ 555 ขนาดว่าปรับเบาะเลื่อนมาสุดก็ยังมี legroom มากกว่า Civic FB เเละเยอะพอๆกับ Civic FC มี headroom ดีกว่า City gen4 ที่ผมนั่งเเล้วหัวติด เเต่รุ่นนี้ยังพอเหลือที่ให้พอขยับหัวได้ เเละตัวเบาะนั้นดีเหมือน Civic FB คือ เบาะรองนั่งยาว พนักพิงหลังทำมุมมาค่อนข้างดี พนักพิงศีรษะนุ่ม พูดกันเลยว่าเบาะหลังของ City นั้นดีกว่ารถใหญ่กว่าอย่าง C-Segment เกือบทุกคันในตลาดตอนนี้ เทียบเคียงได้กับเบาะหลังของรุ่นพี่ Civic FC ถือว่านั่งได้ดีเหมาะกับทุกเพศทุกวัย บ้านใครมีผู้หลักผู้ใหญ่ น่าจะชอบเบาะหลังคันนี้
-มุมมองจากผู้โดยสารด้านหลังโปร่งโล่งสบายมากกว่าสมัยก่อน เพราะปีกเบาะคู่หน้าส่วนบนถูกออกเเบบมาให้มีขนาดเล็กลง 60 มม.เมื่อเทียบกับ Gen4
-รุ่น RS มีชุดเเต่งจัดเต็มทั้งภายนอกรอบคันไล่ตั้งเเต่กระจังหน้าดำเงา,ไฟหน้า LED, ไฟตัดหมอก LED, ล้ออัลลอยลายสปอร์ต 16 นิ้ว, กระจกมองข้างดำเงา,เสาอากาศครีบฉลามสีดำ,กันชนหน้า-หลังเเบบสปอร์ต,
สปอยเลอร์ ส่วนภายในก็ใช้เบาะหนังกลับ alcantara สีดำพร้อมตกเเต่งด้วยด้ายเเดงทุกจุดสำหรับภายใน ใครชอบชุดเเต่งเเบบครบๆนั้นเหมาะมากในรุ่น RS
-มีดีไซน์ภายในที่เรียบง่ายเเละใช้งานง่าย ปุ่มต่างๆถูกจัดวางในตำเเหน่งที่เหมาะสม มีความ User Friendly
-ภายในมีกลิ่นอายความพรีเมี่ยม เพราะเเอบยกสวิตซ์เเอร์หน้าตาคล้ายๆกับของพี่ใหญ่อย่าง accord มาใส่เลยทีเดียว รวมถึงพวงมาลัยเเละหัวเกียร์นั้นยกทั้งดุ้นมาจาก accord เหมือนกัน ทำให้ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น
-เป็น city รุ่นเเรกที่มีเบาะหนังมาให้เลือกเสียทีหลังจากก่อนหน้านี้มีเเต่เบาะผ้า โดยในรุ่น SV คุณจะได้เบาะหนังเเละการตกเเต่งภายในทูโทนเพื่อเพิ่มความหรูหรา เเต่รุ่น RS นั้นพิเศษเลยเพราะเป็นเบาะหนังกลับ alcantara เหมือนพวกรถเเพงหรือรถเน้นสมรรถนะทั้งหลาย ทั้งสองรุ่นนี้คอลโซลหน้า(ส่วนล่างของคอลโซล)เเละคอลโซลกลางจะมีการบุนุ่มเย็บหนังมาให้ ในรุ่น SV เป็นหนังสีเบจ ส่วน RS เป็นหนังสีดำตัดด้ายเเดง สัมผัสของหนังบนพวงมาลัยนั้นเหมือน accord เลย ทำให้ภายในดูหรูหรา
ไฮโซขึ้นกว่าสมัยก่อนในเรื่องของวัสดุ
-เเต่เดิมนั้น honda เป็นยี่ห้อที่ช่วงล่างจะไม่ค่อยดี คือ ตึงตังในความเร็วต่ำ ย้วยในความเร็วสูง เเต่ City ใหม่มีช่วงล่างที่นุ่มสบายมากๆที่สุดในกลุ่มเลย ในช่วงขับผ่านทางไม่เรียบหรืออะไรก็เเล้วเเต่ city นั่นจะซับเเรงสะเทือนได้ค่อนข้างดีมาก ดีกว่า civic fc เสียอีก เหมาะกับการขับในความเร็วไม่เกิน 120 km/h ได้ความสบายมากๆ
-มีน้ำหนักพวงมาลัยที่หนืดขึ้นกว่า City Gen4 หน่วงมือกำลังดี ไม่เบาจนเกินไปเหมือน City Gen2 เเละ Gen4 รวมถึงไม่หนืดเกินไปเหมือน City Gen3 มีระยะฟรีที่โอเค ทำให้ขับสบายมาก ผ่อนคลายในการขับ พวงมาลัยดีเลิศที่สุดในกลุ่มเลยทีเดียว
-การเก็บเสียงดีกว่า Honda ยุคก่อนที่เสียงดังมาก ขนาด Accord รุ่นก่อนยังดังเลย มาวันนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นเเล้ว เพิ่มวัสดุซับเสียงเเละลดเเรงสั่นสะเทือนจนเป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับคู่เเข่ง
-การบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในค่อนข้างง่ายเเละทนทานเนื่องจากอุปกรณ์ส่วนมากมีระบบไม่ซับซ้อน เป็นระบบเเบบรุ่นเก่าหลายอย่างทั้งมาตรวัด หรือชิ้นส่วนต่างๆคล้ายๆกับของ Gen3 เเละ Gen4
-เมื่อเทียบราคากับ City Gen4 เเล้วถูกลง
ราคา City Gen4
รุ่น S MT 550,000
รุ่น S CVT 589,000
รุ่น V CVT 649,000
รุ่น V+ CVT 689,000
รุ่น SV CVT 736,000
รุ่น SV+ CVT 751,000
ราคา City Gen5
รุ่น S CVT 579,500
รุ่น V CVT 609,000
รุ่น SV CVT 665,000
รุ่น RS CVT 739,000
ในรุ่น Gen5 ตัดรุ่น S MT, V+,SV+ ออก รุ่นท็อปจากเดิมที่เป็น SV+ อัพเกรดเป็นรุ่น RS ที่มาพร้อมชุดเเต่งรอบคัน ซึ่งเทียบในรุ่นย่อยเเล้วถือว่าถูกลงทุกรุ่น โดยเฉพาะรุ่น SV ถูกลง 71,000 เเถมรุ่น RS ที่สูงกว่าเดิมก็ยังถูกว่า SV+ เดิมอีก ลูกค้าเก่าน่าจะเห็นถึงความคุ้มค่าของราคาใหม่ งานนี้ต้องขอบคุณเรื่องสิทธิด้านภาษี Eco Car ที่ถูกลง ทำให้กดราคารถให้ถูกลงได้อีกด้วย
ทีนี้เรามาดูข้อเสียกันบ้างดีกว่า
-เรื่องราคาขาย เนื่องจากเดิม City ไม่ใช่ Eco Car ทางฮอนด้าจึงต้องการวางตัวเองให้สูงกว่า Eco Car รุ่นอื่นเพื่อภาพลักษณ์ทางการตลาด ทำตัวรถให้ดีกว่าคู่เเข่งในหลายๆด้าน เเต่ก็ยอมรับว่ามันเเพงที่สุดในตลาด โดยเฉพาะรุ่น RS ก็เเพง
กว่าคู่เเข่งตัวหลักรุ่นท็อปอย่าง Almera VL(639,000)ประมาณ 100,000 บาทเเละเเพงกว่าเจ้าอื่นๆค่อนข้างมาก เลยทำให้โดนวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลค่อนข้างมาก
เป็นที่มาของการโดนถล่มในโซเชียล
-รุ่น SV นั้นตอนเเรกเมื่อเห็นราคาเเล้วตกใจว่าทำไมถูกลงเยอะมากจาก SV เดิม จึงคิดว่าน่าจะคุ้มค่าสุดๆ เพราะสิ่งที่ได้เพิ่มคือเบาะหนัง,พวงมาลัยหุ้มหนัง,ไฟท้าย LED,ถุงลม 4 ใบ(รุ่นเดิมถ้าเป็น SV+ จะมี 6 ใบ ส่วนรุ่นอื่นๆ 2 ใบหมด) เเต่พอกางเปิดตาราง
ออพชั่นมาดูก็ไม่เเปลกใจว่าทำไมถูกลง สิ่งที่หายไป(เทียบทั้ง Gen4 ก่อน Minorchange เเละหลัง Minorchange) คือ ไฟหน้าจาก LED เป็นโปรเจคเตอร์,ไฟตัดหมอก LED,ล้ออัลลอยจาก 16 นิ้วเป็น 15 นิ้ว,ระบบคุมความเร็วอัตโนมัติ criuse control,เเป้นเปลี่ยนเกียร์ paddle shift,ลำโพงจาก 8 ตำเเหน่งเหลือ 4 ตำเเหน่ง,ที่เท้าเเขนเบาะหลัง,ช่องชาร์จไฟด้านหลัง 2 จุด,ราวมือจับจาก 4 ตำเเหน่งเหลือ 3 ตำเเหน่งเเละที่ตลกคือกระจกเเต่งหน้าจาก 2 ข้างเหลือข้างเดียว คือ มันหายไปเยอะเลยครับออพชั่น สิ่งที่กล่าวมาไปอยู่ในรุ่น RS หมดเลย ซึ่งมันน่าผิดหวังสำหรับรุ่น SV ที่โล้นกว่าเดิมเยอะมาก เเละกลายเป็นว่ารุ่น RS ออพชั่นเเทบจะไม่ได้เยอะไปกว่า SV+ เดิมเลย ถ้าไม่นับพวกเบาะหนัง,พวงมาลัยหนัง,ไฟท้าย LED คือ สรุปว่าเหมือนรุ่น SV คือ V+ เดิม ส่วน RS คือ SV+ เดิม เเค่เปลี่ยนชื่อรุ่นให้สูงขึ้น เป็นกลยุทธ์ทางจิตวิทยา เพื่อให้เรารู้สึกว่ามันถูกลงกว่ารุ่นเดิมมาก ซึ่งจริงๆก็ถูกลงเพียงเเค่นิดเดียว เเถมรุ่น SV ดันตัดออกซะจนความครบครันน้อยลง เหมือนจงใจบีบให้ไปเล่นรุ่น RS มากเกินไปนิดนึง
-ออพชั่นด้านความปลอดภัยที่เมื่อเทียบกับรุ่นเดิมเพิ่มเเค่ถุงลมรุ่นปกติจาก 2 ใบเป็น 4 ใบ รุ่นท็อป 6 ใบเหมือนเดิม มาพร้อม ABS,EBD,VSA,HSA,ESS,กล้องหลังเเละระบบอื่นๆยกมาจากรุ่นเดิมทุกอย่าง..... ไม่มีระบบไฮเทคใหม่ๆเลย สำหรับในปี 2020 ถือว่าน้อยเกินไปเเล้วเมื่อเทียบกับคู่เเข่ง โดยเฉพาะ Almera VL ที่ถูกกว่า 100,000 บาท คุณได้ระบบเตือนการชนด้านหน้าพร้อมเบรกอัตโนมัติ,ระบบตรวจจับวัตถุรอบคัน,กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา เเต่ city ไม่มีที่กล่าวมาเเม้เเต่อย่างเดียว
-ดีไซน์ภายในดูค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งเรียนตามตรงว่าคอลโซลรุ่นที่เเล้วยังดูสวยกว่านี้เลย ดูทันสมัยกว่า จุดที่ต้องเเก้คือช่องเเอร์ที่ดู
เหลี่ยมๆเกินไปเหมือนกระบะซึ่งมันไม่เข้ากับตัวรถ มองเเว้บเเรกนึกว่าช่องเเอร์ของ izuzu dmax หรือว่าสองค่ายนี้ใจตรงกันชอบทำอะไรเหมือนๆกันหรือลอกการบ้านกันตลอดอะเนอะ 555 มันเลยทำให้ดูเหมือนกระบะเลย รวมถึงมาตรวัดซึ่งเอาตรงๆรุ่นเดิมก็สวยดีเเละอ่านค่าง่ายอยู่เเล้ว มารุ่นใหม่โอเคครับเข้าใจว่าเน้นอ่านค่าง่าย เเต่ขอโทษครับ มันดูโบราณเเละลดต้นทุนมาก ดูเหมือนรถปี 2010 มากในขณะที่คู่เเข่งปรับไปใช้จอดิจิตอลเเบบไฮโซทันสมัยกันเเล้ว City ยังใช้หน้าจอเเบบเข็มโบราณซึ่งมันทำให้ดูไม่สมราคารถ ผิดกับพวงมาลัย,สวิตซ์เเอร์เเละการตกเเต่งที่ดูพรีเมี่ยม ทีม Honda ครับถ้าอยากให้คอลโซลเเละมาตรวัดของ city สวย นู้นครับไม่ต้องอื่นไกล ดูจาก Honda Jazzตัวใหม่ที่ขายในญี่ปุ่น เเม้คอลโซลจะเหมือนกัน เเต่มีการปรับช่องเเอร์ให้โค้งมนเข้ากับรถมากขึ้นสวยงามขึ้นเเละใช้มาตรวัดดิจิตอลทันสมัยเเค่นี้เองครับ ก็ทำให้ภายในดูดีขึ้นเป็นกองเลยทีเดียวเชียว
-คันเร่งไฟฟ้ามีการอมพลังค่อนข้างมาก ทำให้บางครั้งการกดคันเร่งลงไปต้องรอประมาณ 1 วินาทีจึงจะตอบสนอง อาจทำให้ไม่ทันใจในหลายจังหวะ
-เบาะนั่งคู่หน้านั่งไม่สบายเท่ารุ่นเก่าเพราะปีกส่วนหัวไหล่ที่เล็กลง 60 มม. ทำให้การรองรับช่วงไหล่ทำได้ไม่ดี
-มีการลดต้นทุนมากเกินไปในอุปกรณ์ความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น เข็มขัดนิรภัยปรับสูง-ต่ำไม่ได้ซึ่งมันควรจะปรับได้เพื่อสรีระที่เเตกต่างของผู้ขับ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เเพงมากเลยเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของผู้ขับ ซึ่งใน City สมัยก่อนนั้นมี พอมา Gen4 กลับไม่มี Gen5 ก็ไม่มี เเต่ใน Honda Jazz มี.... ถือว่าน่าตำหนิครับ หรืออย่างรุ่นท็อปสมัยก่อนมีดิสก์เบรก 4 ล้อพอมา Gen4 กลายเป็นหน้าดิสก์-หลังดรัม โอเคครับตรงนี้ไม่น่าตำหนิเท่าไหร่เพราะมันไม่ได้เป็นส่วนสำคัญมากเเต่ในเมื่อรุ่นท็อปราคาเกิน 7 เเสนก็ควรจะติดตั้งมาซะหน่อย งงเหมือนกันว่าเมื่อก่อนทำได้เเต่พอมาตั้งเเต่ Gen4 ดันทำไม่ได้
-ช่วงล่างสไตล์ฮอนด้า เเม้ว่าจะดีกว่าเดิม เเต่ในการขับขี่ความเร็วสูงนั้น ด้วยช่วงล่างที่นุ่มมาก(เเอบย้วย)ทำให้เกิดอาการหวิวๆเเละยวบบาบมากกว่าคู่เเข่ง จุดนี้ยังต้องพัฒนากันต่อไปให้ช่วงล่างนุ่มหนึบกว่านี้
-คุณภาพงานประกอบยังคงสไตล์ฮอนด้า คือ หลายๆจุดนั้นยังมองว่าควรทำได้ดูเนี๊ยบมากกว่านี้ทั้งคอลโซลกลางหรือเเผงประตูให้มีความเเน่นหนาเเละดูเเข็งเเรงมากกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่ใช่เเค่ City เเต่รวมถึงรุ่นอื่นๆที่เหลือด้วยไม่เว้นเเม้เเต่รุ่นพี่ Civic, CRV(ในบรรดาทั้งหมด พี่ใหญ่ Accord เก็บงานดีสุด อย่างว่าอะครับตามราคาของตัวรถ)เเละต้องรอพิสูจน์ความทนทานของเครื่องเทอร์โบตัวนี้ว่าจะทนเหมือนที่อยู่ใน civic กับ accord หรือเปล่า รวมถึง intercooler เเบบน้ำที่
ต้องดูเเลรักษาค่อนข้างมากกว่าเเบบอากาศ
สรุป-เเรงขึ้น ประหยัดขึ้น ใหญ่ขึ้น เหมาะกับทุกคนเหมือนเดิม
ในวันนี้ Honda City Gen5 ยังคงความเป็น Honda คือ มีเครื่องยนต์เเละเกียร์ที่ดีมีความทนทาน มีพื้นที่ใช้สอยภายในเยอะเกินกว่าขนาดภายนอก เบาะนั่งสบาย ใช้งานง่าย ขับง่าย เด็กขับได้ผู้ใหญ่ขับดี เหมาะกับรถครอบครัว เเต่ว่าคราวนี้เขาเพิ่มความประหยัดให้ดีขึ้นเเละเขาเพิ่มความเเรงรวมถึงขนาดภายในห้องโดยสารจนพี่ Civic มีปาดเหงื่อ เป็นการเสริมจุดเเข็งให้โดดเด่น
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของช่วงล่างนั้น Honda ก็ยังคงเป็น Honda คือ ไม่ได้เน้นขับมั่นใจมากนักเท่ากับคู่เเข่งรวมถึงงานประกอบต่างๆที่อาจไม่เนี้ยบเท่าไหร่
City Gen5 นั้นลงทุนตัวเครื่องยนต์เเละเกียร์(ความรู้เสริมคือเครื่องตัวนี้เป็นเครื่อง civic เมืองนอกนะจ๊ะ ที่มีการนำเอามาจูนกำลังลงจาก 129 เเรงม้าเหลือ 122 เเรงม้าเพื่อให้เหมาะกับขนาดตัวรถเเละประหยัดน้ำมันจนเข้า Eco Car Phase 2 ได้)ไปค่อนข้างมาก จนทำให้ส่วนอื่นอาจถูกละเลย เช่น ดีไซน์ภายใน อุปกรณ์ความปลอดภัยสู้คู่เเข่งไม่ได้ อุปกรณ์ต่างๆที่ให้มาไม่ครบถ้วนบ้างในบางรายการตามที่ได้กล่าวไป
เเต่เมื่อนำเอาทุกอย่างมารวมกัน Honda City Gen5 ยังคงความดีที่ City ทุกรุ่นมีมาคือ เเรง-กว้าง-ประหยัด-ใช้งานง่าย-ไม่จุกจิก-ใช้ได้กับทุกคน จึงทำให้ยอดขายนั้นล้นหลามเข้ามาดีเหมือนรุ่นก่อนๆที่ผ่านมา มันเป็นรถที่มีคุณสมบัติโดยรวมตอบโจทย์ลูกค้าได้กว้างเเละรอบด้านมากที่สุดในกลุ่มนี้เเล้ว ถ้าคุณไม่ได้ต้องการความสปอร์ต ภายในอลังการ ช่วงล่างสนุก ออพชั่นล้ำเลิศ เเต่ต้องการรถที่ลงตัวครบทุกด้านก็ City ครับที่จะยังครองใจลูกค้าไทยไปอีกนาน
สุดท้ายนี้ขอฝากถึงทาง Honda ครับที่ผ่านมานั้นในเรื่องของ defect ต่างๆของตัวรถนั้นเรารู้ว่าทาง Honda มีความพยายามในการเเก้ไขเเล้ว เเต่ต้องยอมรับว่าในช่วงตั้งเเต่ปี 2012 ขึ้นมานั้น รถ Honda มี defect จุกจิกค่อนข้างเยอะ มีข้อผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรเกิด เช่น ยางขอบประตูติดมาไม่ดี การประกอบที่ดูไม่เนี๊ยบ รวมถึงศูนย์บริการที่ดร็อปลงกว่าเมื่อก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยากให้ทาง Honda นำไปปรับปรุงเเก้ไขให้ดีเหมือนยุค 1990 ที่ Honda เข้ามาตลาดเมืองไทยใหม่ๆโดยชูจุดขายเรื่องบริการหลังการขายเเละความทนทานครับ Honda มีวันนี้ได้เพราะวันนั้น ซึ่งอยากให้ Honda ไม่ลืมอดีตของตัวเองครับว่าทำไมถึงมีวันนี้ ย้อนกลับไปดูรากเหง้าของตัวเองสมัยก่อนเเละไม่ละทิ้งมัน ในฐานะที่เป็นเเฟน Honda คือ ไม่อยากให้ Honda ด้อยลงเพราะเรื่องเเบบนี้ครับ อยากให้ Honda นำไปเเก้ไข ดู
จากรุ่นพี่อย่าง izuzu เป็นตัวอย่างที่เขามีศูนย์บริการที่ดีมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในทุกเเบรนด์ เรื่องของความทนทาน ไว้ใจได้ เเละเอาใจใส่ลูกค้า เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาเป็นยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ในตลาดรวมมาหลายสิบปีจนถึงทุกวันนี้ คนซื้อก็พากันติดอกติดใจ ส่วน Honda ที่ทุกวันนี้รถขายได้เพราะตัวรถครับ เเต่ถ้าในอนาคต Honda ไม่ได้ปรับปรุงเรื่องนี้อาจทำให้ตำเเหน่งยักษ์เบอร์ 3 ในตลาดรวมที่ตัวเองครองมาตั้งเเต่ช่วงปี 2000 เเละเจ้าตลาดรถเก๋งสูญเสียไปเเบบกู่ไม่กลับเหมือนยี่ห้ออื่นๆในสมัยก่อนครับ ถ้าปรับปรุงเรื่องบริการเเละความ
ทนทานได้เเละตัวรถยังคงทำมาดีขึ้นเรื่อยๆต่อไปเเบบที่กำลังทำอยู่จะทำให้ Honda ยั่งยืนเเข็งเเกร่งในเมืองไทยตลอดไปครับ
เเละทั้งหมดนั่นละครับ คือ การเจาะลึกข้อดี-ข้อเสีย Honda City Gen5
อย่าลืมนะครับ ถ้าชอบบทความเเบบนี้ อย่าลืมกดไลค์ กดเเชร์ กดฟอลโลว์กันนะครับ
เเละอีกช่องทางการติดตามนึงสำหรับผู้อ่านย้อนหลัง คือทาง FB: Carman สามารถติดตามย้อนหลังจากเผยเเพร่ทาง Blockdit 2 วัน ไปกดไลค์กดติดตามกันได้นะครับ
ใครมีความรู้สึกยังไง, มีข้อเสนอเเนะสามารถคอมเม้นลงมาที่ด้านล่างนี้เลยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามรับชมครับ
วันนี้ลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา