Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
NITCHAKARNア
•
ติดตาม
18 มี.ค. 2020 เวลา 11:05 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
“Decision Paralysis” เมื่อการมีอยู่ของตัวเลือกคือ “การไม่เลือก”
เวลาเราจะซื้อหรือตัดสินใจทำอะไร
เรามักจะมองหาตัวเลือกอื่นๆ จำนวนมาก ก่อนที่จะตัดสินใจ
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตัวเลือกมีมากเกินไป จนยากที่จะตัดสินใจ
สิ่งที่ตามมาคือ การเป็นอัมพาตทางการตัดสินใจ
บทความที่แล้วนิทชาพูดถึงการเหนื่อยที่จะตัดสินใจกับจูเลียส ซีซาร์
คราวนี้นิทชาจะพาทุกคนย้อนไปให้ไกลขึ้นอีก
ไปในยุคกรีกโบราณราว 600 ปีก่อนคริสตกาล
กับทาสชาวกรีกที่ตายไปอย่างไร้ชื่อเสียง
แต่กลับเริ่มมีชื่อเสียงหลายร้อยปีให้หลังจวบจนถึงในยุคปัจจุบัน
หลังจากที่เริ่มมีการสืบย้อนหลังจากเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา
แต่ก่อนที่จะเฉลยว่าเขาเป็นใคร
เรามาอ่านเรื่องเล่าของเขากันค่ะ
ในเรื่องเล่าชื่อ “สุนัขจิ้งจอกกับแมว”
วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกโม้กับแมวว่า
“ตัวข้าน่ะมีทางหนีเป็นร้อย เวลามีภัยอะไรมานะ ไม่ได้แอ้มหรอก”
เจ้าแมวตอบกลับไปว่า
“ท่านช่างเก่งจัง ข้าเป็นแมวมีทางหนีเดียวคือวิ่งขึ้นต้นไม้”
ขณะนั้นเองสุนัขล่าเนื้อที่กำลังแอบจ้องตะคลุบเหยื่อกระโดดออกมา
เจ้าแมววิ่งหนึขึ้นต้นไม้ในทันที ขณะที่สุนัขจิ้งจอกยืนตัวแข็ง
เพราะมัวแต่คิดว่าจะใช้ทางหนีไหนดี
สุดท้ายก็โดนสุนัขล่าเนื้อจับไปกิน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ร้อยหนทางที่ได้แต่นึก ไม่เท่าหนึ่งหนทางที่ลงมือทำ”
เป็นยังไงกันบ้างคะ นิทานเรื่องนี้เข้ากับชีวิตใครบ้างไหนนะ
บางคนอาจจะรู้แล้วว่าเรื่องเล่านี้เป็นของใคร
เฉลยก็คือ “อีสป” นั้นเองค่ะ
หรือที่เราชอบเรียกว่า “นิทานอีสป”
นิทานของอีสปเปรียบเสมือนบันทึกของความเป็นมนุษย์
ด้วยการสังเกตและแต่งออกมาเป็นเรื่องเล่าผ่านตัวละครสัตว์
ในสังคมปัจจุบันนั้น เรามีความเชื่อและความต้องการที่ว่า
เราทุกคนควรจะมีเสรีภาพและอิสระภาพในทุกด้านของชีวิต
ยิ่งเรามีตัวเลือกมากแค่ไหน = อิสระภาพที่เรามีมากขึ้นเท่านั้น
และยิ่งมีอิสระภาพมากแค่ไหน = ความสุขที่เราจะได้มากเท่านั้น
แต่จากการศึกษาของคุณแบร์รี่ ชวาสซ์ (Barry Schwartz)
นักจิตวิทยาซึ่งศึกษาเรื่องความเชื่อมโยงของจิตวิทยาและเศรษฐกิจ
ได้เขียนหนังสือชื่อ Paradox of Choice เพื่ออธิบายเรื่องนี้
เขาพบว่าจะเกิด 2 สิ่ง เมื่อเรามีตัวเลือกมากเกินไป
1
เราจะเลือกไม่ได้
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Decision Paralysis
ยิ่งมีตัวเลือกมากเท่าไร เราจะยิ่งเลือกไม่ได้เท่านั้น
จากสถิติของบริษัทบริหารหลักทรัพย์ Vanguard
บริษัทที่บริหารกองทุนรวมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ทุกๆ การเสนอ 10 กองทุนให้ลูกค้า
จำนวนลูกค้าสนใจจะลดลง 2 เปอร์เซ็น
หรือก็คือถ้าเสนอ 50 กองทุนให้เลือก
ลูกค้าจะหายไป 10 เปอร์เซ็น
สาเหตุเป็นเพราะการตัดสินใจซื้อสักกองทุน
จาก 50 กองทุนนั้นมันยากมากนั้นเองค่ะ
โดยเฉพาะการตัดสินใจที่สำคัญอย่างเรื่องเงินทองด้วย
อีกตัวอย่างของการตัดสินใจไม่ได้ที่เจอบ่อย
คือ การเลือกอาหารจากเมนูค่ะ
มีร้านอาหารจำนวนมากที่เสนอรายการอาหาร
นับสิบหน้าบนเมนูเล่มโตที่ทำออกมาอย่างสวยงาม
ในแต่ล่ะหน้าก็มีภาพที่นำเสนอเป็นไฮท์ไลท์
พร้อมกับเมนูอื่นๆ อีกนับสิบบรรทัดในหนึ่งหน้า
การตัดสินใจจะยิ่งยากขึ้นไป ถ้าเราไปเที่ยวต่างประเทศ
แล้วเดินเข้าร้านอาหารท้องถิ่นที่ไม่ได้มีชื่อนัก
สิ่งที่เราทำกันสุดท้ายก็มักจะเป็นการขอให้พนักงาน
ช่วยแนะนำเมนูอร่อยๆ สักจานให้หน่อย
เพื่อให้ผ่านความกระอักกระอ่วนหลายนาทีที่นั่งจ้องเมนูอยู่
แล้วในที่ทำงาน Decision Paralysis เป็นปัญหาแค่ไหน
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Minnesota พบว่า
“การมีอำนาจคือตัวกระตุ้นสำคัญสำหรับพนักงาน”
และหัวใจของการมีอำนาจคือ “การมีอิสระในการตัดสินใจ”
พนักงานต้องการจะทำหน้าที่ให้สำเร็จ
และจะยิ่งทำงานได้ดีขึ้นถ้าได้รับการไว้วางใจจากหัวหน้า
แต่คำถามที่สำคัญคือ
“แล้วหัวหน้ายอมรับได้จริงๆ ไหมที่จะปล่อยให้พนักงานตัดสินใจ”
คำตอบคือ “ไม่ขนาดนั้น”
ถึงแม้ว่าปรัชญาของแผนก HR คือ การสร้างคนเก่งและผู้นำในบริษัท
แต่จากผลสำรวจโดย Head, Heart and Brain บริษัทที่ปรึกษา
47% ของลูกน้องทำดีแต่กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
และจากการสำรวจของ Harvard Business Review
62% เลือกที่จะเชื่อคนแปลกหน้ามากกว่าหัวหน้า
แต่ในปัจจุบันยังมีชื่อเรียก Decision Paralysis ในอีกชื่อว่า
Analysis Paralysis หรือ การวิเคราะห์จนงานไม่เดิน
หรือเรียกแบบบ้านๆ ว่า “Overthinking” หรือ “คิดมาก”
อันเนื่องมาจาก Data จำนวนมากในปัจจุบัน
หลายๆ ครั้ง ข้อมูลที่มีไม่ได้บอกถึงสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหา
อีกทั้งยังทำให้เห็นถึงทางเลือกมากมายที่สามารถเลือกได้
แต่เมื่อมันเป็นเรื่องงาน เราเองก็ไม่อยากผิดพลาด
โดยเฉพาะเรื่องที่ชี้เป็นชี้ตายของบริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากในนั้น
จึงเอาแต่คิด คิด คิด คิด วนไปเรื่อยๆ
พยายามจะจำลองสถานการณ์ขึ้นในหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก
คิดจนหมดวันแล้วหลับสักตื่นแล้วค่อยตัดสินใจพรุ่งนี้ล่ะกัน
และวันพรุ่งนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำอีกและซ้ำอีก
สุดท้ายวันพรุ่งนี้ก็ไม่เคยมาถึง
เราเรียกสิ่งนี้ว่า Fear of Missing Out (FOMO)
ความกลัวที่จะตัดสินใจผิดพลาด
ความกลัวที่เกิดจากความคิดว่า "มันอาจจะดีกว่าถ้า..."
ซึ่งนำไปสู่ข้อถัดไป คือ
2
ความพอใจที่ต่ำลงเมื่อได้ตัดสินใจไป
เช่น การสั่งอาหารจากร้านที่มีเมนูนับร้อย
หลังจากที่ลองกินดูแล้วมันก็อร่อยดีนะ
แต่เมนูนั้นดูน่าจะอร่อยกว่าแน่ๆ เลย
การที่มีตัวเลือกเยอะเกินไปทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่จะจินตนาการถึงตัวเลือกอื่นๆ ที่น่าจะดีกว่า
ทั้งๆ ที่ะเราอาจจะตัดสินใจได้ดีแล้วก็ตาม
ยิ่งมีตัวเลือกมากเท่าไรก็ยิ่งง่ายที่จะเสียใจกับการตัดสินใจ
หรือเราจะเคยได้ยินมันในอีกชื่อหนึ่งว่า
“ค่าเสียโอกาส หรือ Opportunity cost”
ซึ่งค่าของมันอยู่ที่ว่าเราเอาไปเปรียบเทียบกับอะไร
และด้วยเหตุผลที่บอกไปก่อนหน้านี้
จึงทำให้เรามักจะให้ค่ากับ ”สิ่งที่เราเลือก” ต่ำกว่า “สิ่งที่เราไม่ได้เลือก”
แบบที่หลายครั้งเรามักจะพูดออกไปว่า “รู้งี้...” ค่ะ
คุณแบร์รี่ได้พูดถึงตัวเขาเองว่า
เมื่อก่อนเวลาไปซื้อกางเกงยีน มันก็มีแค่กางเกงยีนแบบเดียว
แต่ตอนนี้พอเขาไปซื้อกางเกงยีน พนักงานกลับถามเขาว่า
จะเอาอันไหนระหว่าง Easy Fit, Slim Fit, Relaxed Fit
จะเอาซิปหรือกระดุมแบบไหน จะเอาซักแบบไหน
จะเอาขาแบบไหน และอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนผสมมากมายนี้กลายเป็นตัวเลือกนับร้อยได้ทันที
และเมื่อมีตัวเลือกมากขนาดนี้แล้วยังเลือกผิดได้อีก
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราจะโทษตัวเอง
ทำไมถึงยังเลือกผิดได้
แต่ตรงกันข้ามถ้าเดินเข้าไปในร้านแล้วมีเพียง
“ตัวเลือกเดียว”
ความผิดหวังก็จะต่ำลงไปด้วย
ซึ่งจะเห็นได้จากบริษัท Apple
ที่จะไม่ผลิตสินค้าที่หลากหลายเกินไป
จะมีเพียงแค่ตัวเลือกเดียวโดยแบ่งตามงบประมาณของลูกค้า
สิ่งที่ได้กลับมาคือความพึงพอใจในสินค้าของลูกค้า
และความซื่อสัตย์ต่อแบรนด์ที่ค่อนข้างสูงมากนั้นเองค่ะ
แล้วเราจะแก้ปัญหาไม่ให้เป็นอัมพาตทางตัวเลือกยังไง
วิธีที่ใช้ได้ผลนั้นมีมากมายค่ะ แต่เพียงไม่ให้ตัวเลือกมากเกินไป
นิทชาจำกัดมาให้ 3 ข้อที่น่าสนใจ
1
“หยุดก่อนคิด และ ถามคำถามที่ตรงประเด็น”
มีการศึกษาจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Columbia
การหยุดก่อนคิดเพียงไม่กี่วินาที
จะช่วยให้สมองโฟกัสไปที่ข้อมูลที่สำคัญที่สุด
และผลวิจัยกว่า 88% ของผลลัพธ์ที่ได้รางวัล
คือการถามคำถามที่ตรงจุดก่อนที่จะลงมือทำ
ความยากจะอยู่ที่การถามให้ตรงจุดให้ได้ก่อนลงมือ
เพราะหลายครั้งเราไม่รู้ว่าประเด็นที่กำลังเถียงกันคืออะไรด้วยซ้ำ
เช่น ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มยอดขาย
คำถามที่แท้จริงอาจจะไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของสินค้า
แต่เป็นประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากเราก็ได้ค่ะ
2
“ขั้นตอนสำคัญกว่าตัวเลือก”
ในการทำงานบริษัท บางครั้งการเลือกตัวเลือกอื่น
เพื่อมาแทนที่ตัวเลือกปัจจุบันที่ทำกันมานานนั้น
อาจจะสร้างความเสียหายในระยะสั้นหรือยาวได้
แต่เรารู้ว่าต้องเปลี่ยน แต่จะเปลี่ยนทันทีก็ไม่ได้
สิ่งที่สามารถทำได้คือการค่อยๆ ตัดแปะ ค่ะ
ตัดส่วนประกอบเก่าออกไปทีล่ะนิด แล้วเสริมสิ่งใหม่เข้าไป
ให้คิดว่า "ตัวเลือก" เป็นเหมือน ”ชิ้นส่วนเลโก้”
ที่ประกอบขึ้นมาจากรายละเอียดเล็กๆ จนกลายเป็นภาพใหญ่
แทนที่จะเป็น “บล็อคหนึ่งบล็อคที่แยกจากการไม่ได้”
ไอเดียเล็กๆ บางอันที่ใช้งานได้ก่อน ก็หยิบมาใช้ก่อน
ข้อดีของการทำลักษณะนี้คือ เรามีเวลาได้ครุ่นคิด
ขณะที่เรากำลังตัดแปะอยู่ จะทำให้เราได้นึกออกถึงส่วนประกอบที่ดีขึ้น
เมื่อเราเริ่มเห็นรูปร่างของสิ่งที่เรากำลังทำ
เราก็เริ่มรู้ว่าเราจะทำให้ดีกว่าตัวเลือกดั้งเดิมได้ยังไง
เพราะการตัดสินใจไม่ใช่การตัดสินใจครั้งเดียวแล้วจบ
แต่เป็นขั้นตอนที่อาศัยการปรับตัวและเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ ค่ะ
3
คุยกับคนที่อยู่แขนงอื่น
การตัดสินใจนั้นเป็นการเล่นเป็นทีม
และการที่เราได้คุยกับคนที่มีความเชี่ยวชาญแขนงอื่น
จะทำให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงค่ะ
เช่น การแก้ปัญหาอาชญากรรมที่สูงมากใน New York ช่วงปี 1990
วิธีการทั่วไป ถ้าเป็นเราก็คือ เพิ่มตำรวจและการลาดตระเวณ
นายกเทศมนตรีเองก็ใช้วิธีการเดียวกันค่ะ
แต่คดีอาชญากรรมกลับสูงขึ้น จนเปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่
โดยเพียงแค่การลบภาพวาดผนัง (Grafiti)
ทำให้ New York มีคดีอาชญากรรมลดลงถึง 46.1%
ด้วยการประยุกษ์ใช้ทฤษฎี Broken Windows
การที่เราไม่สามารถตัดสินใจได้ อาจจะบอกถึงว่า
ยังไม่มีตัวเลือกไหนถูกใจเราแบบจริงๆ
และการได้ย้ายไปหาหนทางแก้ปัญหาในมุมมองอื่นๆ
สามารถทำให้เรามองเห็นอะไรที่ไม่เคยคิดจะเห็นมาก่อนได้
สิ่งหนึ่งที่นิทชาคิดว่าสำคัญพอๆ กัน
คือการกำหนดเส้นตาย (Deadline)
การกำหนดเส้นตายจะบังคับให้เราตัดสินใจและลงมือทำ
แต่ข้อจำเป็นอย่างหนึ่งคือเส้นตายนี้
จะเป็นสิ่งที่เรากำหนดมาลอยๆ ไม่ได้ แต่ต้องมีอะไรบางอย่างควบคุม
สำหรับพนักงานออฟฟิศจะค่อนข้างง่ายเพราะ หัวหน้ากำหนดเส้นตายมา
ถ้าทำไม่ทันก็จะโดนลงโทษอะไรบางอย่าง
แต่สำหรับคนที่กำลังลงมือริเริ่มทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง
นิทชาคิดว่าควรหาอะไรมาผูกมัดไว้ค่ะ
ง่ายที่สุดอาจจะเป็นการให้สัญญากับเพื่อน หรือ มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง
จะบังคับเราได้ดีมาก
ในสมัยนี้ที่โลกเปิดกว้างและอินเตอร์เนทที่เข้าถึงทุกที่
เราเผชิญกับตัวเลือกมากมายและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอัมพาตเป็นบางครั้ง
แต่เมื่อเราตัดสินใจได้แล้ว กลับต้องเจอกับความผิดหวังได้ง่ายอีก
คุณแบร์รี่มีเคล็ดลับมาให้ นั้นคือ
"อย่าหวังสูง (Low expectation)"
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคนในรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าชอบพูดว่า
"สมัยก่อน...ดีกว่านี้ตั้งเยอะ"
ประโยคนี้มีความจริงอยู่ในนั้นค่ะ
ทั้งๆ ที่ในอดีตนั้น เทคโนโลยี ความสะดวกสบายแย่กว่าสมัยนี้มาก
แต่เขายังรู้สึกว่าสมัยก่อนยังดีกว่านี้
เป็นเพราะว่าเมื่อทุกอย่างมันแย่
ผู้คนมีโอกาสสูงมากที่จะพบอะไรดีกว่าที่คาดหวัง
แต่ในปัจจุบันเรารู้เรื่องทุกอย่าง เราจึงมีความคาดหวังสูง
และเมื่อเราคาดหวังสูง ก็ยากที่จะเจออะไรดีกว่าที่คาดหวังไว้
เวลาที่ไปซื้อของแล้วมีเพียงตัวเลือกเดียว
เราจะโทษว่า "ทำไมบริษัทผลิตออกมาตัวเลือกเดียว"
แต่ถ้ามีตัวเลือกเยอะมาก "เราจะโทษตัวเองว่าทำไมไม่เลือกให้ดี"
ถึงแม้ในความเป็นจริงเราจะเลือกได้ดีแล้วก็ตาม
สุดท้ายนี้ก็ลองเอาวิธีข้างบนนี้ไปลองกันดูได้นะ
การลงมือทำนั้นสำคัญกว่าการนั่งคิดโดยไม่ทำอะไร
ทำอะไรสักอย่างเพื่อพัฒนาตัวเอง ครอบครัว และสังคม
เราอยากเห็นสิ่งรอบตัวเราเป็นยังไงก็เริ่มจากตัวเรา
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป เพราะ เวลาไม่มีวันหวนกลับมาค่ะ 😀
Reference
Bratton, W. J. (2019, Jun 2). Like it or not, broken windows works. Retrieved from
https://www.nydailynews.com/opinion/ny-oped-like-it-or-not-broken-windows-works-20190602-jmit2osnyvbyhhzllcvxqc4z2q-story.html
Hiebert, P. (2017, Jun 14). THE PARADOX OF CHOICE, 10 YEARS LATER. Retrieved from
https://psmag.com/social-justice/paradox-choice-barry-schwartz-psychology-10-years-later-96706
Schwartz, B. (2005). The Paradox of Choice. Retrieved from
https://www.ted.com/talks/barry_schwartz_the_paradox_of_choice
Sturt, D. & Nordstrom, T. (2015, Jun 11). Decision-Paralysis: Why It's Prevalent And Three Ways To End It. Retrieved from
https://www.forbes.com/sites/davidsturt/2015/06/11/decision-paralysis-why-its-prevalent-and-3-ways-to-end-it/#3439e97035b2
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย