19 มี.ค. 2020 เวลา 09:57 • บันเทิง
การกลับมาหนที่ 3 ของ Indiana Jones เกิดขึ้นเพราะความช้ำชอกของ Steven Spielberg ครับ
ที่ Spielberg ชอกช้ำก็เพราะอินดี้ภาคที่แล้วโดนค่อนขอดว่าไม่สนุกเท่าภาคแรก อีกทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองยังพากันตำหนิที่หนังหม่นมืดไม่เหมาะกับเด็ก
แม้ยุคนี้เราอาจมองว่ามันสนุกก็ตาม แต่ยุคนั้นคนบ่นจริงอะไรจริงจน Spielberg เสียเซลฟ์ไปไม่น้อย
แล้ว Spielberg ยังมาช้ำรอบสอง เพราะหนังชีวิตคุณภาพที่เขาตั้งใจกำกับอย่าง The Color Purple (1985) และ Empire of the Sun (1987) ได้รับการตอบรับไม่ดีเท่าที่หวัง แม้เรื่องแรกจะทำเงินเกือบร้อยล้าน แต่เรื่องหลังกลับทำเงินแค่ 22 ล้านเหรียญเท่านั้น
จุดที่ทำให้ Spielberg รู้สึกแย่เพราะคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ออกมาในแนวที่ว่าเขาไม่เหมาะกับการทำหนังชีวิต บางคนไล่ให้เขากลับไปทำหนังขายบันเทิงแบบเดิมก็มี ว่าง่ายๆ คือคนดันรุมวิจารณ์ตัวเขามากกว่าจะวิจารณ์ตัวหนัง
ยิ่งกว่านั้นทั้ง 2 เรื่องได้เข้าชิงออสการ์หลายรางวัล แต่ Spielberg ไม่ได้เข้าชิงในสาขาผู้กำกับเลยแม้แต่เรื่องเดียว (ว่ากันว่าเป็นเพราะอคติที่หลายๆ คนในวงการมีต่อ Spielberg)
พอเจอแบบนี้ Spielberg เลยหยุดกำกับหนังคุณภาพ ยกเก้าอี้กำกับ Rain Man และ Big ให้คนอื่นไปทำ ก่อนประกาศว่าเขาจะกลับมากำกับ Indiana Jones ภาค 3 โดยให้เหตุผล 2 ประการ
ประการแรก คือเพื่อทำหนังให้ครบไตรภาคตามที่สัญญาไว้กับ George Lucas
ประการที่ 2 คือเพื่อลบคำสบประมาททั้งมวลที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะจากอินดี้ภาค 2 หรือจากหนังคุณภาพ 2 เรื่องที่เขาทำ
George Lucas, Steven Spielberg / Cr.imdb
สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมคือ แม้เหตุผลในการกลับมาทำจะดูเป็นอารมณ์เชิงลบ แต่ Spielberg ไม่ได้ทำหนังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวครับ เขากับ Lucas จับมือร่วมกันทำอินดี้ภาค 3 ด้วยอารมณ์ครื้นเครงอย่างยิ่ง
ถ้าให้เปรียบก็เหมือนเป็นการกลับมาพักผ่อนหลังทำงานหนักๆ อยู่ตั้งหลายปี จน Spielberg ยังออกมาบอกเลยว่านี่คือการทำหนัง Indiana Jones ครั้งที่เขารู้สึกสนุกที่สุด
แล้วแผนการถ่ายทำก็เริ่มครับ คำถามสำคัญคือหนนี้พวกเขาจะพาอินดี้ไปเจอกับอะไร และคำตอบก็อาจทำให้หลายคนสงสัย
เพราะ Spielberg อยากจะพาอินดี้ให้ไปเจอกับซุนหงอคง อีกแล้วครับท่าน
ถ้าถามว่าเพราะอะไร Spielberg ถึงฝังใจกับซุนหงอคงนัก ก็สามารถแจกแจงเหตุผลได้เป็น 2 ข้อครับ
ข้อแรกคือ ซุนหงอคงเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยลูกเล่น โดดเด่นจนเหมาะที่จะนำมาสร้างสีสันให้กับการผจญภัยของอินดี้
ข้อที่สองคือ ราชาวานรซุนหงอคงมีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือ "เป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต" ไม่ว่าจะทะเล้น ขี้เล่น ซุกซน ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ ซึ่งมันตรงกับตัว Spielberg มากๆ เพราะเขาเองก็ชอบทำงานโดยแฝงไว้ซึ่งจินตนาการแบบเด็กๆ ชวนผู้ชมให้กลับไปสู่วัยเยาว์ บางครั้งก็ทำอะไรแหวกขนบเดิมๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาชื่นชอบคาแรคเตอร์ปีเตอร์แพนนั่นแหละครับ
Cr.quora
ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าการเอาซุนหงอคงมาใส่ลงในเรื่อง จะเป็นโอกาสอันดีในการดึงความเป็นเด็กในตัวอินดี้ออกมา อันจะทำให้คนดูได้รู้จักอินดี้มากขึ้นไปอีก
คิดได้ดังนั้น Spielberg เลยมอบหมายงานเขียนบทให้ Chris Columbus ที่เคยเขียนบทหนังภายใต้การสร้างของ Spielberg อยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะ Gremlins (1984), The Goonies (1985) และ Young Sherlock Holmes (1985)
แต่ผลลัพธ์ทำเอา Spielberg ถึงกับอึ้ง เพราะ Columbus เขียนออกมาคนละเรื่องกับตำนานเลยครับ
ตั้งแต่การกำหนดให้ซุนหงอคงไปโผล่ที่แอฟริกา (พระถังเคยไปทัวร์โซนนั้นตั้งแต่เมื่อไร) และยังลดขั้นจากราชาวานร (The Monkey King) กลายเป็นเจ้าชายวานร (The Monkey Prince)
ส่วนสมบัติประจำตอนนั้น บทร่างแรกคือลูกท้อสวรรค์ที่ใช้ชุบชีวิตได้ (แต่หากคนกินมีจิตใจชั่วร้ายก็จะกลายเป็นคร่าชีวิต) ครั้นพอถึงบทร่างทื่สอง สมบัติก็เปลี่ยนเป็นพลองของซุนหงอคง ซึ่งบทฉบับนี้ยังเปลี่ยนให้หงอคงเป็นตัวร้ายอีกด้วย และภารกิจของอินดี้ก็คิอต้องทำลายพลองประจำตัวของหงอคงนั่นเอง
พอเจอแบบนี้ Spielberg ก็วางบทที่ Columbus เขียนลง และถอดใจที่จะนำเอาหงอคงมาขึ้นจอร่วมกับอินดี้ครับ
Spielberg หวนไปปรึกษากับ Lucas ซึ่งรายนี้ก็ยังตั้งมั่นจะพาอินดี้ไปผจญปราสาทผีสิงเหมือนเดิม ซึ่ง Spielberg ก็ยืนกรานปฏิเสธเช่นกัน
George Lucas, Steven Spielberg / Cr.imdb
จากนั้น Lucas ก็เลยเสนอว่าจะให้อินดี้ตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Grail) ที่ตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นจอกที่พระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้ายและยังเป็นจอกที่รองรับพระโลหิตตอนถูกตรึงกางเขนด้วย
ตอนแรก Spielberg ไม่เห็นด้วย เพราะรู้สึกว่าตำนานนี้เป็นความเชื่อที่ชาวคริสต์ศรัทธากันอย่างมาก จนหากเขียนบทไม่เหมาะสมล่ะก็อาจโดนต่อต้านได้ อีกทั้งหนังตลกเรื่อง Monty Python and the Holy Grail ก็เพิ่งเอาเรื่องนี้มาพูดถึง ดังนั้นประเด็นนี้จึงไม่สดอีกต่อไป
แต่ Lucas กลับมองว่าตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีเสน่ห์ล้นเหลือและเชื่อว่ายังมีคนสนใจอีกมาก พร้อมเอ่ยปากถามกระตุ้น Spielberg ว่า
"หรือคุณจะไม่อยากรู้ล่ะ ว่าจอกถูกซ่อนอยู่ทีไหน?"
คำถามนี้ได้ผลครับ เพราะจริงๆ ตัว Spielberg เองก็อยากรู้เหมือนกัน และลองว่าขนาดเขายังอยากรู้แล้ว ใครต่อใครอีกมากมายก็คงอยากจะรู้ไม่ต่างจากเขา
ทีนี้พวกเขาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า การจะให้อินดี้ตามหาสมบัติอย่างเดียวมันก็จะไม่ต่างอะไรจากภาคแรก ดังนั้นมันควรมีประเด็นแทรกลงไปเป็นพล็อตรอง
และประเด็นที่ว่านั้น Spielberg มองว่าไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า "ปมพ่อลูก" ว่าง่ายๆ คือจับอินดี้ไปเจอกับพ่อนั่นแหละครับ
Harrison Ford, Sean Connery / Cr.ultimateclassicrock
สำหรับ Spielberg แล้วปมพ่อลูกถือว่าเหมาะที่สุด เพราะตอนแรกเขาอยากเอาซุนหงอคงมาเจอกับอินดี้เพื่อดึงเอาความเป็นเด็กในตัวอินดี้ออกมา แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เขาก็สามารถใช้พ่อของอินดี้นี่แหละครับ ดึงเอาความเป็นเด็กของอินดี้ออกมา และยังสามารถเอาปมเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูกมาเพิ่มความสนุกได้อีก (ในขณะที่ถ้าเป็นซุนหงอคงแล้ว ก็จะเอาเรื่องความผูกพันมาเล่นไม่ได้)
พอทิศทางชัดเจน บทก็เริ่มเดินครับ โดย Lucas ร่วมคิดเรื่องกับ Menno Meyjes ที่เคยเกลาบท The Color Purple และ Empire of the Sun บวกด้วยการตาม Jeffrey Boam มาช่วยเชื่อมบทและอุดรอยรั่ว และไหว้วาน Tom Stoppard มาช่วยเกลาบทสนทนา
โดยทั้งนี้และทั้งนั้น Spielberg ย้ำกับทุกคนว่าหนังจะต้องออกมาอารมณ์ดี ไม่เอาความหนักหัวหรือน่ากลัวแบบภาค 2 เป็นอันขาด
ในด้านนักแสดง Harrison Ford ก็ต้องเป็นอินดี้อยู่แล้ว ในขณะที่บทของพ่ออินดี้นั้น Spielberg ไม่ต้องการใครนอกจาก Sean Connery เหตุผลก็ง่ายๆ ครับ เพราะเขาอยากให้เจมส์ บอนด์มาเป็นพ่ออินเดียน่า โจนส์นั่นเอง
2 ตัวละครชูรสจากภาคแรก ดร.มาร์คัส โบรดี้ (Denholm Elliott) กับ ซัลลาห์ (John Rhys-Davies) ก็กลับมากันพร้อมหน้า สมทบด้วย River Phoenix ที่ Ford เจาะจงเลยว่าดาราคนนี้เหมาะจะแสดงเป็นอินดี้วัยหนุ่มมากที่สุด
เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เริ่มการถ่ายทำครับ ทุนสร้างภาคนี้ประมาณ 36 ล้านเหรียญ ถ่ายทำในหลายประเทศ ไม่ว่าจะ เวนิซ อิตาลี, สเปน, จอร์แดน, ออสเตรีย, เยอรมัน และในอเมริกาอีกหลายรัฐ
Cr.imdb
การถ่ายทำเป็นไปอย่างสนุกสนานครับ เพราะอย่างที่ทราบกันว่า Spielberg อยากทำหนัง 007 แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ ครั้นพอทำอินดี้ภาคนี้เขาเลยเชิญสารพัดดาราจากหนัง 007 มาร่วมงานแบบล้นจอ ไม่ว่าจะ Connery, Rhys-Davies,, Alison Doody, Billy J. Mitchell, Pat Roach, Vernon Dobtcheff, Stefan Kalipha และตัวร้ายประจำตอนก็รับบทโดย Julian Glover ตัวร้ายหนังบอนด์ตอน For Your Eyes Only เรียกว่า Spielberg ฟินในฟินครับ ทำหนังก็สนุก ดาราร่วมจอก็สนุก
จนคนในกองถ่ายแอบแซวว่านี่กองถ่ายหนังหรืองานสังสรรค์ เพราะมันดูสนุกสนานมากกว่าจะเป็นการทำงาน
Indiana Jones and the Last Crusade ออกฉาย 24 พฤษภาคม 1989 และประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ทำเงินทั่วโลกกว่า 474 ล้านเหรียญ (มากกว่า 2 ภาคแรก)
ตัวหนังออกมาสนุกตื่นเต้นเร้าใจและเปี่ยมอารมณ์ขัน ครบเครื่องความสนุกแบบหนัง Indiana Jones ภาคแรก บวกด้วยกลิ่นอายสไตล์หนัง 007 สมทบด้วยดนตรีระดับมาสเตอร์พีซของ John Williams ทุกภาคส่วนทำให้หนังภาคนี้ออกมากลมกล่อม
Spielberg ยังบอกว่านี่คืออินดี้ภาคที่เขาชอบที่สุดครับ เพราะทุกอย่างที่เขาต้องการมีพร้อมในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะการผจญภัยดีๆ ฉากแอ็กชันมันส์ๆ ดารา 007 มากันเพียบ แล้วยังได้เล่นกับปมพ่อลูกสมใจ อินดี้ก็ได้เผยความเป็นเด็กออกมา (ว่ากันว่าบทสนทนาระหว่างอินดี้กับพ่อนั้น บางส่วนก็กลั่นกรองมาจากสิ่งที่ Spielberg อยากจะพูดกับพ่อของเขาครับ)
Cr.imdb
ผมนั้นก็ชอบภาคนี้ที่สุดครับ มันสนุกครบรสและที่สำคัญคือมีประเด็นสาระดีๆ จากจอกศักดิ์สิทธิ์ด้วย
จอกศักดิ์สิทธิ์นั้น มีฤทธิ์ชุบชีวิตคนได้ แต่เราต้องเลือกจอกที่ถูกต้อง เพราะหากเลือกผิดเราก็จะตาย
มันก็เหมือนเวลาเราจะเลือกทางเดินในชีวิตหรือตัดสินใจอะไรบางอย่างนั่นแหละครับ
บางครั้งทางเลือกที่ดูดี ดึงดูด เต็มไปด้วยสีสันจัดจ้าน หรือดูอุดมไปด้วยผลประโยชน์อันงดงาม มันอาจเป็นจอกปลอมที่หากเราหน้ามืดตามัวเลือกเข้าไปแล้ว มันจะค่อยๆ ทำลายชีวิตเราทีละน้อยโดยที่เราไม่รู้ตัว
ส่วนทางเลือกที่ดี ทางเลือกที่มีประโยชน์อาจมาในรูปแบบของความเรียบง่าย ติดดิน... พอเพียง ซึ่งอาจไม่ได้มาพร้อมความอร่อยหรือหรูหราฟู่ฟ่า แต่มันกลับมีประโยชน์ และทำให้ชีวิตของเรามั่นคงยืนนาน...
Cr.ca.news.yahoo
จอกศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ที่เบื้องบนทิ้งไว้ให้มนุษย์นั้น อาจไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นทางเลือกครับ ทางเลือกแห่งการกระทำ
หากเราเลือกทางที่ถูก ทำสิ่งที่เหมาะ เราก็จะเป็นอมตะในแง่ที่ว่าแม้ตัวตาย แต่ชื่อเสียงไม่ตายตาม
ภาคนี้ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม จนคนดูเรียกร้องขอภาค 4 แต่ทั้ง Spielberg และ Lucas เห็นว่ายังไม่มีเนื้อเรื่องที่เหมาะ เลยพักนานถึง 20 ปีกว่าจะทำภาค 4 ต่อ ซึ่งว่ากันตรงๆ แล้ว ความอร่อยยังสู้ 3 ภาคแรกไม่ได้ครับ
ดังนั้นผมจึงขอสรุปจบตำนาน Indiana Jones ที่ตรงนี้ ที่ภาค 3 อันเป็นภาคที่ผมชอบที่สุดครับ
Cr.pinterest
โฆษณา