22 มี.ค. 2020 เวลา 04:00 • บันเทิง
MovieTalk ภูมิใจเสนอนิยายบู๊ภูธร
“บางบอกดิก” ตอนที่ 4
โดย มูฟวี่ เมืองกรุง
ความเดิมตอนที่แล้ว
เต้ เบียร์วุ้นมาตามแมน เมืองชลให้ไปพบพ่อเลี้ยงก้อม ในขณะที่แมนกำลังจะกินข้าวและตามด้วยกินตับสองพี่น้อง เพ็ญ-ภา งานที่พ่อเลี้ยงก้อมมอบหมายคือให้แมนไปกล่อมสอน ดอยกาแฟให้ขายไร่กาแฟบนดอยทั้งหมดให้พ่อเลี้ยง ส่วนเต้ให้ไปหามหาอิ่ม มัคทายกวัดบอกดิกเพื่อหว่านล้อมให้ตนเองเป็นประธานงานฝังลูนิมิต โดยพิมลูกสาวพ่อเลี้ยงขอตามไปวาดรูปที่ศาลาท่าน้ำท้ายวัด
ที่นั่น พิมได้พบกับบี บางรัก นักร้องนักดนตรี ทั้งสองเกิดต่างเกิดความรู้สึกชอบพอกัน ขณะเดียวกันพิภพและพวกก็เตรียมจะลวนลามนกน้องสาวของบี แต่บีมาช่วยไว้ได้ทัน และมีการวิวาทเกิดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่พิมจะมาห้าม หลังจากนั้นมหาอิ่มได้มาชักชวนทั้งหมดไปกราบหลวงลุงทับ
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเชิญติดตามอ่าน "บางบอกดิก" ได้ ณ บัดนี้....
บางบอกดิก ตอนที่ 4
รถจิ๊บไม่มีหลังคาแล่นผ่านทางคดเคี้ยวเลียบภูเขา มองไปข้างล่างเห็นเป็นเหวลึก
แมน เมืองชลนั่งอยู่ข้างหน้า โดยมีศักดิ์ หยักศกทำหน้าที่ขับรถ ส่วนที่เหลืออยู่ในรถปิคอัพที่ขับตามมา ท้ายรถปิคอัพมีลังเก็บอาวุธสงครามสองลัง
รถทั้งสองคันแล่นจนถึงยอดดอย ขับต่อไปตามทางที่เต็มไปด้วยป่าโปร่ง จนพบกับป้ายเขียนไว้
“ไร่สอน ดอยกาแฟ”
ประตูรั้วไม้ไผ่ตั้งปิดไว้ แต่ไม่ได้มีเวรยาม ลูกสมุนคนหนึ่งวิ่งลงจากรถกระบะมาเปิดประตูรั้วออก ก่อนที่จะให้รถจิ๊ปของแมนขับผ่านเข้าไปเป็นคันแรก
เบื้องหน้าทั้งหมดคือ กระท่อมไม้หลังหนึ่ง ไม่ใหญ่โต ไม่เล็กจนเกินไป
หน้าบ้านมีชายกลางคนเจ้าของไร่ น่ั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย พลางจิบกาแฟสดสีเข้มหอมกรุ่น นั่งชมวิวบนยอดเขาอย่างสุขอุรา
ไร่สอน ดอยกาแฟ
ชายเจ้าของไร่แปลกใจที่มีรถเข้ามาสองคัน จึงลุกขึ้นยืนดู เห็นรถจิ๊ปและปิคอัพจอดสนิท ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะเดินลงมา มีสองคนถือปืนเอ็ม 16 ลงมาด้วย ชายเจ้าของไร่หันผู้มาเยือนถืออาวุธ จึงเดินไปสั่นระฆังที่หน้าประตูกระท่อมไม้หนึ่งครั้ง เสียงดังกังวานไปทั่ว
แมนเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า โค้มศรีษะเล็กน้อย พร้อมกับส่งรอยยิ้ม
สอน ชนแดน แห่ง ไร่สอนดอยกาแฟ
“พี่สอน เป็นไงบ้างพี่? ผมอิจฉาพี่จริง ๆ มีเวลายามสายมานั่งจิบกาแฟสดจากไร่ของพี่เอง พร้อมกับชมความงามของขุนเขาและไอหมอกแบบนี้ จะหาใครมีความสุขง่าย ๆ เท่าพี่สอนคงไม่มี”
“ไอ้แมน เอ็งมีธุระอะไรก็บอกมาเลย ไม่งั้นเอ็งไม่ถ่อขึ้นดอยมาหาข้าแน่” สอนตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ก็เรื่องเดิม ๆ น่ะพี่” แมนตอบ พลางถูฝ่ามือไปมาด้วยท่าทีสบาย ๆ
“พ่อเลี้ยงก้อมให้มายื่นข้อเสนออีกครั้งกับพี่สอน พ่อเลี้ยงอยากได้ไร่ดอยกาแฟทั้งหมดของพี่สอนนะ พี่จะเรียกราคาเท่าไรก็เสนอมาเลย”
“ข้าบอกเอ็งไปแล้ว ข้าไม่ขาย พ่อเลี้ยงนายเอ็งไม่เข้าใจรึไง?” สอนตวาดกลับ
“พี่จะไม่ลองพิจารณาข้อเสนอของพ่อเลี้ยงอีกครั้งเหรอ?”
แมนถามย้ำ เขม้นสายตากร้าวมองมาที่สอน
“พี่ก็รู้ว่าคนอย่างพ่อเลี้ยงก้อม อยากได้อะไรต้องได้ ไม่มีใครขัดใจ เพราะคนที่ขัดใจมันไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว”
“เอ็งกำลังขู่ข้านะไอ้แมน....บ้านเมืองมีขื่อมีแป เอ็งยกพวกมาคิดหรือว่าทางการจะเอาผิดเอ็งไม่ได้”
“พวกฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่สอน”
เสียงปืนเอ็ม 16 รัวขึ้นดังลั่นไปทั้งดอย กระถางกล้วยไม้ที่แขวนไว้ด้านหน้ากระท่อมไม้ถูกกระสุนเอ็ม 16 ทำลายจนกระจุยกระจาย
“ไอ้แมน...เอ็ง...”
สอนโมโหจนหน้าแดงก่ำ กล้วยไม้เหล่านั้นเขาฟูมฟักปลูกเลี้ยงตัดต่อมากับมืออย่างดี ถูกพวกแมนทำลายทิ้งจนหมด
“น่าเสียดายนะพี่ ถ้าพี่สอนจะไม่ได้มีอายุยาว ๆ มานั่งปลูกกล้วยไม้น่ะ”
แมนพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นจากกลุ่มของแมน ที่ยืนเรียงรายกัน
คนที่ยืนอยู่ท้ายสุดใกล้รถปิคอัพคือ เหลี่ยม กฤษณะ
เหลี่ยม กฤษณะ
เสียงฝีเท้าหนึ่งย่องอย่างแผ่วเบาจนมาประชิดด้านหลังเหลี่ยม มันสะดุ้ง เพราะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางจ่อที่ด้านหลังกระโหลกตัวเอง นักเลงเก่าอย่างเหลี่ยมรู้ดีว่ามันคือปากกระบอกปืนลูกซองแฝด
มืออีกข้างหนึ่งปลดปืนลูกโม่ที่เหน็บอยู่ด้านหลังของเหลี่ยมออก พลางใช้ปลายกระบอกปืนกระทุ้งไปที่ศรีษะเหลี่ยมเบา ๆ เป็นเชิงให้เดินนำหน้าออกไป
“ยกมือขึ้นด้วยนะ ถ้าเอ็งไม่อยากให้กระบาลเอ็งหายไปจากตัว” น้ำเสียงเข้มจากด้านหลังเหลี่ยมสั่งขึ้น
เหลี่ยมยกมือเดินนำหน้าอย่างช้า ๆ
เบิ้ม แกงบวช และ ศักดิ์ หยักศก ก็ไม่ต่างกัน ถูกคนจ่อจากด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว จนต้องยกมือเดินนำหน้ามาสมทบ
แมนหันไปพบว่าลูกน้องตัวเองถูกจี้ปลดปืนไปเรียบร้อยแล้ว ก็หน้าเสีย หันมาอีกทีเวลานี้ ไอ้ลูกสมุนสองคืนที่ถือเอ็ม 16 ถูกปลดปืนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เหลือแต่แมนคนเดียวที่ยังยืนอยู่โดยไม่โดนปืนจ่อหัว
พวกของเหลี่ยมถูกนำมายืนรวมกันฟากหนึ่ง ใกล้ ๆ กับแปลงกล้วยไม้ที่เพิ่งถูกยินจนพรุน
ผู้ชายที่ใช้ปืนจี้เหลี่ยม ตอนนี้เดินมายืนประจันหน้ากับแมน เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง
“ไงล่ะไอ้แมน เอ็งไม่นึกล่ะสิว่าจะเสียท่าแบบนี้” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
แมนหรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้า พยายามทบทวนความทรงจำว่าเคยเห็นหน้าหมอนี่ที่ไหน ในที่สุดก็นึกออก
“ไอ้ใจดี ลูกชายพี่สอนใช่มั๊ย?”
“เออ ข้าเอง...ใจดี ชนแดน” ใจดีตอบหน้าเรียบเฉย
แม้จะโดนปืนลูกซองจ่ออยู่เบื้องหน้า แต่แมนก็ยังมี ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทีปลอดโปร่ง สมกับเป็นนักเลงเก่าเมืองชล ใจดีคิดในใจ และก็นับถืออยู่ในที
ใจดี ชนแดน
“ไม่เจอกันตั้งนาน เห็นว่าเอ็งหายไปเรียนต่อที่บางกอกนี่” แมนถาม
“ใช่ ไปเรียนบางกอก เพิ่งกลับมาเมื่อสองคืนก่อน ข้ากับพ่อสอนคิดแล้วว่าไอ้พ่อเลี้ยงเจ้านายเอ็งน่ะ ต้องส่งคนมาใช้กำลังบีบบังคับพ่อให้ขายไร่ให้มันแน่ พวกเราเลยเตรียมการต้อนรับพวกเอ็งไว้แล้ว”
“มิน่า ทำไมเมื่อกี้พี่สอนถึงตีระฆัง ข้าก็แปลกใจ แถวนี้ไม่มีรถไฟ จะสั่งระฆังทำไมวะ” แมนเอ่ยขึ้น
“เอ็งจะกลับไปดี ๆ หรือจะให้หามกลับไป” ใจดีถาม
“คนอย่างแมน เมืองชล ไม่เคยถูกหามกลับไปโว๊ย ว่าแต่เอ็งกล้าเดี่ยวเดี่ยวกับข้าไหม?” แมนย้อนถาม
“อย่าไปเดี่ยวกับมัน” สอนเดินลงมาสมทบกับใจดี พลางตบบ่าใจดีเป็นเชิงห้ามปรามลูกชายตัวเอง
“ไอ้คุณหนูใจดี ใจเป็นใจฝ่อซะล่ะมั้ง” แมนเอ่ยเหน็บด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เอ็งจะเดี่ยวกับข้าก็ได้ เอาไงได้หมด ปืน มีด ไม้ หมัด” ใจดีเอ่ยขึ้น พลางส่งปืนลูกซองให้สอนถือไว้
“ดวลมีดกับข้าเป็นไง ใครได้แผลครบ 3 แผลก่อนเป็นอันแพ้”
“เฮ้ย เอามีดให้ไอ้แมนมันเล่มนึง” ใจดีสั่ง
ลูกน้องคนหนึ่งของใจดี ปามีดปักฉึกบนพื้นดินเบื้องหน้าแมน ส่วนใจดีชักมีดที่เหน็บอยู่เอวด้านหลังออกมากระชับไว้ในมือขวา
แมนก้มลงดึงมีดมาถือไว้ด้วยมือขวา สายตาจดจ้องมองอีกฝ่าย
ทั้งสองพุ่งเข้าใส่กัน คมมีดสั้นปะทะกัน แมนตวัดมือขวา วาดคมมีดออก ใจดีเบี่ยงตัวไปด้านซ้าย หลบคมมีดได้หวุดหวิด
แต่ชั่วเสี้ยววินาที แมนโยนมีดใส่มือซ้ายวาดออกเป็นวง คมมีดกรีดที่ต้นแขนของใจดีจนเห็นเลือดไหลออกมา
แมนยิ้ม “หนึ่งแผล”
แมน เมืองชล
ใจดีปาดเลือดที่ต้นแขน ก่อนจะเป็นฝ่ายบุกก่อนบ้าง
ใจดีเสือกแทงเข้าไปตรง ๆ แมนถึงกับอดประหลาดใจที่ใจดีบุกเข้ามาทื่อ ๆ ตั้งแต่แรกเห็น
แต่แล้วท่าเสือกแทงตรง ๆ กลับพลิกแพลงไปเมื่อใกล้ถึงตัวแมน ใจดีพลิกข้อมือตวัดออกควงเป็นกากบาท
แมนที่ตอนแรกจะใช้คมมีดปัดมีดที่ใจดีเสือกแทงไม่ทันคาดคิด กลายเป็นถูกคมมีดใจดีฟันเป็นกากบาทตรงหน้าอกสองแผล เป็นตัวอักษร X แม้จะไม่ลึกแต่ก็เลือดไหลซึมแผงออกแกร่งล่ำออกมา
ใจดียิ้มบ้าง “สองแผลแล้วนะแมน เหลืออีกหนึ่ง”
ทั้งใจดีและแมนพุ่งเข้าใส่กันอีกครั้ง คมมีดสั้นฟาดฟันใส่กันไปมาอย่างรวดเร็ว ผลัดกันแทงซ้ายแทงขวา หลบซ้ายหลบขวาจนในที่สุดคมมีดสั้นของทั้งสองฝ่ายก็กรีดท่อนแขนของแต่ละฝ่ายเป็นทางในเวลาไล่เรี่ยกัน
สอนยิงปืนในมือขึ้นฟ้าเสียงดังลั่นก้องไปทั้งดอย
ทั้งแมนและใจดีหยุดชะงัก ด้วยเสียงปืนนั้น
“หยุดได้แล้ว...แยกย้ายกันได้แล้ว” สอนเอ่ยขึ้น
แมนถอดเสื้อที่ใส่ออกซับเลือดของตัวเองก่อนเดินกลับไปที่รถจิ๊ป แต่ยังหันมาทางสอนและใจดี
“ใจดี วันนี้ถือว่าเสมอกัน ฝากไว้ก่อน คงได้พิสูจน์ผลกันอีกที”
“เออ...ข้องใจเอ็งก็มาเลย ไอ้แมน” ใจดีตอบ
รถจิ๊ปและปิคอัพขับออกไปอย่างรวดเร็ว
สอนมองตามจนเห็นเงารถหายไปไกล ก่อนจะหันมาที่ใจดีเพื่อตรวจดูแผล
“แผลลึกเหมือนกัน ฝีมือไอ้แมนมันร้ายอยู่นะพ่อ” ใจดีตอบ
“ไอ้แดง เอารถออก ข้าจะพาใจดีไปที่โรงพยาบาล”
สอนหันมาสั่งลูกน้อง
รถกระบะยกล้อสูงถูกวิ่งตะบึงออกไปตามทางลงดอยทันที
โรงพยาบาลบอกดิก
ในห้องฉุกเฉิน ใจดีถอดเสื้อนั่งรอคอยรับการทำแผล
สักครู่ม่านกั้นเปิดออก พยาบาลสาวหน้าตาสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมถาด บนถาดมีชุดทำความสะอาดแผล
ใจดีตกตะลึงในความงามของสาวพยาบาล แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกคุ้นตากับเค้าหน้าสาวพยาบาลคนนี้
พยาบาลสาวส่งยิ้มให้ “เป็นยิ้มที่สดใสมาก” ใจดีคิดในใจ แต่ดันเผลอพูดออกมาดัง ๆ
พยาบาลสาวได้ยิน แต่เธอลากเก้ากลมมานั่งข้าง ๆ พลางฉีดชุดทำแผลปลอดเชื้อออกมา และตั้งใจทำความสะอาดอย่างใจจดจ่อ
ด้วยความที่นั่งใกล้กันขนาดนี้ ใจดีถึงกับสูดได้กลิ่นหอมจาง ๆ มาจากพยาบาลสาวตรงหน้า จนตอนนี้ใจตัวเองเต้นดังลั่นจนใจดีก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินรึเปล่า
“เจ็บหน่อยนะคะ ตรงนี้ต้องเย็บแผล ลึกอยู่ไม่ใช่น้อย”
“ถ้าไม่ใช่ฉีดยา ผมไม่กลัวหรอกครับ” ใจดีตอบ
พยาบาลสาวหัวเราะคิกคัก “เออ...ผู้ชายนี่เหมือนกันหมดนะคะ กลัวเข็มฉีดยา แต่ไปตีรันฟันแทงจนเป็นแผลลึกแบบนี้ไม่กลัว...ไม่เข้าใจเลย”
ใจดีเจ็บระหว่างที่พยาบาลเย็บแผล แต่ก็กัดฟันทน จนไม่สามารถตอบได้
“เสร็จแล้วค่ะ พี่ใจดี” พยาบาลตอบหลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อย
“คุณพยาบาลรู้จักผมด้วยเหรอครับ?”
ใจดีอดประหลาดใจไม่ได้ ที่พยาบาลสาวรู้จักเขา เพราะตนเองเพิ่งกลับมาได้แค่สองคืนหลังจากหายไปจากบ้านบางบอกดิกนานเกือบสิบปี เพื่อไปเรียนต่อ
“นี่พี่จำไม่ได้จริง ๆ เหรอ?” พยาบาลสาวเอียงคอ คิ้วขมวดเข้าหากัน เธอถามด้วยอาการน่ารัก
ใจดียังนั่งนิ่งขบคิดว่าตนเองคลับคล้ายคุ้นหน้าพยาบาลคนนี้ ชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้น
“เนิ้ต...เนิ้ต ใช่ไหม?”
“นึกว่าจะจำไม่ได้ ต้องเฉลยซะแล้ว” เนิ้ตตอบ
เนิ้ต พยาบาลวิชาชีพ
“โธ่...ก็เจอกันครั้งสุดท้ายตอนนั้นเนิ้ตอยู่ม.1 พี่อยู่ม.3 นี่จ้ะ นี่ก็เกือบสิบปีแล้วนะ ใครจะไปคิดว่าเด็กผอมแห้ง หน้าเปื้อนสิวคนนั้น จะกลายเป็นนางฟ้าชุดขาวแสนสวยได้ขนาดนี้” ใจดีตอบ
เนิ้ตทำท่าเขินอาย “แหม...พี่ใจดียังปากหวานปากดีเหมือนเดิมนะ”
ใจดีลำดับความทรงจำในสมองของตน เด็กหญิงที่ขี้แยที่มักถูกเพื่อนแกล้ง จนใจดีต้องคอยปกป้องเสมอ มีเรื่องชกต่อยเพื่อปกป้องเนิ้ตก็เคย กระทั่งเขาจบมัธยมต้น แล้วพ่อสอนส่งไปเรียนต่อในบางกอก
ใจดียังจำได้ว่าวันที่ใจดีขึ้นรถสองแถวเข้าตัวเมือง เด็กหญิงเนิ้ตมาส่งที่ท่ารถ เนิ้ตเคยบอกว่า
“โตขึ้นหนูจะเป็นพยาบาล จะได้คอยดูแลพี่ใจดีบ้าง”
“ในที่สุดก็เป็นพยาบาลจริง ๆ นะ เนิ้ต” ใจดียิ้มอย่างอบอุ่นให้เนิ้ต
“ค่ะ...เนิ้ตจำได้ว่าเคยบอกกับพี่ใจดี จะเป็นพยาบาลวิชาชีพ พอจบก็ขอกลับมาประจำที่โรงพยาบาลบอกดิก จะได้ดูแลลุงป้าน้าอาที่เรารู้จัก”
“เนิ้ตนี่ใจดีสมเป็นนางฟ้าเลยนะ ไม่เคยเปลี่ยนเลย”
ใจดีมองลึกเข้าไปในดวงตาของเนิ้ต เช่นเดียวกับเนิ้ตที่มองลึกเข้าไปในดวงตาของใจดี
ใจดีเป็นรักแรกและรักเดียวของเนิ้ตเสมอเธอรู้อย่างนั้นมาโดยตลอด
อากัปกริยาที่ทั้งสองยังนั่งมองตากันทั้ง ๆ ที่ทำแผลเสร็จ อยู่ในสายตาของผู้ชายอีกคนที่อยู่ในเสื้อกราวด์
เขามองดูด้วยหัวใจปวดแปลบ
“คุณหมอเวทย์คะ หมอพัฒน์ให้มาตามค่ะ มีเคสเกี่ยวกับยาต้านที่ต้องให้คุณหมอช่วยวินิจฉัยค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งเดินมาตาม
หมอเวทย์พยักหน้า แล้วเดินนำหน้าพยาบาลคนนั้น
หมอเวทย์
ระหว่างที่เดิน หมอเวทย์พยายามสลัดภาพบาดตาที่เขาเห็น ตลอดเวลานับแต่เขามาประจำการที่รพ.บอกดิก เวทย์กับพบว่าตนเองตกหลุมรักพยาบาลสาวที่มีแต่ความสดใสให้แก่คนรอบข้างมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนเธอจะมีกำแพงกั้น หรือระยะห่างระหว่างเขากับเธอมาโดยตลอด
หมอเวทย์เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่า กำแพงที่ว่านั้นคือ “ใจดี”
เพลงประกอบ "แอบรัก" โดย น้องเหงี่ยมครูปัทม์ แทนความรู้สึกหมอเวทย์มีต่อเนิ้ต
ที่นอกห้องตรวจ สอน ดอยกาแฟนั่งคอยอยู่ กับแดง เชิงดอย คนสนิท โดยมีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ข้าง ๆ หน้าตาสวยเฉี่ยว
ใจดีเดินออกมาพร้อมกับเนิ้ต หญิงสาวเห็นเลยลุกขึ้นสาวเท้ามาหา
“พี่ใจดี เป็นไงบ้าง?” เธอถามขึ้นด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไรมากหรอกตอง” ใจดีตอบ
เนิ้ตเป็นฝ่ายทักก่อนพร้อมยิ้มหวาน “หวัดดีจ้ะ ตอง”
“หวัดดีจ้ะ เนิ้ต” ตองทักตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ใบตอง ชนแดน
ใบตองเป็นน้องสาวของใจดี เธอทำงานเป็นมัคคุเทศก์อยู่ที่บางกอก แต่ตอนนี้กลับมาดอยกาแฟพร้อมกับใจดี เพราะพ่อสอนตามทั้งสองคนกลับมา
สอนให้แดงไปตามตองที่กำลังทำธุระอยู่ที่ไปรษณีย์ประจำตำบล ตองเลยตามมาสมทบที่โรงพยาบาล
“เนิ้ตจะออกเวรรึยัง?” ใจดีถามขึ้น
“ยังเลยพี่ใจดี เนิ้ตควงสองกะค่ะ ช่วงนี้เพื่อนลาต้องทำแทน...ทำไมเหรอ?”
“พี่อยากทานข้าวกับเนิ้ตน่ะ” ใจดีตอบ
เนิ้ตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ได้นะพี่ใจดี อีกสักชั่วโมงเป็นช่วงพัก เราไปทานข้าวที่ร้านเจเจ๊มีตามสั่ง ข้างโรงพยาบาลนะพี่ใจดี เดี๋ยวเนิ้ตต้องเข้าเวรต่อก่อน”
“งั้นพี่นั่งรอแถวนี้นะ” ใจดียิ้มอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินมานั่งรอจนลืมอาการเจ็บระบมแผลที่เย็บ
ตองมองดูพี่ชายตัวเองในอาการดีใจจนออกนอกหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“งั้นตองไปทำธุระต่อนะพี่ใจดี”
“แล้วตองจะกลับยังไงล่ะ” สอนเอ่ยถามลูกสาว
“พ่อก็...ตองเอารถที่ไร่มาด้วยนี่คะเมื่อเช้าน่ะ ยังไม่ถึงหกสิบเลยลืมแล้วเหรอ” ตองยิ้มให้พ่อสอน
สอนเกาหัวแกรก ๆ “เออ...สงสัยจะแก่จริง เลยลืมไป”
สอน ตอง และแดงจึงเดินออกไปพร้อมกัน ทิ้งใจดีให้นั่งรอเนิ้ตด้วยความกระวนกระวายใจ
วัดบอกดิก
วัดบอกดิก
โบสถ์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน ภายในเป็นพระพุทธรูปลงดำหน้าตัก 16 นิ้ว ประดิษฐานอย่างสงบอยู่ภายในโบสถ์
เบื้องหน้าบนอาสนของสงฆ์ นั่งไว้ด้วยพระสงฆ์กลางคนรูปหนึ่ง ท่าทีน่าเลื่อมใส ดวงตาดูเมตตา สงบร่มเย็น
นี่คือ หลวงลุงทับ เจ้าอาวาสวัดบอกดิก
หลวงลุงทับ
ท่านนั่งสวดมนต์ให้ศีลแก่สาธุชนที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้า หลังจากสวดและพรมน้ำมนต์เสร็จ หลวงลุงทับก็ใช้สายตาของท่านกวาดจากซ้ายไปขวาเพียงแว่บหนึ่งก็เห็นญาติโยมที่มานั่งจับกันเป็นกลุ่ม
ซ้ายสุดคือ
ผู้ใหญ่ข้าว-แม่ฉัตร-ปิ้ก-ปาม และชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
ถัดมาเป็น พิม ลูกสาวพ่อเลี้ยงก้อม นั่งข้าง ๆ กับชายหนุ่มหน้าตาดี และหญิงสาวผมสั้นอีกคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ มหาอิ่มบุญ หลวงลุงทับจำได้ สองคนนี้คือ หลานชายหลานสาว บี บางรัก กับ นกโน่ บางรัก ลูกของน้องชายหลวงลุงทับนั่นเอง
เลยไปด้านหลังของกลุ่มนี้คือ คนของพ่อเลี้ยงก้อม เต้ เบียร์วุ้น, พิภพหัวล้าน, ยักษ์ ปักเลน, จิ้งเหลนเห่าดง
ถัดไปตรงกลางเป็นเป็นหนุ่มใหญ่ท่าทีทรงอำนาจ แต่ท่าทีดูเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ขนาบข้างด้วยลูกน้องอีกหลายคน หลวงลุงมองดูก็รู้ว่าเป็น นายหัวเฉื่อย ส่วนนั่งข้าง ๆ คือ กานต์ สมุห์บัญชีประจำตัวนายหัว, มือปืนประจำตัว อ๊อด พากิน และลูกสมุนอีกสามคน
นั่งถัดไปคือ หมวดชอ. กับจ่าเรื่อยเปื่อย อยู่ทางขวาสุด
และที่นั่งอยู่ตรงประตูโบสถ์คือ แว่น เลี้ยงยาย ยังคงดูโดดเดี่ยวเช่นเคย
“วันนี้อาตมาดีใจที่เห็นทุกคนมาวัดบอกดิก โดยไม่ได้นัดหมาย”
หมวดชอ
หมวดชอเอ่ยขึ้น
“นมัสการพระคุณเจ้า กระผมจะมาถามว่ามีอะไรให้ทางโรงพักบอกดิกช่วยเหลือวัดในงานฝังลูกนิมิตบ้างครับ?”
“ก็คงฝากทางหมวดชอเป็นธุระ เรื่องการจราจรล่ะนะ” หลวงลุงทับตอบ
“ได้เลยครับ” หมวดชอตอบรับ พลางหันมาสั่งจ่าเปื่อย “จ่าเปื่อยเป็นธุระประสานงานด้วยนะ”
จ่าเรื่อยเปื่อย
“ครับ หมวด” จ่าเปื่อยรับคำ
หลวงลุงทับหันมาทักผู้ใหญ่ข้าว
“เป็นไงบ้างผู้ใหญ่...สบายดีนะ...แล้วนั่นใครล่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”
ผู้ใหญ่ข้าว แม่ฉัตร
ปาม - ปิ้ก
“ครอบครัวผมสบายดีครับหลวงลุง คนนี้คือคุณเสก ก้าวเล็ก มาจากบางกอกครับ”
เสกก้มกราบหลวงลุงทับอีกรอบหนึ่ง
“ผมตั้งใจจะมาหางานทำที่นี่ครับ”
“ถ้าคุณโยมเสกไม่รังเกียจ วัดกำลังจะมีงานใหญ่ฝังลูกนิมิต มาช่วยงานที่วัดดีไหม?” หลวงลุงถามขึ้น
“ขอบพระคุณครับ” เสกก้มกราบอีกรอบหนึ่ง
เสก ก้าวเล็ก
“พ่อของบีเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม?” หลวงลุงหันมาถามบี
“คุณพ่อฝากของมาถวายให้หลวงลุงด้วยครับ เป็นกุนเชียงที่หลวงลุงชอบ ผมฝากไว้ที่มหาอิ่มแล้วครับ ให้แกทอดให้ แล้วถวายหลวงลุง”
“ดี ๆ อาตมาไม่ได้ฉันนานแล้ว มานี่จะอยู่นานไหม?”
“ก็ไม่นานครับ พอดีได้งานที่บ้านสระหลอดครับ...” บีตอบ
เสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“นมัสการ สองคนนี้เป็นหลานของหลวงลุงเหรอครับ” นายหัวเฉื่อยเอ่ยขึ้น
นายหัวเฉื่อย
“ถูกแล้ว”
“สองคนนี้ทำงานเป็นนักร้องนักดนตรีในไนต์คลับของผมครับ” นายหัวเฉื่อยรีบตอบ
“ก็ดีนะ...วันนี้อาตมาประหลาดใจมากที่เห็น นายหัวเฉื่อยมาถึงวัดบอกดิก”
“ผมตั้งใจจะมาอาสาเป็นประธานงานฝังลูกนิมิตครับ...”
เต้ เบียร์วุ้น
“เฮ้ย...ไม่ได้” เสียงเต้ เบียร์วุ้นขัดขึ้นลั่นโบสถ์ “ประธานงานฝังลูกนิมิตต้องเป็นพ่อเลี้ยงก้อมเท่านั้น”
“ถ้าพูดเหมือนเห่าก็เงียบเลยดีกว่าไอ้เต้” อ๊อด พากิน เอ่ยหาเรื่อง
“ไอ้อ๊อดอ้อนส้นตีน ถ้าเอ็งข้องใจก็เจอกับข้านอกโบสถ์เลย” เต้พูดจบก็ผุดลุกขึ้น
อ๊อด พากิน
อ๊อดก็ลุกขึ้นตาม ทำให้หมวดชอต้องลุกขึ้น จ่าเปื่อยแทบจะลุกขึ้นตามไม่ทัน
“หยุดเลยนะทั้งสองคน ในวัดในโบสถ์ต่อหน้าพระก็ยังจะวิวาทกันเหรอ หรืออยากนอนสงบสติในห้องขังสักสองสามคืน”
คำว่า “ห้องขัง” ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระพุทธรูป เพราะทั้งเต้และอ๊อดสงบลงทันที
หลวงลุงพิจารณาแล้วเห็นว่าจะไปกันใหญ่ จึงเอ่ยขึ้น
“อาตมาคงให้ทั้งโยมเฉื่อย และโยมก้อมเป็นประธานงานไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวงานบุญมันจะกลายเป็นงานบาป อาตมาตั้งใจจะให้ผู้ใหญ่ข้าวนั่นล่ะเป็นประธานงานฝังลูกนิมิต” หลวงลุงทับตัดบท
นายหัวเฉื่อยหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นผมต้องขอตัวลากลับล่ะครับหลวงลุง” พูดจบก้มกราบแล้วลุกเดินออกไปทันที ผิดกับท่าทีเฉื่อยชาตอนขามา
กานต์ บัญชี กับ อ๊อด พากิน ลุกขึ้นเดินตามออกไป ระหว่างเดินผ่านหน้า อ๊อดทำท่าเขม่นกับเต้อีกรอบหนึ่งก่อนเดินออกไป
ระหว่างเดินออกมา นายหัวเฉื่อยหันไปสั่งกานต์ก่อนขึ้นรถเบนซ์
“คืนนี้แวะไปรับเด็กของเจ๊โชโกะมาสองคนนะ ขอแบบขาวล้นข้นทะลัก” นายหัวเฉื่อยสั่งพร้อมกับลูบมือเลียริมฝีปาก
กานต์ บัญชี
“ผมต้องทำบัญชีปลอมให้นายหัวนะครับ ลืมรึเปล่า?”
“เออใช่...ลืมไปเลย เดี๋ยวพวกสรรพากรมาตรวจจะมีปัญหา” นายหัวเฉื่อยพยักหน้าแล้วหันมาทางอ๊อด
“ไอ้อ๊อด เอ็งไปรับเด็กเจ๊มาแทนละกัน”
“เอ่อ...รับให้แต่นายหัวเหรอครับ...?” อ๊อดย้อนถามอ้ำอึ้ง
นายหัวเฉื่อยมองหน้าลูกน้องแว่บหนึ่ง แล้วส่ายหัว
“เอ็งจัดมาคนหนึ่งด้วยก็ได้ คนเดียวนะ อ๊อด พากินสมชื่อเอ็งเลยนะ”
“ขอบคุณครับนาย....” อ๊อดทำท่าดีใจ กระวีกระวาดขึ้นไปนั่งประจำที่หลังพวงมาลัย
กลับมาที่ลานวัด หลังจากหมวดชอ จ่าเปื่อยขอตัวกลับไป กลุ่มของเต้ก็ทยอยขึ้นรถขับออกไป เหลือแต่พิภพที่ยืนรอพิมอยู่ตรงรถวอลโว่ พิภพยังหงุดหงิดที่โดนบีต่อยจนเจ็บชายโครง ได้แต่มองดูบีเดินมาส่งพิมด้วยความสายตาเคียดแค้นแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากลูบหัวล้าน
บีกับพิมเดินคู่กันมาอย่างเงียบ ๆ จนเกือบถึงรถ ทั้งคู่หยุดฝีเท้าแทบจะพร้อมกัน
“ผมจะได้เจอกับพิมอีกไหมครับ?”
บี บางรัก
“คงจะได้เจอมั้งคะ...” พิมตอบแบบไม่มั่นใจ “แต่พิมมาที่นี่ศาลาริมคลองท้ายวัดบ่อยนะคะ”
พิม
“งั้นถ้าวันไหนผมไม่มีงาน ผมจะมาดักรอพบพิมนะครับ” บีส่งสายตาหวานฉ่ำให้พิม
พิมทำท่าทีเอียงอายก่อนขึ้นรถไป โดยบียืนส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ จนไม่รู้ว่านกย่องมาด้านหลัง
“พี่บี แหม...ยืนเหม่อเชียวนะ อยากอยู่กับเขาต่อล่ะสิ”
“เกลียดคนรู้ทัน” บีหันมาบ่น แล้วเดินสาวเท้า โดยมีนกรีบวิ่งตามไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
หลังกล้อง “บางบอกดิก” ตอนที่ 4
เปิดตัวละครพระเอกคนที่ 3 แล้วในที่สุด สำหรับตัวละคร ใจดี ชนแดน เป็นตัวละครของนักเขียนบีดีรูปหล่อพี่ใจดีของน้อง ๆ นั่นเอง ผมคิดอยู่นานว่าจะหาร่างอวตารนักแสดงชายคนไหนให้แก่ใจดี เพราะ บี บางรัก ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปแล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครเหมาะไปกว่า พี่ติ้ก เจษฎาภรณ์ ผลดี กับการเป็นร่างอวตารของ ใจดี ชนแดน
และก็เปิดตัวนางเอกอีกคนของใจดี ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เนิ้ต พยาบาลวิชาชีพอิสระ ผมเลือกแอน ทองประสม มาเป็นร่างอวตารของเนิ้ต และถ้ายังจำได้คู่ขวัญ ติ้ก-แอน เคยสร้างกระแสจิ้นสั่นสะเทือนมาแล้วในละคร “อย่าลืมฉัน” จึงเหมาะสมอย่างที่สุด
ยังไม่หมด ยังมีพระรองของคู่นี้อีก นั่นคือหมอเวทย์ ผู้แอบหลงรักเนิ้ต ตัวละครที่ดึงมาจากเพจเภสัชกรมีอะไรจะบอก ที่ผมดึงเวทย์เภสัชกรผู้รู้ลึกเรื่องยา ขึ้นมาเป็นพี่หมอพระรองของเรื่อง ผู้ชายที่ดูจริงใจ น่าคบ แต่เจียมตัวเอง และต้องแอบรักร่างอวตารของเขาต้องเป็นพี่แท่ง ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง เท่านั้นครับ
ตัวละครน้องสาวของใจดี ที่จะต้องไปมีเส้นเรื่องพัวพันกับบี บางรัก และพิม ลูกพ่อเลี้ยงก้อม ก็คือ ใบตอง ชนแดน หรือ ตอง ซึ่งเป็นตัวละครที่ดึงมาจากกรีน สาวจิ้นของพี่บี เป็นตัวละครที่หาชื่อเหมาะสมยาก และก็เป็นพี่บีที่บอกให้ชื่อใบตอง และใช้ ตอง ภัครมัย เป็นร่างอวตาร เพราะใบตองเป็นสีเขียว สีเขียวก็คือ กรีน ผมและทีมงานหัวเด็ดตีนขาดก็คงไม่ให้ตัวละครระดับนางเอกชื่อ “เขียว” แน่ ๆ
พี่สอนตัวเอง มารับบทเป็น สอน ชนแดน แห่ง ไร่สอน ดอยกาแฟ ระดับพี่สอนผู้ดื่มด่ำกับกาแฟยามบ่าย และต้องมีลูกชายหน้าตาดีระดับติ๊กเจษ, ตองภัครมัย ผมเลยเลือก น้าอุ้ยเกรียงไกร อุณหนันทน์ มาเป็นร่างอวตารของพี่สอน
อย่างที่รู้กันแล้ว ผมปรับร่างอวตารของผู้ใหญ่ข้าว, แม่ฉัตร เปลี่ยนเป็น พี่หนุ่มพี่แหม่ม คู่ขวัญตลอดกาล ผมว่านี่คือตัวละครที่เหมาะสมที่สุดในนิยายเลย
ผู้ใหญ่ข้าว และ แม่ฉัตร
ส่วนพระเอกที่ไปไล่ฟ้องขอความเป็นธรรมในเม้นท์ของเพจต่าง ๆ ก็ต้องเอาใจเขาหน่อย เดี๋ยวไม่เล่น ผมเลยเปลี่ยนจากน้าสมบัติ ปรับให้หนุ่มขึ้นเป็น ป๋อ ณัฐวุฒิ และรวมเอานิยายตอนที่ 4 กับ 5 มารวมกัน เลยยาวขึ้น ให้แกออกเสียหน่อย
หลวงลุงทับแห่งวัดบอกดิก ตอนแรกมีรูปหลวงลุงทัฟไว้ในสต๊อก แต่ก็เกรงจะบาปกรรม นรกจะกินกบาลตัวเอง เอาพระเอาเจ้ามาล้อเล่น ผมเลยปรับไปใช้ร่างอวตารของพี่เอก สรพงศ์ ชาตรี ที่มักรับบทพระเป็นพระจำ มาเป็นหลวงลุงทับ
และในตอนที่ 5 ซึ่งมารวมในตอนที่ 4 แล้ว ผมได้เปิดตัวดาวร้ายคู่แข่งของพ่อเลี้ยงก้อม นั่นคือ นายหัวเฉื่อย แห่งบ้านสระหลอด ระดับพี่เฉื่อยที่มักไปทำตัวฮาในเม้นท์ของเพจต่าง ๆ จะต้องใช้นักแสดงดาวร้ายคนไหนจะเหมาะ คิดไปคิดมาก็ต้องเป็นพี่หมู ดิลก ทองวัฒนา มาเป็นนายหัวเฉื่อย สมบูรณ์แบบที่สุด
คนติดตามนายหัวเฉื่อย มีฝ่ายบุ๋นกับบู๊ ฝ่ายบุ๋น ผมให้ กานต์ เล่าหุ้น มารับบทเป็น กานต์ นักบัญชี คนที่ทำหน้าที่ตกแต่งบัญชี เคลื่อนย้ายเงินให้แก่นายหัวเฉื่อย ร่างอวตารของกานต์ผมเลือก อัค-อัครัฐ นิมิตชัย ตัวร้ายข่องวัน อัคเป็นนักแสดงที่มักเล่นตัวร้าย แต่ฝีมือดีมากพอเล่นเป็นตัวดีก็จะแบบเซอร์ ๆ น่าจะใกล้เคียงกับการเป็นกานต์ นักบัญชี ตัวละครที่เป็นสีเทา ๆ ก้ำกึ่งดีหรือร้าย ต้องลุ้นกันต่อไป
นักอ่านตัวยงอีกคนที่ผมเชิญมาร่วมแสดงในบางบอกดิกด้วย พี่อ๊อด ภาคิน พี่ชายที่ตระเวณอ่านและทิ้งเม้นท์เป็นร่องรอยตามเพจต่าง ๆ แต่ไม่เคยเขียน ความลึกลับของพี่อ๊อดจึงเหมาะที่จะเป็นตัวละครฝ่ายบู๊ องครักษ์พิทักษ์นายหัวเฉื่อย ผมจึงเลือก อู๋อรรถพร ธีมากร มาเป็นตัว อ๊อด พากิน ก็ต้องขอขอบคุณพี่อ๊อดที่ร่วมสนุกกับเราด้วย
มีที่ถูกเอ่ยถึงในฐานะรับเชิญคือ เจ่เจ้มีตามสั่ง ซึ่งถ้าฟังจากชื่อก็คงรู้ว่านี่คือ “เจเจ้มีเรื่องเล่า” นั่นเอง
ส่วนนักเขียนบีดีที่ยังไม่ปรากฏตัวอีกเยอะ ที่ผมพอยกตัวอย่างได้คือ เจ๊โชโกะ แห่งสำนักบอกดิกสวรรค์ชั้นเจ็ด ยังไม่ออกแต่ออร่ามาแล้ว, พี่เจี๊ยบปากแดงยั่วยั่ว ที่เซ็นสัญญาร่วมแสดงแล้ว, น้องปัทม์ ณ เหงี่ยมศรี และ พี่ติ ก็กำลังรอเวลาโผล่มา (รอก่อนนะ), ท็อป แร้งกิน ที่ผมมีบทสำคัญให้แล้ว (ไม่ออกมาแล้วตายเลยแบบโหน่งมาแว้วแน่ ๆ), หมูแว่น, ไลฟ์, พี่แรด, ขุนคิด, เอก ผมเอง, พี่หมอยา, พี่วร, น้องวี (อันนี้เตรียมบทไว้แล้ว จะต้องมาอยู่ในเส้นเรื่อง บี-พิม-ตอง ด้วย), แฮปปี้ อาจจะมารับเชิญ เพราะพี่แกไป ๆ มา ๆ, กลมกลิ้ง, พี่นำเข้า กับ พี่อู๋ ยุคใหม่การตลาดไทย สองคนนี้น่าจะได้รับเชิญแบบแพคคู่, พี่ณัฐ มือกฎหมาย น่าจะได้ออกเป็นระยะ ๆ, ฉุดคิด, น้องสุ, น้องแบม, เป้ยเป้ย, มาย, พิงค์กี้, ปู, ฟ้า เท่าที่คิดออกนะ ที่เหลือจากนี้ค่อยว่ากัน ตกหล่นใคร หรือใครอยากมีส่วนร่วมเม้นท์ทิ้งไว้ด้วยครับ บางทีผมก็นึกไม่ออก
ทีมงานที่เหลือ ทั้งเพ็ญจัง, ภาเลอา, นกไดโนสคูล ที่เที่ยวแชร์และโปรโมทก็ขอบคุณมาก ๆ ครับ รวมทั้งคนอื่นที่มิได้เอ่ยนามก็ขอขอบคุณอย่างแรงด้วยเช่นกัน
อยากให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมใน “บางบอกดิก” กันทุกคน ถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์เล็ก ๆ ในยามที่พวกเรากำลังเครียดกับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสุขเล็ก ๆ ที่เรามีร่วมกัน น่าจะพอเยียวยาวความรู้สึกเครียดสาหัสนั้นได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์ต่อไปทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ในเวลาประมาณ 10.00-11.00 น. มาลุ้นกันว่าจะมีใครปรากฏตัว
ขอบคุณครับ
มูฟวี่ เมืองกรุง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา