Blockdit Logo (Mobile)
รู้ทัน COVID-19
•
23 มี.ค. 2020 เวลา 01:40
Breaking News !!
ข้อมูลระดับ RCT เบื้องต้น เกี่ยวกับ
ผลการรักษาของ Favipiravir ต่อ COVID-19 ตีพิมพ์แล้ว เมื่อกี้
เป็น Open labelled Randomized trial
ทำในประเทศจีน มีคนไข้ทั้งหมด 240 คน
Control group = Arrbidol (ยาฆ่าไวรัสชนิดหนึ่ง)
มีหลัเกณฑ์ การคัดคนเข้า คัดคนออก จากงานวิจัยดังรูป
ที่ดูแปลก ก็คือ ข้อ 6 เพราะ มี Bias โดยผู้วิจัยเอง
เพราะเป็น Open Labelled ทำให้รู้อยู่แล้วใครได้ยาอะไร
+/- 3 ว่าใช้หลักอะไรในการตัดสินว่า จะอยู่ไม่ถึง 48 hrs
และ มีผู้ป่วย เพียง 40 % เท่านั้น ที่มีผล RT-PCR Confirmed
ทำให้มี confounder factor
โดยระดับความรุนแรงของโรค งานวิจัยนี้แบ่งเป็น 2 ระดับ ตือ
1. Ordinary (เบา)
2. Critical (หนัก)
ตามเกณฑ์ด้านล่าง
ตามหลักเกณฑ์ Recovery ของงานวิจัย ใช้ 4 ข้อ ตามรูปด้านล่าง
- ไม่มี ไข้
- หายใจช้าลง น้อยกว่า 24 ครั้ง
- Oxygen < 98 %
- ไอน้อย หรือ ไม่ไอ
แต่ไม่ได้บอกว่าต้องครบทุกข้อไหม
โครงสร้างงานวิจัยเป็นดังรูป ที่ 3
ผลการวิจัย
Baseline ของคนไข้ทั้ง 2 กลุ่ม
Favipiravir อายุน้อยกว่า แต่ไม่ต่างขนาดมีนัยสำคัญทางสถิติ
ส่วนด้านอื่นๆ คนไข้ทั้ง 2 กลุ่มไม่ต่างกัน
ผลการรักษาในกลุ่ม Ordinary ของ Favipiravir
พบว่า มี clinical recovered ตามกฏของงานวิจัยนี้
ดีกว่า Arbidol อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
แต่ในกลุ่ม Critical กลับพบว่า Clinical recovery ไม่ต่างกัน
สำหรับ Secondary outcome ของงานวิจัย ออกมาดีเว่อร์ คือ
ไม่พบผู้เสียชีวิตเลย ทั้ง 2 Arm
งานวิจัยสรุปว่า
โดยส่วนตัว รู้สึกเฉยๆ
เพราะเราไม่ได้มียา Favipiravir เยอะพอที่จ่ายให้ทุกเคส
อีกทั้งเรารู้อยู่แล้วว่าโรคนี้
มีโอกาสหายเองได้มากถึง 80 กว่าเปอร์เซ็นต์
เราอยากรู้ว่าในเคสที่อาการหนัก ยาสามารถที่ จะ
- เปลี่ยนให้ผู้ป่วยอาการหนักเป็นอาการเบา
-เปลี่ยนผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตกลายเป็นไม่เสียชีวิต ต่างหาก
ถึงจะเรียกได้ว่า ยาตัวนี้ว่าเป็น Game changer ได้
ไม่รวมถึง bias + confounder factor อีกมากมาย
ดังนั้น Trial นี้ ถือว่าผลออกมา น่าผิดหวังพอสมควร
ที่ไม่สามารถโชว์ Benefit ได้ในกลุ่ม Critical
แต่อย่าลืมว่า Control group ในงานวิจัย นี้ คือ
Arbidol ซึ่งเป็น Potent ARV ตัวหนึ่ง เลยทำให้
Favipiravir ไม่สามารถชนะได้ขาดลอยตามที่คาด
อีกทั้ง จำนวน sample ก็ยังน้อย
ทำให้ Power of study ไม่มากพอที่จะโชว์ Benefit ได้
สุดท้าย ก็คงต้องรอข้อมูลงานจาก
วิจัยที่มีคุณภาพและขนาดใหญ่กว่านี้ต่อไป
โฆษณา