23 มี.ค. 2020 เวลา 10:20 • ไลฟ์สไตล์
จากบ้านเกิด สู่ 3จังหวัดชายแดนใต้
ตอนที่2 จากพลทหาร สู่ นักเรียนนายสิบ
หลังจากที่ผมได้ทำการสอบนักเรียนนายสิบติดเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงวันที่ผมต้องมารายงานตัวเพื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนนายสิบเป็นวันแรก
โดยโรงเรียนนายสิบนั้นจะแบ่งนักเรียนออกเป็น2ผลัด เช่นเดียวกับผลัดของพลทหาร
-ผลัด1 เข้าเรียน 1พฤษภาคม
-ผลัด2 เข้าเรียน 1พฤศจิกายน
ซึ่งเป็นหลักสูตร 1ปี คือ เรียนที่โรงเรียนนายสิบ6เดือน และ แยกย้ายกันไปเรียนตามเหล่าที่ตัวเองได้เลือกอีก6เดือน ถึงจะเป็นอันสำเร็จหลักสูตรและทำการติดยศ
สำหรับผมนั้น ผมได้อยู่ผลัด2 ซึ่งยังพอมีเวลาได้เตรียมใจมาบ้าง ผมได้อยู่กองร้อยสิงโต (กองร้อยที่ขึ้นชื่อว่าโหดมากๆ) นักเรียนนนายสิบนั้นจะมีทั้งบุคคลที่เป็นพลเรือนสอบเข้ามา และ พลทหารเก่าที่สอบเข้ามา กองร้อยผมนั้นมีนีกเรียนทั้งหมด 150คน แบ่งเป็น4หมวด
การเรียนในช่วง10สัปดาห์แรกจึงเป็นการฝึก บุคคลท่ามือเปล่า เพื่อที่บุคคลพลเรือนจะได้มีลักษณะท่าทางแบบทหาร เป็นการทบทวนให้พลทหารเก่าไปด้วย การแดก(การทำโทษ) ในช่วงแรกๆนั้นจึงยังไม่หนักมาก
ในช่วงแรกๆ ผมก็คิดถึงบ้านมากครับเพราะทุกอย่างมันต้องอยู่ในกฏระเบียบ หรือจะเรียกว่าโดนบังคับก็ไม่แปลก แต่จะทำไงได้ครับก็เลือกมาแล้ว เราเป็นคนสมัครใจไปสอบเอง เพื่อนบางคนที่รับแรงกดดันไม่ไหวขอลาออกก็มีครับ
หลังจากฝึกเบื้องต้น10สัปดาห์เสร็จก็จะเริ่มมีการเรียนวิชาการ ทั้งวิชาสามัญและวิชาทหาร มาถึงตอนนี้ร่างกายของทุกคนก็ปรับสภาพได้แล้ว และครูฝึกก็เห็นเช่นนั้น555 คราวนี้มหกรรมสาดเหงื่อของพวกเราก็เริ่มขึ้น
การเรียนนั้นจะคล้ายๆกับของมัธยมปลาย คือการเดินเรียน หมดคาบนี้ก็เดินไปเรียนวิชาต่อไปอีกที่
การเดินเรียนไม่ใช่ว่าจะเดินสะเปะสะปะนะครับ ถ้าทำแบบนั้นงานงอกแน่ๆ ต้องเดินแถวไปเรียนด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย การเรียนจะเริ่มตั้งแต่08.00-16.00 น. จากนั้นก็จะเดินทางกลับกองร้อย
สำหรับนักเรียนกองร้อยสิงโตนั้นการได้ออกจากกองร้อยไปเรียนคือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะครูในกองร้อยจะค่อนข้างโหดมาก เรียกได้ว่าแทบจะเรียกไปแดกทั้งวัน เสาร์-อาทิตย์ จะหยุดเรียนให้นักเรียนได้ทำภารกิจส่วนตัว แต่พวกผมนั้นไม่อยากให้มีเสาร์-อาทิตย์เลย เพราะมันเหนื่อยมากถ้าหากว่าอยู่กองร้อย
1
เช้าและเย็น ของทุกวันกองร้อยสิงโตจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นหลัก (Kinf of running) เป็นฉายาของกองร้อยผมครับ ในขณะที่กองร้อยอื่นๆนั้นเขา เตะฟุตบอล เล่นตระกร้อ พวกผมทำได้แค่วิ่ง วิ่งเกือบ10กิโลได้ครับ บางวันก็ถึง10กิโล
กฏของโรงเรียนคือห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ การที่จะติดต่อกับแฟนนั้นทำได้ด้วยการเขียนจดหมายครับ (แต่ก็มีพวกที่แอบใช้ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) แล้วเวลาที่แฟนเราเขียนขดหมายมาถึงเรา ครูฝึกก็จะให้เราออกไปอ่านให้เพื่อนฟัง บางคนถ้าแฟนน้ำเน่าหน่อยก็จะเป็นที่ตลกของเพื่อนๆ แต่ผมว่ามันเป็นวิธีคลายเครียดดีนะ
หากมีการทำผิดแม้แต่คนเดียว การทำโทษจะเหมารวมทุกคนครับ ถ้าหากวันไหนมีใครทำผิดแล้วโดนครูจับได้ การนอนคืนนั้นจะหายไปทันทีเปลี่ยนมาเป็นการแดกแทน ผมนี่โคตรเซ็งเลยครับ
ครูฝึกจะทำการกดดันเรา เช่น แดก2ชั้วโมงแล้วปล่อยขึ้นไปนอน20นาที แล้วก็เรียกลงมาแดก ทำแบบนี้ทั้งคืนครับ จนเป็นเรื่องปกติของกองร้อยผม เรียกได้ว่าชินเลยครับ เวลาท้อๆผมชอบคิดกับตัวเอง "ถ้ากูทนที่นี่ได้ ที่ไหนในโลกกูก็อยู่ได้"
ชีวิตผมก็วนเวียนอยู่แบบนี้ทุกวัน เริ่มจะมาสบายไปหน่อยก็ใกล้ๆช่วงที่เราต้องสอบเลือกเหล่าครับ
(เหล่า คือ สาขาวิชาที่เราสนใจอยากไปเรียน) หากใครสอบได้1-10 จะได้โควต้าไปเรียนต่อที่ โรงเรียนนายร้อย จปร. ซึ่งช่วงแรกๆนั้นผมทิ้งตัวเลยครับ เพราะเหนื่อย มีเวลาพักผ่อนน้อย ผมเลยไม่ได้สนใจอ่านหนังสือเลย ผมพึ่งจะมาตั้งใจช่วงโค้งสุดท้าย คือ 1อาทิตย์ก่อนสอบ ผมไม่ได้สนใจโควต้าอะไรทั้งนั้น(แต่ฟลุ๊คก็ดี555) ผมคิดแค่ว่านักเรียน900กว่าคน ผมคงไม่อยู่อันดับท้ายๆแน่ อาทิตย์นั้นผมตั้งใจแบบสุดๆแบบที่ไม่เคยตั้งใจมาก่อนในชีวิต
1
และแล้วความตั้งใจของผมมันก็เกิดผลครับ อยู่ในระดับที่ผมค่อนข้างพอใจ ผมสอบได้ที่ 263 ซึ่งผมเลือกได้ทุกเหล่า ยกเว้นเหล่าการเงิน ซึ่งหมดตั้งแต่50อันดับแรก
การเลือกเหล่านั้นมันค่อนข้างสำคัญมากๆ เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตรับราชการ ถ้าหากผมเลือกเหล่ารบ (ราบ ม้า ปืน) เหล่ารบนั้นจะเน้นการฝึกอยู่ตลอดทั้งปี ความคิด ณ ตอนนั้น(ย้ำนะครับว่าความคิดในตอนนั้น) ผมคิดว่าทำไมเราจะต้องมาเหนื่อยอะไรซ้ำซาก
ผมเลยตัดสินใจเลือกเหล่าทหารสื่อสาร ซึ่งเป็นฝ่ายที่ใช้เทคนิค เกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสาร หรือเรียกว่าเหล่าสนับสนุนการรบ
1
การเลือกเหล่าทหารสื่อสารนั้น ถือเป็นจุดพีคสุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ จะเป็นอย่างไรนั้นตอนหน้าผมจะเรียบเรียงมาให้ทุกท่านได้อ่าน ได้ชมกันนะครับ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาเข้ามาอ่านและติดตามรับชมครับ
โฆษณา