Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
จิบเบียร์ เชียร์บอล
•
ติดตาม
24 มี.ค. 2020 เวลา 15:07 • กีฬา
กรณีศึกษาของแกเร็ธ เบล
วงการฟุตบอลในยุคสมัยใหม่ เราทราบกันดีว่าถูก
สองดาวเตะอย่างลีโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ที่เป็นเหมือนหัวหมู่ทะลวงฟัน คอยขับเคลื่อน
แต่นอกเหนือจากสองคนดังกล่าว ก็ยังมีชื่อของผู้เล่นอีกหลายคนเช่นกัน ที่มีศักยภาพในฝีเท้าที่โดดเด่นมากพอ
จนอาจเรียกได้ว่าหากไม่มีสองซุปเปอร์สตาร์อย่าง โรนัลโด้ และ เมสซี่ ก็จะมีใครอีกหลายคนก้าวขึ้นมาเป็นตัวยืนหนึ่งของวงการลูกหนัง
และหนึ่งในชื่อของนักเตะแถวหน้า ย่อมต้องมีแกเร็ธ เบล ปีกความเร็วสูง สัญชาติเวลส์ รวมอยู่ในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ดาวเตะทีมชาติมังกรแดง ถือเป็นผู้เล่นที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในการจะถูกตราประทับว่าเป็นยอดแข้งเบอร์หนึ่งของโลก ทั้งพรสวรรค์ในฝีเท้าและหลายครั้งมักสร้างชอตการเล่นมหัศจรรย์ขึ้นมาเรียกเสียงฮือฮาได้บ่อยๆ
นอกจากความเร็วที่สามารถกระชากหนีกองหลังคู่ต่อสู้ให้ขาดวิ่น ยังมีเรื่องทักษะส่วนตัวและการยิงประตูที่หนักหน่วงและเฉียบคม
ยิ่งในวันที่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สละอาภรณ์สีขาวผ่องของเรอัล มาดริด ทุกคนต่างก็เชื่อกันว่า มันถึงเวลาแล้วที่
แกเร็ธ เบล จะก้าวขึ้นมาจากใต้ร่มเงาดาวเตะโปรตุเกส
และผงาดเป็นผู้เล่นที่แบกความหวังของเรอัล มาดริด
ในยุคต่อจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้ไม่ยาก
แต่ชีวิตคนเราต่อให้เก่งกาจมากเพียงใด ถ้าไม่อาจทำงานร่วมกับคนอื่น ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมสังคมกับคนรอบข้างได้
ก็ยากที่จะก้าวขึ้นมามีบทบาทได้
ชีวิตของแกเร็ธ เบล ก็เป็นเช่นนั้น
จริงๆแล้วถ้าเราไล่ย้อนดูไทม์ไลน์ของ เบล
ในรั้วซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ก็จะพบว่าเจ้าตัวเป็นหนึ่ง
ในผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
นับจากวันที่เขาย้ายออกจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ มาค้าแข้งในแผ่นดินสเปน เขาลงรับใช้เรอัล มาดริด ไปแล้ว 249 นัด ยิงได้ 105 ประตู กับแอสซิสต์อีก 67 ครั้ง
แถมผ่านการคว้าแชมป์มามากมายถึง 14 รายการใน
ช่วงระยะเวลาประมาณ 6 ปี
นี่เป็นตัวเลขที่มองจากภายนอก ก็ต้องบอกว่าเป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่นักฟุตบอล
สักคนจะสามารถทำได้ และใครก็ตามที่มีผลงานอลังการขนาดนี้ ย่อมต้องเป็นที่รักใคร่เชิดชูของแฟนบอล
อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ความเป็นจริงก็คือ แกเร็ธ เบล ไม่ได้เป็นที่ยกย่องมากมายอะไรเลย ส่วนหนึ่งเพราะการต้องตกอยู่ใต้ร่มเงา
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกนำผลงาน
ไปเปรียบเทียบกัน
ซึ่งแฟนบอลก็มองว่า แกเร็ธ เบล ไม่ได้มีอิทธิพลต่อทีมมากเท่าที่ โรนัลโด้ เคยทำ และทำให้สี่ห้องดวงใจของสาวกชุดขาว ไม่มีพื้นที่ให้กับ เบล
แต่เอาเข้าจริงเรื่องของแกเร็ธ เบล กับสโมสรเรอัล มาดริด
มันมีมากเกินกว่าแค่ผลงาน เพราะลำพังหากมองกันแค่ผลงานอย่างเดียว แกเร็ธ เบล ก็ถือว่าสอบผ่านในระดับเกียรตินิยมแล้ว
ปัญหามันอยู่ที่ตัวแกเร็ธ เบล เองนั้นก็ไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่าพร้อมจะมอบหัวใจให้กับแฟนบอลมาดริติสต้าเช่นกัน
อย่างแรกที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของภาษา
นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2013 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก จนถึงทุกวันนี้ เบล ยังไม่สามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมเป็นภาษาสเปนได้เลย และยังคงต้องมีล่ามแปลภาษาส่วนตัวพกพาไปใหนมาใหนด้วยโดยตลอด
อันนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะการที่เราไปอยู่ประเทศใดก็ตาม เราก็ควรจะต้องศึกษา เรียนรู้การใช้
ภาษาของประเทศนั้นๆ ถือเป็นการแสดงออก
ถึงความเคารพในท้องถิ่น
แม้ตามจริง เบล อาจจะมีการสื่อสารกับเพื่อนเป็นภาษาสเปนบ้างก็จริง แต่ในการออกสื่อทุกครั้ง เบล มักจะเลี่ยงภาษาสเปนโดยตลอด รวมไปจนถึงการสื่อสารกับแฟนบอล ที่เขาไม่ค่อยมีปฎิสัมพันธ์ด้วยสักเท่าไร
ยิ่งทำให้เขาเหินห่างกับเหล่าผู้สนับสนุนทีมมากขึ้น
บางคนอาจแย้งว่า แค่ไม่พูดภาษาสเปน ก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาตรงใหน เพราะผลงานที่แสดงออกมาก็ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว
ใช่ มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เป็นรายละเอียดสำคัญ
ที่นักเตะต่างชาติที่ย้ายไปยังเรอัล มาดริด พยายามเรียนรู้
แต่แกเร็ธ เบล ไม่ทำ นั่นเอง
-
เรื่องที่สองคืออาการบาดเจ็บ
แกเร็ธ เบล ถือเป็นนักเตะที่ฟอร์มการเล่นโดดเด่นอย่างมาก เวลาได้รับโอกาสลงสนามเขามักจะรังสรรค์ผลงานการเล่นที่สุดยอด น่าตื่นตาตื่นใจออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็เช่นเดียวกันที่ผลงานพวกนั้น มักเป็นไปแบบไม่ต่อเนื่องเพราะ เบล เป็นผู้เล่นที่พร้อมจะบาดเจ็บได้ทุกเมื่อ
และเป็นคนที่เจ็บบ่อยครั้งอย่างมาก ไม่ว่าจะเจ็บสั้น เจ็บนาน เขาเป็นมาหมด และมันก็ทำให้เขาหายหน้าหายตาไปจากทีมอยู่หลายช่วงและบางครั้งมันก็มักจะส่งผลกระทบกับการจัดวางแผนของคนเป็นกุนซือที่ไม่อาจไว้วางใจได้เลยว่า วันดีคืนดี เบล จะเจ็บขึ้นมาอีกเมื่อไร
ตลอดระยะเวลา 7 ปี เขาเจ็บรวมกันเกินกว่า 22 ครั้ง
ยิ่งหากคิดออกมาเป็นค่าเฉลี่ยตามจำนวนนาทีที่เขาได้ลงเล่นจะพบว่าเขาเล่นได้เพียงแค่ 53% เท่านั้น จากเวลารวมทั้งหมดที่เขาควรได้รับใช้ทีม
จนสื่อตั้งฉายาให้เขาว่าเป็น ‘มิสเตอร์กลาส’ แก้วบางๆที่แค่เอานิ้วจิ้มเบาๆก็พร้อมบุบพร้อมแตกตลอดเวลานั่นเอง
-
เรื่องที่สามก็คือปฎิสัมพันธ์กับผู้คนแวดล้อม
ด้วยความที่นิสัยส่วนตัวของ เบล เป็นคนที่รักสันโดษ
ชอบเก็บตัวเงียบ ในวันที่ไม่มีแข่งก็มักจะขลุกตัวอยู่แต่กับบ้าน ไม่ออกไปสุงสิงเสวนาหรือรื่นเริงในงานสังสรรค์กับเพื่อนร่วมทีม
หลายคนอาจบอกว่ามันไม่เห็นจะผิดอะไรเลยที่เขาเป็นคนชอบเก็บตัว ดีซะอีก เพราะจะได้ไม่มีปัญหายุ่งยากตามมา นั่นก็ถูกครับ
แต่มนุษย์คือสัตว์สังคม ยิ่งกับนักฟุตบอล คุณยิ่งต้อง
มีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นๆที่อยู่แวดล้อมบ้างไม่มากก็น้อย
แต่กรณีของแกเร็ธ เบล เขาไม่มีการเข้าสังคมกับใครเลย จนทำให้นานวันเขายิ่งเหมือนคนแปลกแยก ที่แม้แต่เพื่อนร่วมทีมยังยอมรับว่าไม่รู้จักตัวตนของเขาดีพอ
นอกจากความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมไม่มี ยังส่งผลไปถึงกุนซือที่ เบล มีปัญหากับพฤติกรรมด้านนี้มาโดยตลอด ตัวอย่างเช่นในวันที่ซีเนอดีน ซีดาน ประกาศว่า เบล ไม่อยู่ในแผนการทำทีม ตัวเขาก็เฉยชา ไม่ใส่ใจ และประกาศว่าตนเองยังมีสัญญากับทีม และจะอยู่ต่อไป แม้จะได้ลงหรือไม่ก็ตาม ซึ่งภาษากายแบบนี้ มันถือเป็นการแข็งข้อชัดเจนต่อผู้บังคับบัญชา
ฤดูกาลนี้ แกเร็ธ เบล ลงเล่นให้ทีมไปเพียงแค่ 18 นัดรวมทุกรายการ ยิงได้แค่ 2 ประตู กับแอสซิสต์ 2 ครั้ง นั่นก็เพราะอาการบาดเจ็บที่รบกวนตลอดเวลา
ทว่าสิ่งที่แฟนบอลมักได้เห็นตลอดเวลาที่เขาบาดเจ็บ
ก็คือภาพการออกรอบไปตีกอล์ฟ กีฬาที่เขาโปรดปราน
ทั้งๆที่ควรจะพักรักษาตัวให้หายดีและกลับมารับใช้ทีมให้เร็วที่สุด
ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาแฟนบอลมาดริดย่ำแย่หนักเข้าไปอีก ทั้งที่ปกติก็แย่จนเกินเยียวยามากพออยู่แล้ว และมันยังถือเป็นการแสดงออกที่แฟนบอลมองว่า
เขาไม่ให้ความเคารพในสโมสรที่เขาสังกัดอยู่เลยไปในตัวอีกด้วยนั่นเอง
ไม่มีใครปฎิเสธหรอกครับว่า แกเร็ธ เบล คือยอดนักเตะที่มีพรสวรรค์เพียบพร้อม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความเก่งกาจ สามารถขึ้นมายืนหนึ่งในวงการได้ไม่ยากเลยถ้าเขาต้องการ
ฝีเท้าระดับแกเร็ธ เบล สามารถไปเล่นกับทีมใหนก็ได้บนโลกใบนี้ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เรื่องของตัวเขาเอง ที่ไม่พร้อมจะเปิดใจเรียนรู้อะไรเลย
สโมสรฟุตบอล ก็คือองค์กรใหญ่องค์กรหนึ่ง
ที่ประกอบไปด้วยคนมากหน้าหลายตา และแน่นอนว่าแต่ละสโมสรก็มีวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละแห่ง
แต่วัฒนธรรมสำคัญที่สุดที่ทุกสโมสรมีเหมือนๆกัน ก็คือการปฎิสัมพันธ์ เพราะถ้าแม้ต่อให้เราเป็นคนที่เก่งเลิศเลอเพียงใด มีความสามารถถึงพร้อมมากแค่ใหน
หากแต่ขาดซึ่งความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของสถานที่ๆเราทำงานอยู่ด้วยได้ มันก็ยากที่เราจะเจริญเติบโตไปต่อได้ ต่อให้มีผลงานดีเพียงใดก็ตาม
สรุปแล้ว แกเร็ธ เบล อาจสอบผ่านเรื่องของหน้าที่การงานในสนาม แต่เขาสอบตกสิ้นเชิงกับเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน
เพราะในเมื่อคุณไม่พร้อมจะมอบหัวใจของคุณเองให้ใครก่อน ใหนเลยที่จะมีใครพร้อมมอบหัวใจของเขาให้คุณกลับมาได้นั่นเอง
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย