25 มี.ค. 2020 เวลา 05:34 • ธุรกิจ
มองวิกฤตการลงทุนแบบ ดร.นิเวศน์
Money Chet 25/03/2020
ดร.นิเวศน์มองผลกระทบครั้งนี้ ว่ารุนแรงกว่า ปี 2008
เนื่องจากมีประเด็นสังคมเข้ามาด้วย ปี 2540 ตอนนั้นคนเดือดร้อนจริงๆคือคนระดับบน รายย่อยกระทบไม่นานอาจจะถูกออกจากงานแต่หลังจากนั้นค่าเงินที่อ่อนอย่างรวดเร็วทำให้การส่งออกดีขึ้นมาก ช่วงนั้นมีการสร้างโรงงานต่างชาติมาลงทุนอย่างเช่นญี่ปุ่น ค่าแรงถูก ประชากรหนุ่มแน่นไทยกำลังแข่งขันได้ ทำให้คนรากหญ้าไม่ค่อยเจ็บตัวตกงานแปปเดียวก็กลับมาได้
ในปี 2008 ส่วนใหญ่จะไปกระทบกับตัวตลาดเงินและตลาดทุน วิกฤตครั้งนั้นมาจากอเมริกามีการบริโภคที่เติบโตเร็ว อสังหาบูมสถาบันการเงินก็ปล่อยกู้เยอะ ไม่ต้องมีเงินเอาเครดิตมาใช้ คนหวังซื้อแล้วขายทันทีได้กำไร ไม่ต้องมีเงินได้ แล้วใช้เครื่องมือทางการเงิน ทำให้หนี้เป็นหนี้ดีแล้วไปขาย แต่หนี้เสียก็คือหนี้เสียคิดว่าป้องกันได้มันก็ป้องกันไม่ได้คนที่ตายคือสถาบันการเงิน รัฐบาลก็อัดฉีดเงินมามหาศาล
เมืองไทยเกี่ยวอะไร เกี่ยวเรื่องส่งออก ศก.โลกชะลอตัว ทำให้ส่งออกชะลอหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร ต่างชาติมีหุ้นอยู่ไทย 30-40% ขายเอาเงินกลับไปช่วยประเทศ ไม่กี่เดือนหุ้นก็ขึ้นมาแล้ว
รอบนี้เป็นวิกฤตคนจน คนจนที่เจ็บหนักคือวิกฤตเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นล้านๆคน คิดเป็น GDP 10%-20%
มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย อาจจะถูกปลด ไม่ได้รับเงินเดือน ไกด์ โรงแรม นวด สปา คนรากหญ้าทั้งนั้นเจ็บหนัก และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่มีประทังตัวได้ 1-2 เดือน ถ้าหลังจากนั้นไม่ดีขั้นก็จะแย่
คนไทยมีหนี้ครัวเรือนมากสุดเป็นประวัติกาณ์ตอนนี้หนี้ครัวเรือน
ประมาณ 80%
สมัยได้ 2540 เขากลับต่างจังหวัดได้ แต่ตอนนี้สังคมมันเปลี่ยนหมดแล้วกลับไปไม่มีอะไรเหลือ ถึงกลับไปที่นั้นก็ตาย สินค้าเกษตรราคาลดลง ภัยแล้งอีก คนรวยบ้านเราไม่ได้เดือดร้อนมาก อาจจะwealthลดลงแต่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนั้น
คนรากหญ้ากลัวไม่มีจะกินมากกว่ากลัวโรค ถ้าสุดท้ายเป็นหนี้เสียจะกระทบสถาบันการเงินในที่สุดแต่ยังไงหนี้รายย่อยก็ไม่เยอะ
ดร.นิเวศคิดว่าไม่น่าทำให้ล้มแบบปี 2540 ได้
ถ้าฐานรากไม่ดี ข้างบนก็น่าจะลดลง แต่เขาสายป่านยาวเงินเยอะ รายได้หาย 20% ก็ยังอยู่ได้ อาจจะปลดคน ปลดคนก็กระทบรากหญ้าอีก
สุดท้ายแล้วอาจจะทำให้เกิดปัญหาสังคม อาจจะตามมาด้วยปัญหาทางการเมือง อนาคตอาจมีปัญหาอาชญกรรมมากขึ้น ถ้าปัญหาไม่หายไปรวดเร็วครั้งนี้น่าห่วงหนักกว่า 2008 คิดว่าควรมีมาตราการช่วยเหลือด้านความเป็นอยู่
สถานการณ์ขึ้นอยู่กับโรคนี้ด้วย ถ้าหายไปเร็วถ้าการท่องเที่ยวกลับมาการสร้างงานกลับมาเยอะ โรงแรมต่างๆ สายการบิน คนกลับมาใช้จ่ายท้องถิ่น กลับมาสร้างรายได้
ถ้ายืดยาวออกมาเขาจะทำอย่างไรคำถามตรงนี้ต้องตอบมาให้ได้ ไม่ใช่ทุกคนจะปรับตัวได้ ทำแบบเดิมมาทั้งชีวิต จะให้ไปขายของหรืออะไรก็ไม่ได้ ขายกันหมดก็ไม่มีคนซื้อ เป็นเรื่องสำคัญว่าจะทำอย่างไร?
ตลาดหุ้นคือหน้าตาที่สะท้อนเรื่องเศรษฐกิจ ตอนนี้เราคาดหวังได้ว่าตกแน่ ถ้าบริษัทไหนกำไรลดลงไม่เกิน20% (กำไรลดนะไม่ได้ขาดทุน)
ต้องยกนิ้วให้เลยถ้าฟื้นคนจะมาชดเชยของที่ไม่ได้ซื้ออก็จะรีบกลับไปซื้อเมื่อฟื้น แต่บริษัทที่ขาดทุนนี่น่าจะเหนื่อย การท่องเที่ยว ปิโตเคมี
มองว่าสะท้อนมากเกินไปรึยังที่ลง?
ดร.มองว่าหุ้นหลายตัวตัวใหญ่ๆราคาต่ำกว่าพื้นฐานแล้ว แต่ยังให้ทยอยลงทุนไป คาดการณ์ไม่ได้เลยจะกลับมาเมื่อไร แล้วที่เสียหายจะเสียหายแค่ไหน ต้องเปรียบเทียบกับราคาด้วยต้องดูเป็นรายตัว
จังหวะการเข้าไปลงทุน ดร.มองว่าไม่สำคัญ เนื่องจากเราไม่รู้จุดต่ำสุดอยู่ตรงไหนถ้ามั่วแต่รอเราจะพลาด ให้ทยอยซื้อไปเรื่อยๆ หาหุ้นที่เป็นผู้นำและเทคโนโลยีทำลายมันไม่ได้ ต้องมั่นใจว่าเขาไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีใหม่ บริษัทพวกนี้ก็มีคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ บริษัทที่อยู่ยาวได้คือมีกระบวนการในการปรับตัวมีวิธีทำให้ไม่แก่
มองว่าหุ้นหลายตัวถูกเหลือเชื่อ ต้องหาหุ้นที่ไม่ถูกดิชรัป และราคาถูก
ในยามที่มืดมนสุดท้ายมันก็กลับมาได้
ถ้าไม่กล้ามันก็ไม่มีโอกาส
สุดท้ายยังไงก็มีโอกาส
ที่มา
โฆษณา