Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
NITCHAKARNア
•
ติดตาม
25 มี.ค. 2020 เวลา 11:18 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
“Normalcy bias” ทำไมคนคิดว่า ”ไม่เป็นไรหรอก”
หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มสูงขึ้นเป็นเลข 3 หลัก
จนเกิดปรากฎการณ์ “(ฉัน)ติดยัง(นะ)”
บางคนกังวลถึงขนาดไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คให้รู้กันไปเลย
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนออกไปสังสรรค์ ดื่มกิน
ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในสังคมเลยสักนิด
นักวิจัยพบว่าประมาณ 70% ของคนจะมี Normalcy bias
หรืออาการที่คิดว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
คำอธิบายของอาการคนที่มี Normalcy bias คือ
“คนที่ทำตัวปกติในเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวก็กลับมาปกติ”
สั้นๆ ก็ คนที่ชอบพูดว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอะไรหรอก ไม่ติดหรอก” (ขึ้นอยู่เหตุการณ์)
เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจน
เราจะย้อนไปดูเหตุการณ์น่ากลัวครั้งประวัติศาสตร์
เมื่อ 19 ปีก่อน ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์และกฎการบินไปตลอดกาล
8 โมงเช้าของวันที่ 11 กันยายน 2001 คุณอีเลีย เซเดโน (Elia Zedeno)
ทำงานอยู่บนชั้น 73 ของตึก ก่อนที่จะได้ยินเสียงระเบิด
และแรงสั่นสะเทือนมหาศาลราวกับว่าตึกกำลังจะล้ม
เธอจับโต๊ะทำงานและยกขาขึ้นจากพื้นทันที
เวลาผ่านไปไม่กี่วินาที เธอก็ตะโกนขึ้นว่า
“เกิดอะไรขึ้น!?”
(นักวิทยศาสตร์เรียกการถามในสถานการณ์นี้ว่า
“Milling” หรือการชักช้าเพื่อหาข้อมูลเพิ่มก่อนลงมือ
โดยสถิติ คนเราจะถามประมาณ 4 คนก่อนลงมือทำ)
ไม่ใช่เพียงแค่เธอคนเดียว คนในออฟฟิศมีปฎิกิริยาคล้ายกับเธอ
ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนยังคงอยู่กับที่ บางคนก็ทำงานต่อ
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในเพื่อนร่วมงานของเธอก็ตะโกนขึ้น
“รีบออกจากตึกเดี๋ยวนี้!”
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่รีบหนีในทันที เธอเอื้อมไปหยิบกระเป๋า
และเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายเพราะคิดว่าจะเอาอะไรติดตัวไปอีกบ้าง
สุดท้ายเธอใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงกว่าจะออกมาจากตัวตึกได้
และหลังจากนั้นไม่นาน เครื่องบินอีกลำก็บินมาซ้ำแผลเดิม
ขณะที่อีกลำบินมาชนตึกข้างๆ
ก่อนที่ตึกทั้ง 2 จะถล่มลงมามีผู้เสียชีวิตเกือบ 3000 คน
รวมทั้งสิ้นมีเครื่องบิน 4 ลำ ถูกบังคับให้บินชนตึกแฝดในมหานครนิวยอร์ค
จวบจนทุกวันนี้ เธอก็ยังคิดย้อนกลับไปว่า
“เธอจะทำยังไง ถ้าเพื่อนร่วมงานของเธอไม่ตะโกนขึ้นมาวันนั้น”
National Institute of Standards and Technology (NIST)
ไปสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ตึก World Trade Center แล้วพบว่า
คนส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 6 นาที กว่าจะเริ่มมีปฎิกิริยาต่อเหตุการณ์
แต่บางคนใช้เวลาถึง 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง กว่าจะรู้ว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ
หลายคนมัวแต่โทรหาญาติ และกว่า 1000 คนกำลังปิดคอมพิวเตอร์อยู่
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราไปดูงานวิจัยชิ้นหนึ่งกันค่ะ
คุณวิลเลียม มอร์แกน (William Morgan) นักจิตวิทยา
จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำงานวิจัยถึงพฤติกรรมประหลาด
ในนักดำน้ำที่รู้สึกขาดออกซิเจนแม้จะมีออกซิเจนเต็มแท็ง
จนนำไปสู่การถอดหน้ากากออกขณะดำน้ำจนทำให้จมน้ำ
เขาพบว่า คนบางกลุ่มตอบสนองต่อความรู้สึกด้วย “สัญชาตญาณ”
ในที่นี้คือ การเอาอะไรที่ปิดปากและจมูกออก
แต่สำหรับนักดำน้ำ มันคือแหล่งออกซิเจนเดียวที่มี
ถ้าพวกเขาทำบนบกก็คงไม่มีปัญหาอะไร
จึงนำไปสู่การศึกษาว่าทำไม “สัญชาตญาณ” ถึงทำร้ายตัวเราเอง
และนักวิจัยได้พบว่ามันเกี่ยวข้องกับการที่ “สมองประมวลผลข้อมูล” ยังไง
และพวกเขาคิดว่ามันคือ “การขาดข้อมูลจำเป็นที่เพียงพอ”
ในสถานการณ์ปกติ
สมองใช้เวลาประมวลผลประมาณ 8 - 10 วินาที
เพื่อรับมือกับข้อมูลซับซ้อนใหม่ๆ ที่รับเข้ามา
ยิ่งเครียดเท่าไร เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งมากขึ้น
ให้ลองคิดว่าสมองเป็นเหมือนห้องสมุดค่ะ
ที่บรรจุข้อมูลไว้มากมายในแต่ล่ะชั้นในแต่ล่ะตู้
ถ้าจู่ๆ หนังสือหลายร้อยเล่มเข้ามาพร้อมๆ กันในทันที
บรรณารักษ์ก็จะจัดหมวดหมู่ไม่ทันและเริ่มสับสน
แต่บรรณารักษ์เองไม่ใช่แค่รับข้อมูล
ต้องวิ่งไปหาข้อมูลในห้องสมุดแห่งนี้ด้วย และเมื่อถูกกดดันมากๆ
ในสถานการณ์ที่คับขัน และไม่เคยเจอมาก่อน เวลาก็จำกัด
บรรณารักษ์ก็หยิบเอาสมุดเล่มแรกและเปิดหน้าแรกในหมวดนั้น
เพื่อแก้ปัญหา หรือในกรณ๊นักดำน้ำคือ “การเอาอะไรที่อุดปากออก”
เช่นเดียวกับคุณอีเลีย เซเดโนและคนอื่นๆ
เธอได้รับข้อมูล ”ใหม่” มากเกินไป และ “ไม่มี” ข้อมูลว่าต้องทำยังไง
เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ เลยกลายเป็นทำเหมือนกับว่ากำลังจะเลิกงาน
ด้วยการปิดคอม หยิบนู้นนี้และกระเป๋าแทนที่จะรีบหนี
คนที่มีลักษณะของ Normalcy bias มักจะคิดว่า
“เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันหรอก”
สำหรับในกรณีของโรคระบาดนี้ จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นั้นคือ “การที่เรามองไม่เห็นเชื้อโรค” หรือ “การที่มันเป็นภัยระยะยาว”
นิทชาเคยเขียนไว้ในบทความ “เมื่อแผนในอนาคตไม่เคยเป็นไปตามแผน”
(
https://www.blockdit.com/articles/5e561a0dcba7800c8837c7be/#
)
สมองของเราไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อรับมือกับปัญหาระยะยาว
และเมื่อเรามองไม่เห็นก็ยิ่งทำให้เราไม่มองว่ามีศัตรูหรืออันตราย
เมื่อรวมกับการที่ “เรามีข้อมูลไม่พอ” เข้าไปอีก
จึงกลายเป็นว่าคนกลุ่มนี้จึงคิดไปเองว่า “ก็ปกติหนิ”
วิธีการง่ายๆ ที่จะออกจาก Normalcy bias ด้วยตัวเอง
คือ “การฝึกฝน” ค่ะ
นักจิตวิทยาพบว่า
“การฝึกซ้อม” หรือ “การฝึกซ้อมในใจ (Mental Rehearsal)”
จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมได้ดีเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
เหมือนกับการที่เวลาเดินข้ามถนนหรือเดินบนฟุตบาท
ถ้าเราเตรียมพร้อมว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุ เราก็สังเกตสภาพแวดล้อมดีขึ้น
และพร้อมที่จะหลบหลีกได้รวดเร็วขึ้น โอกาสรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น
เมื่อเทียบกับคนที่เดินข้ามถนนโดยเอาแต่ฟังเพลงในหูฟัง
อีกวิธีการหนึ่งคือ “การทำให้สภาพรอบตัวคนนั้นเปลี่ยนไป”
หรือนักจิตวิทยาเรียกมันว่า “Availability bias”
มันคือการที่สื่อต่างๆ หรือคนรอบข้างทำตัวให้เหมือนไม่ปกติ
เพื่อแก้ปัญหาที่บอกว่า “มองไม่เห็น” จึงไม่คิดว่าอันตราย
จะได้ผลมากยิ่งขึ้นเมื่อมีคนใกล้ตัวประสบด้วยตัวเอง
หรือการได้ยินเรื่องเล่าจากประสบการณ์คนอื่นในสื่อก็เพิ่มความตระหนักได้
ซึ่งเป็นวิธีการที่ “ประเทศจีน” ใช้ในการต่อสู้กับ COVID-19 จนสำเร็จ
และทำไม “ประเทศอิตาลี” ถึงต้องปิดทุกอย่างให้หมดสิ้น
การสร้างสภาพแวดล้อมให้ตระหนักถึงความอันตรายที่มองไม่เห็น
และเรื่องเล่าถึงอาการป่วยและคนตายที่พุ่งไม่หยุดทำให้คนยอมที่จะทำตาม
ในขณะที่ผู้นำ “ประเทศสหรัฐ” และ “ประเทศแม็กซิโก” แสดงออกถึง
ความเป็น “Normalcy bias”
“ปีที่แล้ว ชาวอเมริกัน 37,000 คนจากไข้หวัดธรรมดา...ไม่มีอะไรต้องปิด
ชีวิตและเศรษฐกิจก็ยังดำเนินต่อไป ในตอนนี้ (วันที่ 9 มีนาคม 2020)
มีคนติดเชื้อแค่ 546 คน และตาย 22 ศพ ลองคิดดูสิ”
(ณ วันที่ 25 มีนาคม 2020 มีชาวอเมริกันตาย 782 คน และติดเชื้อ 53,707 คน)
ในวันนี้ชาวอเมริกันยืมประโยคเด็ดของประเทศอังกฤษที่ใช้สู้กับ
นาซีเยอรมัน (ซึ่งถูกต่อต้านอย่างรุนแรงในสมัยนั้น)
มาใช้กับสถานการณ์ที่ COVID-19 กำลังระบาด
นั้นคือ "Keep Calm and Carry On"
คนอเมริกันจำนวนมากยึดถือในคติของเสรีภาพและอิสรภาพ
“ที่นี้คือประเทศอเมริกา และฉันมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ
การกดดันและการประฌามทางสังคมเป็นสิ่งที่ขัดกับประเทศเรา”
คุณ Katie Williams ทวีตแสดงจุดยืนแทนชาวอเมริกัน
แต่ก็มีการต่อต้านที่บอกว่า
“ฉันก็มีสิทธิที่จะไม่ต้องการติดเชื้อจากคนไม่ระวังตัวเช่นกัน”
และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนแนะนำให้ทำ
“Social distancing” เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อ
เพื่อให้คุณหมอได้รักษาคนไข้ได้ทัน
ป้ายไฟที่รถไฟฟ้าใต้ดิน DC | Bill Clark/CQ-Roll Call via Getty Images
ในตอนนี้รัฐบาลเราสั่งให้ปิดห้างสรรพค้าและสถานบริการ
อีกทั้งร้านอาหารก็จำเป็นต้องไล่ลูกค้าให้ไปทานที่บ้าน
ถึงแม้จะเป็นการกรีดเนื้อตัวเอง แต่พวกเขาจำเป็นต้องทำ
เพราะมันคือ “การช่วยชีวิตคน”
นโยบาย คำสั่งหรือข้อปฎิบัติใดๆ ไม่มีทางสำเร็จได้เลย
ถ้าประชาชนไม่ร่วมมือกัน
นิทชาเชื่อว่าความช่วยเหลือของรัฐบาลเอง
ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ครอบคลุมและทั่วถึง
หรืออาจจะดูน้อยไปในสายตาของหลายคน
แต่นิทชาเชื่อว่ารัฐบาลเองก็กำลังวางแผนขั้นต่อไปอยู่
ถึงแม้บางทีมันอาจจะเป็นเพียง Optimism bias ของนิทชาเองก็ตามที
พวกเรานั้นแม้จะห่างกายแต่พวกเราจะไม่ห่างกัน
เรามาช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ตระหนักรู้ เพื่อประเทศของเรา
เพราะพวกเราเชื่อมโยงกันและ COVID-19 ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
(แม้เราจะไม่เต็มใจให้มันมาพิสูจน์เรื่องนี้เลยก็ตาม)
อย่าลืมทำ Social distancing กันนะ
ในคราวหน้าเรามาดูวิธีการ Social distancing จากผู้เชี่ยวชาญ
ที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก (หรืออาจจะจักรวาล)
นั้นคือ "เหล่านักบินอวกาศ" ค่ะ
Reference
As the Coronavirus Approaches, Mexico Looks the Other Way | The Dispatch. Retrieved from
https://youtu.be/o3z-MH-xxdI
Cummins, E. (2020). “I’ll do what I want”: Why the people ignoring social distancing orders just won’t listen. Retrieved from
https://www.vox.com/the-highlight/2020/3/24/21191184/coronavirus-social-distancing-pandemic-spring-break-keep-calm-carry-on
Gordon, A. M. (2020) How Psychological Biases Shaped My Response to This Pandemic. Retrieved from
https://www.psychologytoday.com/us/blog/between-you-and-me/202003/how-psychological-biases-shaped-my-response-pandemic
Ripley, A. (2005). How to Get Out Alive. Retrieved from
http://content.time.com/time/printout/0,8816,1053663,00.html
บันทึก
2
2
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย