27 มี.ค. 2020 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
ค้างคาวเดอะซีรีส์ ตอนที่ 1
ทำไมค้างคาวถึงมีปีก?
ประมาณเดือนที่แล้วผมนั่งฟังข่าววันศุกร์เรื่องพาหะของเชื้อโควิด-19... ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าต้นตอของเชื้อชนิดนี้มีพาหะเป็น"ค้างคาว"
อีโบลาก็มาจากค้างคาว
พิษสุนัขบ้าก็มาจากค้างคาว
โรคซาร์สก็มาจากค้างคาว
ค้างคาวเป็นพาหะของโรคนับร้อยนับพันชนิด
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวผมตอนนั้นก็คือ
ทำไมเป็นค้างคาว?
นั่นคือเหตุผลที่ผมนั่งฟังพี่จั๊ด ธีมะพูดต่อให้จบก่อนจะกดเปลี่ยนช่อง เหตุผลคร่าวๆที่เชื้อมาจากค้างคาว เพราะไลฟ์สไตล์ของค้างคาว ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่น ค้างคาวเลี้ยงลูกด้วยนม ค้างคาวบินได้ และค้างคาวอาศัยอยู่ในถ้ำ...
1
และคำถามที่สองก็ตามมาติดๆ...
ทำไมค้างคาวต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ?
อันนี้ตอนผมฟังพี่เขาไม่ได้บอกละเอียด แต่คร่าวๆก็คือค้างคาวหากินกลางคืน เลยต้องหาที่สงบๆเอาไว้นอนกลางวัน...แต่ในถ้ำก็ดัน มีเชื้อนอนอยู่ด้วย เชื้อก็เลยขอติดออกมา จากนั้นมนุษย์เราก็พามันออกท่องโลกในที่สุด…
การที่เจ้าค้างคาวต้องใช้ชีวิตช่วงกลางคืน
แสดงว่ามันไม่สามารถใช้ชีวิตช่วงกลางวันได้
ทีนี้คำถามที่สามที่ตามมาแน่ๆก็คือ...
แล้วอะไรหล่ะที่ทำให้ค้างคาวในอดีตใช้ชีวิตช่วงกลางวันไม่ได้?
แปลว่าถ้าเราหาคำตอบเรื่อง
ทำไมค้างคาวถึงเลือกใช้ชีวิตกลางคืนได้
เราก็จะตอบได้ว่าทำไมค้างคาวเข้าไปอยู่ในถ้ำ
และถ้าเราตอบได้ว่าทำไมค้างคาวไปอยู่ในถ้ำ
เราก็จะกลับออกมาตอบได้ว่า…
ทำไมค้างคาวถึงเป็นพาหะให้โรคได้นับร้อยนับพันชนิด?
การเดินทางนี้ค่อนข้างยาวพอสมควรเตรียมเสบียงกันไว้ด้วยนะครับ เพราะเราจะอยู่ด้วยกันประมาณสามตอน ส่วนเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร...
มาหาคำตอบกันครับ...
ก่อนอื่น เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมค้างคาวถึงมีปีก?
ทำไมผมเริ่มที่คำถามนี้น่ะเหรอ?
ที่ผมเริ่มที่คำถามนี้ก็เพราะว่า คำตอบของคำถามนี้ล่ะครับ
ที่จะพาเจ้าค้างคาวทั้งหลายไปเจอกับเชื้อไวรัส!
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อยู่ที่ 50 ล้านปีที่แล้ว...
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 50 ล้านปีที่แล้ว ต้นบรรพบุรุษ
ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนค้างคาวในยุคนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
จะคล้ายลิง(ตัวเล็กๆ) ก็ไม่ใช่ จะไปคล้ายชะนีก็ไม่เชิง
แถมไม่ใช่นกมีหูหนูมีปีกอีกต่างหาก
แต่หน้าตาของปู่ย่าตายายค้างคาวสมัยนู้น
ดันไปคล้ายกับลิงชนิดนึงที่ชื่อ "ลีเมอร์"
ว่าแต่เจ้าลีเมอร์นี่มันคือตัวอะไร? จะให้เห็นภาพชัดๆ
ใครเคยดูการ์ตูนมาดากัสการ์บ้างครับ เจ้าลีเมอร์ที่ผมพูดถึง
หน้าตาเหมือนเจ้าคิงจูเลี่ยนนั่นหล่ะ!
จะให้เรียกบรรพบุรุษค้างคาวน่าจะยาวไป ผมจะขอเรียกแทนปู่ย่าตายายค้างคาวที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อจากนี้ ว่าคิงจูเลี่ยนละกัน (ถ้าพูดถึงคิงจูเลี่ยน คือปู่ย่าตายายของค้างคาวเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว)
ในยุคเมื่อ 50 ล้านปีที่แล้วเหมือนเป็นยุคทองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หลังจากที่สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์อย่างไดโนเสาร์ได้สูญพันธุ์ไปเมื่อหลายสิบล้านปีที่แล้ว
ชีวิตประจำวันของราชาผู้นี้ค่อนข้างสุขสบาย นอนตากลมบนกิ่งไม้เย็นๆ พอตกเย็นก็มีเหยื่อมารอให้รับประทาน ไม่ว่าจะเป็นแมลงทั้งหลายหรือผลไม้ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนต้น
เกิดวันไหนผลไม้ขาดตลาด ผลผลิตไตรมาสนี้ไม่ค่อยดี คิงจูเลี่ยนของผมก็ยังมี"ไข่นก" ที่ยังรอให้ชิมได้แบบฟรีๆโดยที่ไม่เก็บเงินย้อนหลังสักบาทเดียว
หรือถ้าวันไหนวัยเจริญพันธุ์ดันผ่านเข้ามา สิ่งที่คิงจูเลี่ยนของผมต้องทำก็แค่ข้ามจากกิ่งนั้นไปกิ่งนี้ และก็ปาร์ตี้กับสาวๆต้นข้างได้แบบสบายๆ
ดูดีไหมครับ ชีวิตราชา ...
แต่ถ้าดีจริงอีกสัก 50 ล้านปีลูกหลานของจูเลี่ยน
คงไม่แปลงร่างติดปีกและบินได้อย่างนกแน่ๆ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?
จากข้างบน ช่วงที่ผมเล่าถึงชีวิตของลิงที่ชื่อลีเมอร์
ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่"พายุ"ยังไม่มา และแน่นอนว่า
จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้ก็คือ พายุที่กำลังจะมา
พายุลูกแรกนี้ เรียกได้ว่าเป็นมารที่แท้จริงของสัตว์ทุกชนิดบนต้นไม้ สัตว์ชนิดนั้นก็คืองู
เหตุผลที่งูอันตรายก็เพราะ..
หนึ่งคือไม่ค่อยเคลื่อนไหว
สองคือสีของตัวกลืนไปกับสีของกิ่งไม้
และสามคือรูปร่างและความปราดเปรียวของร่างกาย
ที่วิวัฒนาการมากินเหยื่อที่เล็กและใหญ่กว่าได้ทั้งหมด
ครบเครื่องนักล่าอย่างแท้จริง
แต่ปัญหายังไม่หมด...
สมมตินะครับสมมติ สมมติถ้าจูเลี่ยนของผม
อยากจะข้ามต้นไม้ จากต้นหนึ่งไปอีกต้นหนึ่ง
จูเลี่ยนจะทำอย่างไรได้บ้าง?
ถ้าดูๆแล้วระยะมันไม่ไกลมาก ก็น่าจะพอวิ่งข้ามไปได้ใช่ไหมครับ หรือถ้าไกลออกมาหน่อย ดูๆแล้วก็น่าจะกระโดดข้ามไปได้
แต่ปัญหาของเรื่องนี้มันอยู่ที่ "ไกลเกินระยะกระโดด"
1
ปัญหาอย่างหนึ่งของการกระโดดก็คือ "ไม่สามารถควบคุมทิศทางที่แน่นอนได้"ซึ่งถ้าเกาะพลาดหรือกระแทกแรงไป ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือตกมาตายเหมือนกัน...
แล้วจูเลี่ยนจะหนีงูได้ยังไง?
กลายเป็นว่าพายุที่เข้ามา แทนที่จะเป็นหนึ่งกลับกลายเป็นสอง
คือทั้งนักล่าที่จะมากิน และการข้ามต้นไม้ที่เสี่ยงอันตรายเหลือเกิน คำถามในตอนนี้ก็คือ แล้วจูเลี่ยนจะแก้ยังไง?
หนึ่งในการปรับตัวที่น่าทึ่งของลิงชนิดนี้เพื่อที่จะ"หนี"นักล่า
และเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของตัวเองก็คือ "การสร้างพังผืด"
ซึ่งพังผืดที่เจ้าจูเลี่ยนสร้างขึ้นมา จะเชื่อมขาหน้ากับขาหลัง
เชื่อมขาหลังเข้ากับส่วนหาง และเชื่อมส่วนหัวเข้ากับส่วนคอ
ด้วยเนื้อหนังที่เหนี่ยวพอและไม่ขาดเอาง่ายๆ
ทีนี้เราลองมากางแขนกางขาของลิงชนิดนี้กัน ถ้าคุณผู้อ่านดึงขามันไปด้านหน้า แล้วผมกางขามันออกไปด้านหลัง จากนั้นดึงหางมันให้ตึงที่สุด คิดว่าหน้าตาของมันจะเหมือนอะไรครับ...
ใช่แล้ว ว่าวนั่นไง
และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เจ้าลิงตัวนี้จะสามารถ"ร่อน"ได้ดั่งใจหวัง ร่อนเพื่อจะหนีสัตว์ที่จะมาล่าก็ได้ หรือร่อนเพื่อจะไปถึงอาหารให้เร็วที่สุดก็ได้ ทำให้การปรับตัวนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอาหารได้อีกทางหนึ่ง
สรุปก็คือ ข้อนี้จูเลี่ยนสอบผ่าน
แต่เครื่องร่อนที่พัฒนาขึ้นมาก็ยังไม่ดีพออยู่ดี...
เรารู้ว่าวันนึงเครื่องร่อนที่ติดอยู่บนตัว
จะเปลี่ยนขั้วกลายเป็นปีกของค้างคาว...
ว่าแต่อะไรหล่ะที่เป็นแรงขับให้จูเลี่ยนรุ่นพ่อต้องพัฒนาปีกขึ้นมาเพื่อให้จูเลี่ยนรุ่นลูกได้ใช้และดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปได้..
พายุลูกที่สองกำลังจะมาครับ...
หนึ่งในสัตว์นักล่าบนท้องฟ้า ที่น่ากลัวไม่แพ้กับงูบนพื้นดิน นั่นก็คือสัตว์ตระกูล"นก" ในที่นี้ผมจะขอเล่าถึงนกอินทรีละกัน
นกอินทรีเป็นนกนักล่าที่ตัวใหญ่มากๆเมื่อเทียบกับนกที่เราเห็นทั่วๆไป อาวุธที่สำคัญของนกอินทรีก็คือ...
จะงอยปากที่งุ้มเป็นตะขอ
กรงเล็บที่ยาวงอและแหลมคม
บวกกับการมีกระดูกที่แข็งแกร่ง
และกล้ามเนื้อที่ทรงพลัง
นั่นทำให้นกอินทรีเป็นหนึ่งในนักล่า ชนิดที่หมาป่ายังต้องเกรงกลัวแต่ยังมีอีกอาวุธสำคัญที่ทำให้นกอินทรีเหนือเหล่านกทั้งปวงนั่นก็คือ "ความเร็ว"
ความเร็วสูงสุดที่นักล่าชนิดนี้ทำได้อยู่ที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเป็นวินาทีก็คือ 42 เมตรต่อวินาที! เร็วขนาดนี้ แค่ร่อนหนีไม่มีทางพ้นแน่นอน...
จะให้เห็นพายุลูกที่สองชัดๆ เรามาสมมติกันอีกรอบ
สมมติว่าเรากำลังนั่งดูการจับกุมของพี่อิน (นกอินทรี)
กับน้องจู (คิงจูเลี่ยน บรรพบุรุษค้างคาว)
เริ่มต้นด้วยน้องจูร่อนหนีพี่อินตั้งแต่ยอดบนสุดของต้นไม้
ช่วงแรกๆ จะดูเหมือนน้องจูได้เปรียบพี่อินอยู่นิดหน่อย
ยิ่งถ้าร่อนหักซ้าย ร่อนหักขวา ก็จะพาให้พี่อินต้องปวดหัว
แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยน…
ทุกครั้งที่น้องจูร่อนออกไปไกลเท่าไหร่ ดูเหมือนความสูงจะเริ่มหล่นหายไปเรื่อยๆระยะห่างระหว่างน้องจูกับพื้นดิน ห่างกันน้อยลงๆ และเมื่อน้องจูถึงพื้นโลก...
หายนะก็จะมาถึงทันที...
ด้วยความที่ขาหน้าและขาหลัง ช่วงคอและช่วงหาง
ถูกยึดติดกันด้วยพังผืดที่รุ่นพ่อๆได้ทำเอาไว้ให้
การจะวิ่งให้ไวและขยับขาให้คล่องเหมือนกระรอกทุกวันนี้
คงจะทำไม่ได้อีกต่อไป...
เพราะหนังที่สร้างมาเพื่อใช้กับการร่อนดันกลายเป็นภาระอย่างมากเวลาอยู่บนพื้นดิน สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้คือ น้องจูจะกระโดดเป็นกบครับ และเมื่อพี่อินมาถึง น้องจูคงไม่มีทางได้ร่อนหนีนักล่าตัวนี้อีกครั้งแน่นอน...
ว่าแต่ปัญหาคืออะไร?
ปัญหาแรกก็คือ เครื่องร่อนที่ใช้มันเพิ่มความสูงไม่ได้ แม้จะเพิ่มได้ด้วยการปีนแต่ในช่วงคับขันอย่างนี้คงไม่ทันเอาชีวิตรอดกลับไปฝากคนที่บ้านแน่ๆ
ปัญหาที่สองก็คือ เนื้อหนังที่สร้างมาใช้ร่อน เทอะทะเกินไป
ทำให้ร่างกายไม่เหมาะที่จะชีวิตบนพื้นโลกอีกแล้ว
คือถึงพื้นดินเมื่อไหร่ ตายอย่างเดียว
และอย่างที่บอกครับ ว่าปีกกำลังจะมา...
ตอนนี้ทางเลือกมีสองทางคือจะสู้ทำเครื่องร่อนให้ดีกว่านี้
หรือจะทำปีกไปวัดกับปีกเอาซะเลย แล้วก็อย่างที่รู้กัน ว่าทางเลือกคือทางที่สองแน่ๆ
สิ่งที่เจ้าคิงจูเลี่ยนทำคร่าวๆก็คือ พัฒนาจากแขนให้กลายเป็นปีกด้วยการยืดนิ้วทั้งหมดออกไปให้ยาวที่สุดและเติมที่ว่างด้วยหนังที่บางมากๆเพิ่มกล้ามเนื้อช่วงอกให้แข็งแรง และลดน้ำหนักของแขนทั้งสองข้างลงไป
เท่านี้บรรพบุรุษของค้างคาวก็มีปีกเอาไว้ใช้หนีเป็นที่เรียบร้อย…
แต่การเดินทางนี้เพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากที่เราได้ปีกมาแล้ว
เรายังต้องหาต่อว่า แล้วปีกที่ได้มาไปสัมพันธ์อะไรกับการอยู่ในถ้ำ?เพราะนั่นคือหัวใจหลักที่จะพาเราไปพบกับคำตอบสุดท้าย...
ก่อนอื่นผมมีฟอสซิลค้างคาวมาให้ดูครับ
ดูๆจากฟอสซิล ค้างคาวในยุคก่อนยังมีทั้งหางและขาที่ยาวแบบสัตว์ทั่วไป ทุกวันนี้เราเห็นค้างคาวมีขาก็จริง แต่กลับใช้เดินไม่ได้เลย ส่วนหางก็สั้นลงหน้าที่หลักๆ ที่เราเห็นกันบ่อยๆก็ใช้แค่ "ห้อยตัว" อยู่บนผนังถ้ำ
คำถามทิ้งท้ายของตอนนี้ก็คือ..
ทำไมค้างคาวมีขาแต่กลับใช้เดินไม่ได้?
แล้วทำไมค้างคาวถึงต้องไปห้อยหัวอยู่บนผนังถ้ำ?
ทั้งหมดนี้เริ่มจากการที่ค้างคาวเลิกใช้เครื่องร่อนและหันมาใช้ปีก แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะมาคุยกันต่อ...
...ในตอนหน้าครับ...
#WDYMean
ถ้าชอบหรือถูกใจก็ฝาก
#กดไลค์ 👍
#กดติดตาม✋
เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับบ😆
รูปภาพประกอบจาก pixabay
อ้างอิงจาก
โฆษณา