27 มี.ค. 2020 เวลา 03:11 • สุขภาพ
สิ่งที่น่ากลัวกว่าไวรัสไม่ใช่ไวรัสแต่กลับเป็นผลลัพธ์หลังจากนั้น
ช่วงนี้ก็เป็นไปไม่ได้เลยนะครับที่จะไม่เห็นข่าวเกี่ยวกับเชื้อไวรัสต่างๆที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในบ้านเรา
ตัวผมเองที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาซึ่งช่วยให้ผมได้คิดทุกอย่างเป็นระบบอย่างมากครับ
เช่นเดียวกับเรื่องไวรัสนี้
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สงคราม แต่เป็นโรคระบาด” บิลล์ เกตต์ เจ้าพ่อของ microsoft ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีได้พูดเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ผมลองมองผลกระทบแบบง่ายๆโดยใช้เศรษฐศาสตร์มาอธิบายให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ
หลังจากเกิดการแพร่ระบาดไวรัส
1) รัฐบาลสั่งปิดสถานที่เสี่ยงเนื่องจากป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากคนไปสู่คน
โดยการที่รัฐบาลสั่งปิดสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุมของคนมากมายนั้นก็เพื่อที่จะช่วยให้เชื้อโรค ไวรัส เข้าไปแพร่กระจายในคนที่กลุ่มเสี่ยงครับ เพื่อที่จะได้ไม่เกิดอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต
2) แรงงานที่ที่เป็นแหล่งการรวมตัวและชุมนุมนั้น เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านต่างๆ ฟิตเนส ไม่ได้ทำงาน
หลังจากปิดสถานที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วนั้น แรงงานที่เกี่ยวข้องกับภาคนั้นๆ เรียกสั้นๆได้ว่าเกิด “ตกงาน” ในแบบชั่วคราว ซึ่งไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน จนกว่าสถานการณ์การระบาดนี้จะคลี่คลายและกลับมาทำงานได้ปกติครับ
3) สำหรับแรงงานที่มีเงินเก็บ เงินสะสม จะได้เห็นความสำคัญของเงินเก็บก็ช่วงเวลานี้ครับ
หลังจากที่ได้เห็นประกาศจากทางรัฐบาลว่าให้อยู่บ้าน จะเกิดความรู้สึกในการอยากซื้อสินค้าในการดำรงชีพมากขึ้นเพื่อที่จะอยู่บ้านได้โดยไม่ออกไปไหน อาหารง่ายๆอยางมาม่า ปลากระป๋อง ข้าวสาร ไข่ไก่ จะถูกซื้อมากขึ้น ตามกฎการตลาด เมื่อความต้องการซื้อสินค้ามากขึ้น ราคาของมันนั้นจะสูงขึ้นไปด้วย เราจะเห็นได้จากราคาไข่ไก่ที่สูงขึ้นครับ
4) สิ่งที่เกิดหลังจากการกักตัว
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เชื้อไวรัส นั้น จำเป็นต้องกักตัวเองอยู่ในพื้นที่ปิด เช่นในบ้าน ในหอพัก
สำหรับคนที่มีค่าใช้จ่ายคงที่นั้น เมื่อขาดรายได้ย่อมเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ว่าตัวเองจะอยู่รอดได้ไหมนั้น ความรู้สึกนึกคิดแรกที่พุ่งเข้ามาในหัวเลยก็คงจะเป็น
“กลับบ้านเกิดดีไหม”
จึงเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน(ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แรงงาน)เกิดขึ้นครับ
เกิดการเคลื่อนย้ายกลุ่มของประชาชนจำนวนมากที่เลือกที่จะกลับบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อความสบายใจ กลับไปหาครอบครัวอย่างไม่มีปัญหาอะไร
ซึ่งกรณีด้านบนจะไม่มีปัญหาก็ต่อเมื่อผู้ที่กลับภูมิลำเนานั้น “ไม่ได้เป็นคนติดเชื้อ” ครับ
5) สำหรับคนที่หลงเหลืออยู่
แน่นอนล่ะครับว่าก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่ต้องกักตัวเองเช่นกัน เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทบทวนตัวเองในการทำงานจากปีที่ผ่านมาว่าเป็นไงบ้าง ได้เลี้ยงแมวแบบจริงจัง ดูซีรีย์แบบไม่ต้องคิดอะไร
อีกกลุ่ม - นั่นจะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่กำลังเกิดขึ้นครับ และเป็นที่มาการประกาศเคอฟิวส์ในช่วงเวลาต่างๆจากทางรัฐบาล
“อาชญกรรม” จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วครับ
6) อาชญากรรม
คนกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีรายได้ ไม่มีแม้แต่เงินเก็บในกระเป๋าหรือบัญชีใดๆนั้น ผสมกับความกลัวที่เกิดขึ้นที่เราเรียกกันว่า “แพนิค” นั้น เป็นความรู้สึกที่อยากเกินกว่าจะเข้าใจ ทำให้คนกลุ่มนี้นั้นเกิดความเครียด
ซึ่งความเครียดที่เกิดนั้น เมื่อรวมกับความเครียดสะสมจากชีวิตที่ผ่านมาจะทำให้มนุษย์เรานั้น
“เกิดคิดสั้นลงมากขึ้น”
มีการฆ่าตัวตาย , มีการก่ออาชญกรรม , การปล้น ชิงทรัพย์ และอื่นๆที่อันตรายต่อชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง
“นี่แหละครับเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดและเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลต้องประกาศแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ขึ้น โดยจำกัดเวลานั้นเป็นช่วงเวลา “กลางคืน” โดยเฉพาะ เพราะนั่นเป็นเวลาที่น่าเป็นห่วงที่สุดครับ”
อย่าพึ่งเครียดไปนะครับ ผมแค่เอามาเล่าสู่กันฟังเฉยๆครับ
เราสามารถป้องกันตัวเองจากเรื่องเหล่านี้ด้วยการผ่อนคลายตัวเองครับ การไม่คิดมากและการคิดบวกกับชีวิตเอาไว้
ในช่วงเวลาแบบนี้เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะตื่นตะหนกตกใจไปกับสิ่งต่างๆรอบตัว
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตอยู่แล้วล่ะครับ มีขึ้นมันก็ต้องมีลงคล้ายๆกับกราฟเศรษฐกิจในวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียนมา
อย่าพึ่งหมดหวังกับชีวิตเลยครับ เรายังมีอะไรที่อยากทำในชีวิตอีกตั้งเยอะแหนะ :)
ผมเป็นกำลังใจให้เสมอครับ
สุดท้าย ชอบบทความอย่าลืมกดไลค์กดแชร์ด้วยเด้อ 555555555 นี่ตื่นมาปุ้ปตั้งหน้าตั้งตาเขียนเลยนะครับ อย่าลืมกดติดตามเพจของผมเอาไว้ด้วยล่ะ มีบทความใหม่ๆจะได้มาเจอกันอีก
ขอบพระคุณ : อาจารย์ที่สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ทุกท่าน
ขอบคุณภาพสวยๆ : Pixabay และ Over application
โฆษณา