28 มี.ค. 2020 เวลา 02:30
ประกัน คืออะไร แล้วสำคัญยังไง?
คำว่า “ประกัน” โดยความหมายแล้วคือการ "การันตี" หรือการ "รับประกัน"
เพื่อให้เกิดความชัวร์ หรือ แน่นอน 100% เพราะฉะนั้นแล้ว แนวคิดของการทำประกันก็คือ คนซื้อต้องการความ "ชัวร์" ว่าจะได้อย่างแน่นอน (ในกรณีประกันชีวิต) หรือเกิดความเสียหายไม่เกินที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน (ในกรณีประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ และประกันทรัพย์สินอื่น)
ยกตัวอย่างสำหรับประกันนะครับ
1. ประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้มครอง (เช่นแบบตลอดชีพ (Whole Life) หรือแบบชั่วระยะเวลา (Term)) มีไว้เพื่อการันตีเงินที่เราต้องการได้รับภายหลังจากที่เรา"เสียชีวิต" ดังนั้น การทำประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้มครองจึงมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการการันตีให้เราแน่ใจว่า ถ้าเราจากไปกะทันหัน ในขณะที่เรามีภาระรับผิดชอบอยู่ จะมีเงินทุนที่เพียงพอไว้ให้คนที่ยังอยู่ได้ใช้ดำเนินชีวิตต่อไปได้เหมือนเดิมอย่างแน่นอน (สำหรับผู้ที่อยากทราบว่าจะคำนวณทุนประกันชีวิตให้เหมาะสมได้อย่างไร คลิกที่นี่ครับ)
2. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) ซึ่งเป็นแบบจ่ายเบี้ยแล้วได้รับเงินคืน หรือก็คือการออมเงินโดยรับประกันว่า ในอนาคตจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนเงินตามที่ตกลงอย่างแน่นอน ไม่มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือได้เงินผิดไปจากที่ตกลงกัน ดังนั้นเป้าหมายของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงใช้เพื่อ “การันตีเงินเป้าหมายในอนาคตที่ต้องการ” มุ่งหวังความแน่นอน มากกว่าเรื่องผลตอบแทนสูงๆ (ดังนั้นจึงไม่ควรเอาประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไปเทียบกับการลงทุน เนื่องจากจุดประสงค์ของสินทรัพย์แต่ละประเภทนั้นต่างกันครับ การลงทุนนั้นต้องการผลตอบแทน แต่ประกันนั้นกลับต้องการความแน่นอน และเมื่อไม่มีความเสี่ยงผลตอบแทนก็จะไม่สูงครับ)
3. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity) ก็เป็นการออมเงินเพื่อการันตีเงินในอนาคตเช่นเดียวกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยที่แบบบำนาญจะเน้นการการันตีเงินในตอนหลังเกษียณโดยสามารถเลือกได้ตั้งแต่อายุ 55, 60 หรือ 65 ปี ที่ต้องการการันตีว่า อยากีได้เงินคืนปีละเท่าไร
4.ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ หรือประกันทรัพย์สินอื่นๆ (เช่นประกันอัคคีภัย ประกันรถยนต์) ก็มีไว้เพื่อการันตีว่า หากเกิดความเสียหายต่อสุขภาพ ร่างกาย หรือทรัพย์สินขึ้นมา ไม่ว่าความเสียหายทางตัวเงินจะมีมากแค่ไหน ก็จะป้องกันความเสียหายไว้ไม่เกินแค่เบี้ยประกันที่จ่ายแน่นอน (เช่น ถ้าเราเกิดประสบอุบัติเหตุต้องเสียค่าผ่าตัดและค่ารักษาพยาบาลรวม 2,000,000 บาท เราอาจไม่ต้องจ่าย 2,000,000 บาท โดยอาจจะจ่ายจริงแค่ 30,000 บาทจากค่าเบี้ยประกันสุขภาพเท่านั้นเอง)
ซึ่งหลายคนอาจมองว่า เบี้ยประกันประเภทนี้เป็นเบี้ยประกันแบบ “จ่ายทิ้ง” แปลว่า ถ้าปีไหนไม่ได้มีการเรียกร้องค่าชดเชยเลยทั้งปี ก็เท่ากับว่าจ่ายทิ้งไปฟรีๆ แล้วคิดว่า “ไม่คุ้ม” เอาซะเลยซึ่งในมุมมองของผมนะครับมองว่า ในความเป็นจริงเราไม่มีทางมั่นใจได้ 100 % หรอกครับว่าตลอดทั้งปีหรือตลอดชีวิตเราคงจะไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่มีทางเป็นโรคร้ายแรง ไม่มีทางประสบอุบัติเหตุ หรือไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายๆกับเราแน่นอน หากเมื่อมันเกิดขึ้น ถึงตอนนั้นมันจะส่งผลกระทบกับการเงินของเรามากแค่ไหน? เงินเก็บทั้งหมดที่เราสะสมมาจะต้องเอาออกมาใช้จัดการกับส่วนนี้แล้วจะเหลือเท่าไหร่? ถ้าเงินเก็บไม่พอจะต้องไปขายทรัพย์สินหรือพอร์ตการลงทุนของเราทิ้งเพื่อนำมาเป็นค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นรึเปล่า? ความเสียหายเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตอาจลุกลามไปถึงทุกส่วนได้
ดังนั้นในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมว่าเราไม่สามารถเปรียบเทียบความคุ้มค่าของการประกันความเสียหายประเภทนี้ไ้หรอกครับเพราะเมื่อถึงเวลาที่เราได้ใช้สิทธิ์จริงถึงแม้ว่าเงินชดเชยมันจะคุ้มแต่เราเองก็ยังมีผลเสียที่จะต้องแบกรับเช่นในเรื่องของชีวิตและสุขภาพเราก็ต้องแบกรับความเจ็บปวดจากการป่วย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆไม่มีใครอยากได้รับความเจ็บปวด ทรมานนั้นมาหรอกครับ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้มากที่สุด คือการจำกัดขอบเขตความเสียหายให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไปแล้วตัวเรารับไหวดีกว่าครับ
ติดตาม secure-investor ได้ที่
Facebook - Secure-investor
โฆษณา