30 มี.ค. 2020 เวลา 10:16 • สุขภาพ
วิตามินซีรักษาโควิด-19 ได้ จริงหรือ
https://www.healthline.com/nutrition/how-much-vitamin-c-should-i-take-daily
จากหัวข้อข่าวโรงพยาบาลในนิวยอร์กใช้วิตามินซีรักษาโควิด-19 โดย Posttoday.com, 25 มี.ค. 2563 เวลา 20:30 น.
ระบุว่าสำนักข่าว New York Post ที่รายงานว่า โรงพยาบาล Northwell Health ในเมืองลองไอส์แลนด์ รัฐนิวยอร์กของสหรัฐ ใช้วิตามินซีรักษาผู้ป่วย Covid-19 เช่นเดียวกับโรงพยาบาลในจีน
แอนดรูว์ จี. เวเบอร์ อายุรแพทย์ระบบหายใจและผู้เชี่ยวชาญด้านเวชบำบัดวิกฤตจากโรงพยาบาล Northwell Health ในลองไอส์แลนด์เผยว่า ผู้ป่วย Covid-19 ที่มีอาการหนักจะได้รับวิตามินซี 1,500 มิลลิกรัมผ่านเส้นเลือดในทันที
และจะให้ซ้ำในปริมาณเดียวกันอีกวันละ 3-4 ครั้ง ควบคู่กับยาอื่น อาทิ ยารักษามาลาเรีย เวเบอร์ยังเผยอีกว่าคนไข้ที่ได้รับวิตามินซีมีอาการดีกว่าคนไข้ที่ไม่ได้รับ
ทั้งนี้ เวเบอร์เผยว่า วิตามินซีที่แพทย์ใช้มีปริมาณมากกว่าปริมาณวิตามินซีที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐแนะนำถึง 16 เท่า เนื่องจากปริมาณวิตามินซีในตัวผู้ป่วย Covid-19 จะลดลงอย่างรวดเร็วหากมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด
นี่คือข้อความที่ระบุไว้ในรายละเอียดข่าว
หากเป็นจริงได้ก็คือว่าเป็นข่าวดีอีกข่าว ดังนั้นเพื่อเพิ่มความกระจ่าง จึงได้ทำการไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาประกอบข้อมูลข้างต้น จากข้อมูลของ Healthlin.com ที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลทางด้านสุขภาพ ของสหรัฐอเมริกา ระบุประโยชน์ของวิตามินซีไว้ดังนี้
วิตามินซี เป็นวิตามินที่จำเป็นของร่างกายที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพ มีหน้าที่หลากหลายในการเชื่อมโยงกับระบบการทำงานในร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์หลักใหญ่ 7 อย่างคือ
1.ลดความเสี่ยงการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เนื่องจากวิตามินซีมีประสิทธิภาพสูงในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยของร่างกาย ซึ่งช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายด้วย และจากการศึกษาก็พบว่าการบริโภควิตามินซีเพิ่มขึ้น สามารถเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดได้ถึง 20% ส่งผลให้ลดการอักเสบของร่างกายไปด้วย
2.ช่วยในการลดความดันโลหิต ความดันโลหิตสูงทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั่วโลก การศึกษาพบว่าวิตามินซีช่วยลดความดันโลหิตในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงได้
3.ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ มีการศึกษาที่มีผู้เข้าร่วมถึง 293,172 คน พบว่าหลังจากนั้น 10 ปีคนที่รับประทานวิตามินซีอย่างน้อย 700 มก./วัน มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำกว่า 25% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานวิตามินซี พบว่าการรับประทานวิตามินซีเสริม ช่วยลด LDL (ไขมันไม่ดี) คลอเรสเตอรอลลงได้ประมาณ 7.9 mg / dL และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด 20.1 mg / dL
4.ลดระดับกรดยูริคในกระแสเลือดและช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์ อาการโรคเกาต์ปรากฏขึ้นเมื่อพบว่ามีกรดยูริกในเลือดมากเกินไป กรดยูริคเป็นของเสียที่ผลิตโดยร่างกาย หากพบในระดับสูงอาจตกผลึกและสะสมในข้อต่อทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บปวดได้
5.ป้องกันการขาดธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อระบบการทำงานในร่างกาย มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงและการลำเลียงออกซิเจนไปทั่วร่างกาย วิตามินซีสามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร และยังช่วยในการเปลี่ยนธาตุเหล็กที่ดูดซึมได้ไม่ดี อย่างเช่นแหล่งธาตุเหล็กจากพืชให้อยู่ในรูปแบบที่ง่ายต่อการดูดซึม
การบริโภควิตามินซีเพียง 100 มก. อาจช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ถึง 67% จากการศึกษาพบว่าเด็ก 65 คนที่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเล็กน้อย เมื่อได้รับวิตามินซีเสริมนักวิจัยพบว่าช่วยควบคุมภาวะโลหิตจาง หากในกระแสเลือดมีระดับธาตุเหล็กต่ำ การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีมากขึ้นหรือรับประทานวิตามินซีอาจช่วยเพิ่มระดับธาตุเหล็กในเลือดได้
6.ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน วิตามินซีมีส่วนช่วยในการเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
ประการแรกวิตามินซีช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าลิมโฟไซต์ (Lymphocytes)และ ฟาโกไชต์ (Phagocytes) ซึ่งช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อ
ประการที่สองวิตามินซีช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในขณะเม็ดเลือดขาวทำลังทำงาน เพื่อปกป้องร่างกายจากโมเลกุลที่อาจเป็นอันตรายอย่างเช่นอนุมูลอิสระ
ประการที่สามวิตามินซีเป็นส่วนสำคัญของระบบการป้องกันของผิวหนัง สามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของผิวด้วย
จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการรับประทานวิตามินซีอาจช่วยลดระยะเวลาในการรักษาบาดแผลด้วย
การทีมีระดับวิตามินซีที่ต่ำในกระแสเลือดพบว่าเชื่อมโยงผกพันโดยตรงกับสุขภาพที่ไม่ดี
พบว่าผู้ที่เป็นโรคปอดบวมมักจะมีระดับวิตามินซีต่ำ การรับประทานวิตามินซีเสริมช่วยลดระยะเวลาการพักฟื้น
7.ป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าความเครียดที่ทำให้เกิดออกซิเดชัน (Oxidation) และการอักเสบที่อยู่ใกล้กับสมอง กระดูกสันหลังและเส้นประสาท (ที่เป็นระบบประสาทส่วนกลาง) ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง หากพบวิตามินซีในระดับต่ำมีการเชื่อมโยงกับความสามารถในการคิดและจำที่บกพร่อง นอกจากนี้การได้รับวิตามินซีสูงจากอาหารหรืออาหารเสริมนั้นมีผลต่อการคิดและความจำเมื่ออายุมากขึ้น
ข้อที่เห็นได้ชัดเจนว่าวิตามินซีช่วยในการรักษา Covid19 ได้คือข้อที่ 1 และข้อที่ 6 ที่ช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระและการเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายในเอง
แต่ทว่าวิตามินซีโดยทั่วไปจะละลายในน้ำ จึงทำให้มีข้อจำกัดของระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่สั้นเพราะร่างกายจะขับออกไปอย่างรวดเร็วทางปัสสาวะ การรับประทานวิตามินซีเสริมทุกวันจึงมีความจำเป็นเพราะร่างกายสร้างเองไม่ได้
อย่างไรก็ตามการการรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินอาหารและเกิดนิ่วในไตได้ ผลข้างเคียงเหล่ามักจะเกิดเมื่อพบว่ารับประทานมากกว่า 2,000 มก. ในคราวเดียว ดังนั้นปริมาณสูงสุดที่ยอมรับได้คือ (TUL) 2,000 มก. ต่อวัน
ปริมาณที่แนะนำการบริโภคต่อวัน (Recommended Dietary Allowances-RDA) ดังนี้: https://vegfaqs.com/best-vegan-foods-vitamin-c/
ในความเป็นจริงวิตามินซีส่วนมากอยู่ในรูปของกรดแอสคอร์บิด (Ascorbic Acid) ที่ละลายในน้ำ การบริโภคจำนวนมากๆนอกจากจะไม่ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์แล้ว ยังอาจจะเกิดอาการการนิ่วในไตและอาจเกิดโรคต่างๆตามาในอนาคตเช่นไตวาย เพราะไตต้องทำงานอย่างหนักในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับที่ลดลงได้ด้วย ส่วนประกอบอื่นๆที่ไม่ใช่วิตามินซีก็เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกซื้อด้วยเช่นกัน
การเลือกซื้อวิตามินซีที่อยู่ในท้องตลาดที่มีมากมายหลากยี่ห้อ ที่ส่วนมาก็มุ่งไปยังความเข้มข้น แต่แท้ที่จริงแล้วเราต้องคำนึงถึงการคงอยู่ของวิตามินซีในกระแสเลือดมากกว่า เพราะความต้องการที่แท้จริงที่ RDA แนะนำสูงสุดคือ 120 มิลิกรัม/วัน
โฆษณา