3 เม.ย. 2020 เวลา 11:00 • กีฬา
" แจ็คกี้ ผู้เป็นตำนาน "
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ครอบครัวนักกีฬา ครอบครัวนักฟุตบอล เรื่องเหล่านี้เราผ่านตากันมาเยอะแล้ว
 
ทว่ากี่ครั้งกี่หนก็ยังรู้สึกอดทึ่งไม่ได้ว่าการที่ญาติพี่น้อง พ่อลูก จะสามารถก้าวไปเป็นนักเตะอาชีพระดับท็อปได้หมด
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเกิดขึ้น แต่เรื่องแบบนี้มันก็มีอยู่จริง
 
ทุกคนรู้ดีว่าพี่น้องชาร์ลตัน คือตำนาน ของทีมชาติอังกฤษ คนหนึ่งกองหลัง คนหนึ่งมิดฟิลด์ตัวรุก ช่วยกันพาสิงโตคำรามคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1966
บ็อบบี้ หรือ โรเบิร์ต คนน้อง ตั้งใจเล่นฟุตบอลและก้าวสู่การเป็นตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่แรกเริ่ม
 
แจ็ค คนพี่ ไม่ได้อยากเป็นนักเตะแต่แรก ทว่าไม่อยากต้องไปทำงานในเหมือง ซึ่งถือเป็นงานที่หนัก ค่าแรงน้อย เลยตัดสินใจไปทดสอบฝีเท้ากับ ลีดส์ ซึ่ง แจ็ค มิลเบิร์น กับ จิม มิลเบิร์น ลุงของเขาเป็นนักเตะอยู่ และเขาก็ได้กลายเป็นตำนานของ ลีดส์ ที่ยิ่งกว่าลุงของเขา
 
นอกจาก แจ็ค กับ จิม แล้วยังมีลุง จอร์จ อีกคนที่เล่นให้ลีดส์ ส่วนลุง สแตน เป็นตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้
 
ครอบครัว ชาร์ลตัน เกี่ยวโยงกับครอบครัว มิลเบิร์น ทั้งสองครอบครัวเป็นคนที่แอชเชอร์ตัน ในนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ เหนือขึ้นไปจากไทน์ เวียร์ เป็นชาวอีสาน กันทั้งหมด
 
เอลิซาเบ็ธ มิลเบิร์น หรือ "ซิสซี่" น้องสาวของครอบครัว มิลเบิร์น มาแต่งงานกับ โรเบิร์ต วัลเลซ ชาร์ลตัน และมีบุตรชายด้วยกัน 4 คน 2 ในนั้นคือ แจ็ค กับ บ็อบบี้ นั่นเอง
 
ขณะที่ทางฝั่งตระกูล มิลเบิร์น ก็ยังมีนักเตะเก่งอยู่อีกคน
 
"ลุง" ของ แจ็ค, จิม, จอร์จ, สแตน และ ซิสซี่ มีชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ มิลเบิร์น
 
อเล็กซานเดอร์ มิลเบิร์น เทียบกันก็คือ "พี่ชายของคุณตา" ของ แจ็ค และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน นั่นเอง
 
อเล็กซานเดอร์ มีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อว่า แจ็คกี้ มิลเบิร์น
(อย่าเพิ่ง งง เพราะฝรั่งสมัยก่อน มักตั้งชื่อซ้่ำไปซ้ำมาอยู่ไม่กี่ชื่อ)
 
แจ็คกี้ มิลเบิร์น คนนี้ พูดไปก็คือลูกพี่ลูกน้องของ แจ็ค, จิม, จอร์จ, สแตน และ ซิสซี่ นั่นเอง
เขาคือตำนานกองหน้าของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
 
ทั้งที่เป็นทีมใหญ่ แฟนบอลจอร์ดี้ ได้ชือว่าเป็นยอดกองเชียร์ และมีคุณสมบัติมากมายพอที่จะก้าวมาเป็นทีมชั้นนำ แต่แชมป์เมเจอร์หนสุดท้ายของทีม สาลิกาดง ย้อนไปไกลมากกว่า 60 ปี หรือก็คือเอฟเอ คัพ ปี 1955
 
ยุคต้นทศวรรษที่ 50 นั้น ถือได้ว่า นิวคาสเซิ่ล เป็นเจ้าพ่อบอลถ้วยตัวจริง เมื่อพวกเขาได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ถึง 3 หนใกล้ๆ กันในปี 1951, 1952 และ 1955
 
ฮีโร่ในเวลานั้นของเหล่าจอร์ดี้ คือ จอห์น เอ็ดเวิร์ด ธอมป์สัน มิลเบิร์น หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า แจ็คกี้ มิลเบิร์น คนที่เรากำลังพูดถึงนี่แหละ
 
ก่อนที่ อลัน เชียร์เรอร์ จะย้ายจาก แบล็คเบิร์น มาสวมเบอร์ 9 ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค และกลายเป็นเจ้าของสถิติยิง 206 ประตูจาก 404 นัดนั้น แจ็คกี้ มิลเบิร์น คือเจ้าของสถิติยิงเยอะสุดของสโมสรที่ 200 ประตูจาก 397 นัด
แจ็คกี้ มิลเบิร์น ทำประตูในนัดชิงชนะเลิศ 2 จาก 3 หนที่ สาลิกาดงได้แชมป์ช่วงดังกล่าว
 
เขาทำคนเดียว 2 ลูก ในนัดชิงปี 1951 ให้ทีมชนะ แบล็คพูล 2-0, ปี 1952 ทีมชนะ อาร์เซน่อล 1-0 โดยคนทำประตูคือ จอร์จ โรเบลโด้ และในปี 1955 เขาทำประตูแรกตั้งแต่ 45 วินาทีแรก ในชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ 3-1
 
เป็นที่รู้กันว่า แฟนบอล เดอะ แม็กไพส์ นั้นหลงไหลและรักเหล่ากองหน้าอย่างมาก
 
แจ็คกี้ มิลเบิร์น ก็ถือเป็นลูกหม้อขนานแท้ของทีมด้วย เขามาลองเล่นเกมทดสอบฝีเท้ากับ นิวคาสเซิ่ล ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค ในปี 1943 ตอนนั้นเขาอายุได้ 19 ปี
 
ในเกมทดสอบฝีเท้านัดที่ 2 มิลเบิร์น ทำ 6 ประตูใน 45 นาทีหลังของเกม และได้กลายมาเป็นนักเตะของสาลิกาดงเต็มตัว
 
เกมนัดแรกอย่างเป็นทางการของเขาเกิดขึ้นใน เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1945/46 โดยตอนแรก เขาโดนจับเล่นปีกซ้าย เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง ชาร์ลี เวย์แมน
 
อย่างไรก็ดี เวย์แมน โดนดร็อปก่อนเกมเจอ ชาร์ลตัน แชมป์ในบั้นปลาย ในเอฟเอ คัพ ปี 1946/47 และทีมแพ้ไป 0-4 ทำให้ เวย์แมน ลั่นวาจาจะไม่เล่นให้ นิวคาสเซิ่ล อีกต่อไป
 
จอร์จ มาร์ติน กุนซือสาลิกาดงในตอนนั้น เลยตัดสินใจส่ง มิลเบิร์น เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าและมอบหมายเลข 9 ให้ ในเกมต่อไปวันที่ 18 ตุลาคม 1947 และได้บันทึกไว้ว่าเขาทำแฮททริกได้ทันที
นอกจากฝีเท้าการถล่มประตูอันยอดเยี่ยมแล้ว สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟนๆ มากยิ่งขึ้นคือบุคคลิกของเขา
 
เขาขี้อาย และอ่อนน้อม และบางครั้งค่อนข้างเงียบ ตรงข้ามกับความเฉียบในสนาม
 
แจ็คกี้ มิลเบิร์น อำลา นิวคาสเซิ่ลไปในปี 1957 ด้วยวัย 33 ปี ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ ลินฟิลด์ ทีมในลีกไอร์แลนด์เหนือ
 
ด้วยฝีเท้าของเขา แต่ด้วยมาตรฐานลีกที่ต่ำกว่าในอังกฤษ เขายิงไปถึง 68 ลูกจาก 54 เกม และแขวนสตั๊ดหลังจากนั้นอีกเล็กน้อยในปี 1962
 
หลังเลิกเล่นเขากลายเป็นนักข่าวฟุตบอลให้กับ นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ ก่อนจะได้รับเกียรติให้มี เทสติโมเนียล แม็ทช์ ในเซนต์ เจมส์ พาร์ค ในปี 1967 ซึ่งมีแฟนบอลกว่า 45,000 คนเข้ามาเป็นสักขีพยาน
 
น่าเสียดาย แจ็คกี้ มิลเบิร์น เสียชีวิตด้วยวัยแค่ 64 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอดเมื่อ 9 ตุลาคม 1988
ทว่าชื่อของเขาจะไม่มีวันถูกลืม เพราะอัฒจันทร์ฝั่งตะวันตกของ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ถูกตั้งว่า "มิลเบิร์น แสตนด์" เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานผู้นี้
 
แจ็คกี้ มิลเบิร์น อีกหนึ่งยอดนักเตะจากครอบครัว มิลเบิร์น-ชาร์ลตัน แห่งแอชเชอร์ตัน, นอร์ทธัมเบอร์แลนด์
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
โฆษณา