5 เม.ย. 2020 เวลา 12:40 • กีฬา
ครั้งหนึ่งฟุตบอลทีมชาติไทยเคยชูธงไตรรงค์บนเวทีโอลิมปิก ที่ออสเตรเลียและเม็กซิโก
"โอลิมปิก" มหกรรมกีฬาระดับโลก ที่นักกีฬาทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมแข่งขัน แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่หากครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีชื่อและธงชาติติดอยู่บนหน้าอก ก็ถือเป็นเกียรติประวัติที่สูงสุดของชีวิตนักกีฬาแล้ว
และนี่ถือเป็นเรื่องราวอันเป็นเกียรติประวัติของวงการฟุตบอลไทยเช่นกัน เมื่อนักฟุตบอลไทยเคยได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2 ครั้ง ในปี 1956 ที่ออสเตรเลีย และ ปี 1968 ที่เม็กซิโก
โดยในปี 1956 เป็นปีแรกที่ไทยมีโอกาสเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ทำให้สมาคมฟุตไทยโดย พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร ทำการรวบรวมนักฟุตบอลที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยมีจากทุกสโมสรทุกกลุ่มเยาวชนทั่วประเทศ เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนทีมชาติไทยไปแข่งขัน
ภาพจาก www.GuideUbon.com
และนี่ก็ถือเป็นงานยากที่สุดของสมาคมฟุตบอลไทยเช่นกัน เพราะการจะเข้าไปแข่งขันในรายการกีฬาระดับนี้ได้ ถือเป็นเรื่องที่ยากและหินมากๆ นั่นทำให้สมาคมต้องคัดเลือกนักกีฬาอย่างเข้มข้น จนกระทั้งจากการคัดเลือกนักฟุตบอลจากหลายร้อยคน ก็ทำให้สมาคมได้รายชื่อตัวแทนทีมชาติไทยทั้ง 13 รายชื่อ ดังนี้
เกษม ใบคำ (ผู้รักษาประตู)
ประทีป เจิมอุทัย
สุรพงษ์ ชุติมาวงศ์
ประสันต์ สุวรรณสิทธิ์
โสภณ หะยาจันทรา
วันชัย สุวารี
สุกิจ จิตรานุเคราะห์
วิวัฒน์ มิลินทจินดา
บำเพ็ญ ลัทธิมนต์
สุชาติ มุทุกันฑ์
สำรวย ไชยยงค์
นิตย์ ศรียาภัย (สำรอง)
ตุ๊ สุวณิชย์ (สำรอง)
ซึ่งทั้ง 13 รายชื่อดังกล่าว ถือเป็นนักเตะไทยที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น และพร้อมเข้าร่วมเป็นตัวแทนทีมชาติไทยกับรายการการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ประเทศออสเตรเลีย
โดยขณะนั้น กีฬาฟุตบอลในโอลิมปิกเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก นั่นหมายความว่า หากนัดแรกทีมชาติไทยแพ้ จะตกรอบกลับบ้านโดยทันที
นี่จึงเป็นการเดิมพันของชีวิตนักกีฬากับความหวังของคนทั้งประเทศ
และเมื่อการจับฉลากมาถึง ทีมชาติแรกที่ไทยจะลงปะทะก็คือ "สหราชอาณาจักร" หรือทีมชาติอังกฤษ หนึ่งในทีมฟุตบอลชั้นนำของโลก ดีกรีแชมป์ฟุตบอลโอลิมปิก 3 สมัย!! กำหนดการแข่งขันวันที่ 26 พฤศจิกายน 1956
ภาพจาก transfermarkt
ซึ่งเมื่อทั้งสองทีมชาติลงเล่นเตะพร้อมกันในสนาม ก็ทำให้ทีมชาติไทยต้องเจอกับคำว่า "ของจริง" เพราะอังกฤษไล่บีบแต่เพียงฝ่ายเดียว จนผลสกอร์ออกมาเป็นทีมชาติไทยแพ้ทีมชาติอังกฤษไป 9-0 !!!
นั่นส่งผลให้ทีมชาติไทยตกรอบแรกโดยทันที และหลังจากการครั้งแข่งขันเพียง 2 วัน ก็ทำให้หนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน พาดหัวข่าวว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9-0"
ส่วมแชมป์ฟุตบอลโอลิมปิกในปีนั้น คือ สหภาพโซเวียต ด้วยการเอาชนะทีมชาติยูโกสลาเวีย 1-0 ในรอบสุดท้าย
การแข่งขันในปีนั้้นจบลงเพียงเท่านี้
แต่ในอีก 12 ปีต่อมา โอกาสของทีมชาติไทยก็มาถึง เมื่อฟุตบอลทีมชาติไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมมหกรรมโอลิมปิก ที่ประเทศเม็กซิโก ปี 1968 ครั้งที่ 19 อีกครั้ง
ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองที่ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมรายการโอลิมปิก และถือเป็นโอกาสที่ยากมาก ๆ ที่จะได้ลงเล่นในเกมระดับนี้ หลังจากไม่สามารถเข้ารอบไปแข่งขันได้ถึง 12 ปี ดังนั้นทางสมาคมฟุตบอล จึงต้องทำการคัดเลือกนักฟุตบอลจากทุกสโมสรทั่วประเทศอย่างเข้มข้น เพื่อหาตัวแทนทีมชาติไทยเพียง 18 คน เท่านั้น ที่จะได้ไปแก้มือและสู้ศึกฟุตบอลโอลิมปิกอีกครั้งหนึ่ง
โดยจากการคัดเลือกเหล่านักฟุตบอลจากทั่วทุกสโมสร ก็ได้รายชื่อนักเตะ ทั้ง 18 คน ดังนี้
สราวุธ ประทีปากรชัย
เชาว์ อ่อนเอี่ยม
ยงยุทธ สังขโกวิท
ประโยค สุทธิสง่า
จีระวัฒน์ พิมพะวาทิน
ณรงค์ ทองเปลว
ไพบูลย์ อัญญะโพธิ์
สนอง ไชยยงค์
ณรงค์ สังขสุวรรณ
สุพจน์ พานิช
ชัชชัย พหลแพทย์
วิชัย แสงธรรมกิจกูล
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์
ประเดิม ม่วงเกษม
อุดมศิลป์ สอนบุตรนาค
เกรียงศักดิ์ นุกูลสมปรารถนา
เกรียงศักดิ์ วิมลเศรษฐ์
บุญเลิศ นิลภิรมย์
โดยทั้ง 18 รายชื่อนี้ เป็นการคัดเลือกนักเตะที่ดีที่สุดและพร้อมที่สุด ณ เวลานั้น ก่อนจะเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 19 ที่ประเทศเม็กซิโก
ซึ่งครั้งนี้เป็นการแข่งขันแบบจับกลุ่ม โดยไทยอยู่ในกลุ่ม D ร่วมกับ กัวเตมาลา เชโกสโลวาเกีย และบัลแกเรีย
โดยผลการแข่งขันทั้งหมด เป็นดังนี้
บัลแกเรีย 1-0 ไทย
กัวเตมาลา 4-1 ไทย
เชโกสโลวาเกีย 5-0 ไทย
ทีมชาติไทยพ่ายแพ้ทุกประเทศในกลุ่มและตกรอบไป แต่ก็ได้เกิดประวัติศาตร์ครั้งสำคัญ เพราะทีมชาติไทยสามารถยิง 1 ลูก ใส่กัวเตมาลา ในนาทีที่ 44 โดย อุดมศิลป์ สอนบุตรนาค ซึ่งเป็นประตูแรกและประตูเดียวในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยในโอลิมปิก
และหลังจากจบการแข่งขันในครั้งนั้น ฟุตบอลทีมชาติไทยก็ไม่เคยเข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิกได้อีกเลย
และนี่ก็ถือเป็นเรื่องราวที่เป็นเกียรติประวัติแก่วงการฟุตบอลไทย ที่ครั้งหนึ่งได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้จะพ่ายแพ้ตกรอบ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ในความทรงจำและเป็นเป้าหมายที่สมาคมฟุตบอลไทยต้องตามรอยเหล่ารุ่นพี่ไปแข่งโอลิมปิก "ครั้งที่ 3" ให้ได้อีกครั้ง
♥️
รัก
โฆษณา