7 เม.ย. 2020 เวลา 15:26 • การศึกษา
อีกบทความที่มีประโยชน์และได้ความรู้ เรื่องCOVID-19
วันนี้จะมาเขียนเรื่องสถานการณ์ Covid-19 ต่อนะครับ โดยจะเน้นไปเรื่องความคืบหน้าในการทดลอง vaccine หรือยารักษา เพราะตอนนี้มีข่าวมากมายว่าเจอยา เจอ vaccine แล้ว ฯลฯ ปลิวว่อนอยู่ใน internet ผมอยากให้พวกเรามีความรู้รอบตัวเกี่ยวกับโรคนี้จริงๆครับ จะได้ตัดสินใจบางอย่างถูก
ก่อนอื่นต้องมาเข้าใจก่อนว่า Corronavirus นี่คืออะไร?
Virus กับเชื้อโรค (bacteria) นี่ต่างกันนะครับ
Bacteria เป็นสิ่งมีชีวิต มี nucleus ที่มี DNA อยู่ข้างใน ล้อมรอบโดย cytoplasm และหุ้มด้วย membrane
ส่วน virus เป็นแค่ DNA หรือ RNA หุ้มด้วยไขมันบางๆ คือเป็นแค่รหัสของสิ่งมีชีวิต แต่ตัวมันเองไม่มีชีวิต มันเหมือนกาฝากที่ต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นขยายพันธุ์โดยการฉีดตัวเองเข้าไป และหลอกให้เซลล์ผลิตก็อปปี้ของตัวมันเองออกมา (replicate) โดย Covid19 นี้เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชื่อ SARS CoV2 คือตระกูลเดียวกับ SARS และ MERS หรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจอื่นๆอีก 2-3 อย่าง
Coronavirus ตัวนี้เป็น RNA ครับ คือเป็นรหัสเส้นเดียว ต่างจาก DNA ซึ่งเป็นรหัสที่มี 2 เส้นไขว้กันเป็น helix การที่มีเส้นเดียวทำให้มันกลายพันธุ์ง่าย (mutate)
พวกเราคงเคยเห็นรูป coronavirus แล้วนะครับ มันคือ RNA ที่ล้อมรอบด้วยโปรตีน (spike protein) ที่เหมือนกุญแจ
เซลล์ปอดของเรามี ACE2 Receptor ที่เป็นเหมือนรูกุญแจที่ไอ้ไวรัสนี้มาไขได้พอดี มันเลยฉีดตัวเองเข้าไปและเริ่มหลอกให้เซลล์ของเราก็อปปี้ตัวมันออกมา เพราะเซลล์ของเราโดยปกติจะส่ง mRNA (messenger RNA) ออกมาจาก nucleus ออกมาใน cytoplasm เพื่อเป็นแบบกรรมพันธุ์ให้เซลล์ของเราสร้างต่อๆไป แต่พอเจอ RNA ของไวรัส เซลล์ก็เหมือนถูกหลอกให้เป็นเครื่อง Xerox ก็อปปี้มันออกมาเต็มไปหมด และก็อปปี้ของมัน (replicates) ก็จะออกมาโจมตีเซลล์ตัวอื่นๆต่อไป
ร่างกายของมนุษย์ความจริงมีภูมิคุ้มกัน โดยมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่จะสร้าง antibody ออกมาเมื่อเจอสิ่งแปลกปลอม (antigen) Antibody นี่ก็เหมือนกับตัวปิดหัวกุญแจ ที่จะไปล็อกกับ spike protein ของไวรัส ทำให้ไวรัสเกาะกับเซลล์ไม่ได้ แต่เพราะ SARS CoV2 นี้เป็นตัวใหม่ ร่างกายของเราไม่เคยเห็น เพราะเพิ่งโดดข้ามสายพันธ์มาจากค้างคาว (Zoonotic transmission) ร่างกายก็เลยอาจจะสร้าง antibody ไม่ทัน มันขยายพันธุ์เร็ว ร่างกายกำจัดมันไม่ทันก็เลยอาการทรุดก่อน แต่ถ้าคนที่หายจากโรคนี้ ก็จะมี antibody ตัวนี้อยู่ตลอดไป และไม่น่าจะติดเชื้อได้อีก นอกจากไวรัสจะ mutate ออกไปอีก
สังเกตนะครับ ไวรัสไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เราจึง”ฆ่า”มันไม่ได้ อย่างมากก็ไปทำให้มันขยายพันธุ์ไม่ได้ หรือให้มันถูกล็อกตัวไว้เท่านั้น ทำให้มันเข้าเซลล์ของเราไม่ได้ และทำอะไรเราไม่ได้
ดังนั้นอะไรที่ปราบมันได้?
สามอย่างครับ คือ vaccine และยารักษา และ convalescent plasma
Vaccine คือตัวที่จะทำให้โรคนี้หมดฤทธิ์ได้จริง แต่กว่าจะมีก็อีก 12-18 เดือน ซึ่งก็จะเป็น vaccine ที่ทดลองให้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์แล้ว เพราะธรรมดาใช้เวลา 5-20 ปี คราวนี้โชคดีที่จีนเมื่อได้เจอ SARS Cov2 ก็ได้รีบถอดแบบพันธุกรรมของมันออกมา (Genome sequence) และเผยแพร่ไปทั่วโลกเพื่อให้ทุกประเทศสามารถช่วยกันคิดค้น vaccine และโชคดีที่เคยมีการวิจัย SARS แล้วบ้าง ก็เลยมีความรู้เดิม จึงสามารถมี vaccine candidates จากหลายๆประเทศพร้อมๆกัน
Vaccine คืออะไร? ทำงานอย่างไร?
Vaccine คือแบบของไวรัสที่เราฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายหัดต่อสู้กับมันโดยการสร้าง antibody ออกมา เมื่อเจอของจริง ร่างกายก็จะสร้าง antibody ออกมาล็อคคอมันไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะเข้าไปในเซลล์ของเรา
Vaccine ทำจากไวรัสที่เสื่อมสภาพ (ตาย)แล้ว หรือไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนแอลง (attenuated) และมีวิวัฒนาการใหม่คือ mRNA vaccine คือฉีดไวรัสจริงๆเข้าไป (แต่เอาส่วนอันตรายออก) และให้เซลล์มนุษย์สร้างไวรัสจริงออกมาให้ร่างกายหัดต่อสู้เลย (จำได้ไหม mRNA คือ messenger RNA ที่เซลล์ของเราจะก็อปปี้ออกมา?)
ตอนนี้มีบริษัทที่มี vaccine candidates มากมายหลายสิบบริษัทในหลายๆประเทศที่วิจัยอยู่ แต่มีสองบริษัทที่ไวกว่าเพื่อน คือ Moderna ใช้ mRNA Vaccine และบริษัท Johnson & Johnson ก็มี vaccine อีกอย่างที่วิจัยแล้วว่าชัวร์มาก แต่อย่างไรก็ดี ทุกอย่างต้องผ่านขั้นตอนในการทดลองเป็นปี คือต้องทดลองในสัตว์ก่อน ซึ่งตอนนี้ทั้งสองบริษัททดลองในสัตว์แล้วผ่าน ก็ได้เริ่มทดลองในคน มีอาสาสมัครหน่วยกล้าตายกลุ่มแรก 30 กว่าคนลองฉีดก่อนแล้วดูว่ามีอันตรายไหม ผ่านไป2-3 เดือนถึงเริ่มทดลองหาว่ายาได้ผลจริงหรือไม่ (Efficacy test) กับผู้ทดสอบอีกเป็นพันคน อีกสองสามรอบอีก 9-18 เดือน
มีคำถามว่าทำไมชัวร์แล้วไม่ใช้เลย?
คำตอบคือ vaccine ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ บางทีวิจัยไม่ดี ฉีดเข้าไปอาจจะทำให้เกิด Vaccine enhancement คือทำให้โรคร้ายแรงขึ้นไปอีก บางที virus ก็ mutate สู้ หรือกันโรคนี้แต่ดันไปเปิดทางให้โรคอื่นเข้ามาแทรกได้ ดังนั้นต้องทดลองในคนอีกเป็นพันๆคนกว่าจะพูดได้ว่าใช้ได้ผลจริง ไม่มีผลข้างเคียง
อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือเมื่อวิจัยว่าใช้ได้แล้ว ต้องมีการผลิตซึ่งหากจะพอให้ประชากรโลก 7 พันล้านคน คงใช้เวลาผลิตเป็นปีๆเพราะ vaccine ส่วนใหญ่ทำจากไข่ ดังนั้นอเมริกาเท่าที่ทราบคือได้เลือกตัวที่มั่นใจ แล้วให้ทุนผลิตเลยวันนี้ หากผ่านไป 12 เดือนแล้วใช้ไม่ได้ ให้โยนทิ้งเลย แต่เวลาเสียไปไม่ได้ และ CEO ของJohnson & Johnson บอกเลยว่าทำให้แบบไม่มีกำไร (แต่ผมสงสัยทำให้แบบไม่มีกำไรเฉพาะอเมริกาประเทศเดียวมั้งครับ เพราะพอพูดเสร็จ หุ้นขึ้นเอาๆ? ประเทศอื่นน่าจะต้องจ่าย และต้องรอไปก่อน ดังนั้นไทยน่าจะรีบๆขอผลิตล่วงหน้าไว้ด้วยหากทำได้ ไม่แน่ใจเรื่องนี้ครับ)
ยารักษา (Therapeutics)
ตอนนี้ยารักษา covid19 แบบตรงๆไม่มีครับ เพราะโรคเพิ่งเกิด มีแต่ยาเก่าๆที่เอามาลองกินดูแบบมั่วๆเผื่อฟลุ๊กได้ผล เป็นการทดลองแบบ compassionate use คือไหนๆก็ไหนๆดีกว่าปล่อยให้อาการหนักหรือตาย แต่การให้ยาลักษณะนี้คงต้องมีการขออนุญาตเป็นเรื่องเป็นราวก่อน เพราะการให้ยาโรคใดโรคหนึ่งคงต้องมีหลักการ ไม่ใช่ว่าหมออยากให้ยาอะไรเท่าไหร่ก็ได้ และโรคนี้เป็นการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นเช่นปอดบวม หายใจไม่ออก (Acute respiratory distress syndrome) หัวใจล้มเหลว หรือตับไตเสีย ยาฆ่าเชื้อ antibiotics ก็แค่กันโรคแทรกซ้อนจาก bacteria อื่นๆ ยา anti viral ก็แค่กันไม่ให้ไวรัสขยายตัวได้ในร่างกายของเรา ฆ่ามันไม่ได้เพราะมันไม่มีอะไรให้”ฆ่า”
สิ่งสำคัญที่ทั่วโลกกำลังสร้างไม่ทันคือเครื่องช่วยหายใจ (ventilator) เพราะคนป่วยส่วนใหญ่จะหายใจไม่ออก หากไม่มีเครื่องช่วยหายใจ อาจจะตายก่อนที่จะช่วยเหลือทัน มีการประมาณการว่าที่อเมริกาต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 9 แสนเครื่อง แต่ทั้งประเทศมีแค่ 160000 ตัว ตอนนี้ Trump ใช้ Defense Production Act คือคำสั่งที่ใช้เฉพาะการผลิตอาวุธในสงคราม บังคับให้บริษัทรถยนต์ช่วยผลิตเครื่อง ventilator นี้แล้ว แต่ไม่น่าจะทันการระบาดรอบนี้
อย่างที่เคยมีข่าวว่ามีการเจอยารักษาแล้วคือ Lopinavir กับ Ritonavir ชึ่งเป็นยา anti viral ใช้รักษา AIDS กับ Ebola มาใช้ร่วมกันแล้วคนไข้ไม่มีไวรัสเหลืออยู่ในร่างกาย ซึ่งเท่าที่ทราบคนไข้บางคนแพ้ยาปางตายก็มี และฝรั่งได้ไปทำ randomized controlled clinical trial แล้ว ปรากฏว่าไม่ได้ผลจริง ดูจากกราฟจะเห็นว่ากินยาหรือไม่กินยาผลเท่ากัน บางทีผู้ป่วยหายเองเพราะร่างกายผลิต antibody ออกมากเอง ไม่เกี่ยวกับยา
Randomized controlled clinical trial คืออะไร?
ก่อนที่ยาจะใช้ได้แต่ละอย่าง ต้องมีการทดลองเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ คือมีการเอาผู้ป่วยชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ สุ่มเลือกออกมาเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้กินยา กลุ่มที่สองให้กินยาปลอม (เพื่อไม่ให้มีผลแม้กระทั่งจิตใจ) แล้วเอาผลที่ได้มาวิเคราะห์ว่ายาได้ผลจริงหรือไม่ ได้ผลในกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ เพศไหน ต้องกินมากแค่ไหน มีผลร้ายข้างเคียงหรือไม่ แล้วค่อย standardize ออกมาให้แพทย์ใช้ให้ถูก dose
ตอนนี้มีการทดลองยามากมายไปหมดหลายร้อยชนิด ทั้งสมุนไพร ใบไม้ ยาขม ฯลฯ แต่อย่างไรๆก็ต้องรอดูผลอีก 2-3 เดือน แต่เท่าที่ดูๆแล้วอย่างที่ว่า ไวรัสไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิต “ฆ่า” มันไม่ได้ อย่างมากก็แค่ล็อกคอมันไม่ให้มันเข้าเซลล์ของเราได้ หรือกันไม่ให้มัน Xerox ตัวของมันในเซลล์ของเรา
ตอนนี้มียาตัวหนึ่งที่กำลังดังว่าอาจจะได้ผล คือ Chloroquine และ Hydroxycholoquine ซึ่งเป็นยาเก่าหลายสิบปีแล้วที่ใช้รักษา malaria ใช้คู่กับ Azithromycin ซึ่งเป็นยารักษาการอักเสบจาก bacteria!!!
คือมีการทดลองในหลอดแก้ว (in vitro) ว่าหากมีสังกะสี (Zinc) ในเซลล์ ไวรัสตัวนี้จะไม่สามารถ replicate ได้ แต่ปัญหาคือในร่างกายมนุษย์ (in vivo) สังกะสีอยู่ระหว่างเซลล์ (intra cellular) แต่ไวรัสมันอยู่ในเซลล์ (inter cellular) ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ Zinc เข้าไปในเซลล์ได้ ปรากฏว่ามีความเป็นไปได้ว่า hydroxychloroquine อาจจะไปมีปฏิกิริยากับเซลล์ของร่างกายให้เป็นกรดน้อยลง ซึ่งไวรัสจะเกาะเซลล์ได้ต้องมีระดับกรดในร่างกายอยู่ประมาณหนึ่ง และยาอาจจะเปิดช่องให้ zinc ถูกดูดซับเข้าไปในเซลล์ได้ ทำให้ไวรัสไม่สามารถ replicate ได้สะดวก
อย่างไรก็ดี ยาทุกขนานในโลกย่อมจะมีผลข้างเคียง ซึ่งยาตัวนี้กำลังถูกทดลองอยู่ว่าได้ผลจริงหรือเปล่าโดย randomized controlled clinical test เพราะเดิมยามีผลทำให้หัวใจเต้นไม่ปกติ เร็วไปช้าไป (Arrhythmia) ในน้อยรายอาจจะหัวใจวายได้ และกินในระยะยาวอาจจะมีผลกับประสาทตาได้ และอย่างว่า ทดลองในหลอดแก้วกับชีวิตจริงก็อาจจะได้ผลไม่เท่ากัน หรือ dose ที่ต้องใช้อาจจะมากจนร่างกายรับไม่ได้ก็ได้ หรือว่าต้องกินตอนไหนของระยะโรค ตั้งแต่ต้นๆ หรือเมื่อมีอาการหนักแล้ว
ตอนนี้มีพวกแพทย์พยาบาลบางประเทศกิน hydroxychloroquine กับ Azithromycin เป็นการป้องกัน แต่ ในการทดลองมีผลบอกว่าไม่ควรเพราะถึงแม้ยาออกมา 40 ปีแล้วและค่อนข้างจะปลอดภัย แต่ยาก็คือยา ยังไงๆก็มีพิษต่อร่างกายบ้าง ไม่เป็นอะไรไม่ควรกิน
อันสุดท้ายคือ convalescent plasma หรือเอาเลือดของผู้ที่เคยป่วย และน่าจะมี antibody ที่เคยเจอกับไวรัสตัวนี้ เอามาสกัด และฉีดให้ผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อเป็นการเร่งให้ร่างกายสามารถสร้าง antibody ให้เร็วขึ้นให้มาล็อกคอไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์ได้มากเกินเยียวยา วิธีนี้เป็นวิธีเก่าแก่ทำมานานในวงการแพทย์แล้วครับ
แต่ต้องรอทดลองอีกเดือนสองเดือนครับ ถึงจะมีผลที่แน่นอนว่ายาตัวไหนใช้ได้ไม่ได้อย่างไร อย่าเพิ่งมีความหวังมากเวลาเจอข่าวอะไรที่ผิวเผิน แต่อย่าติดโรคดีที่สุด ซวยๆต้องเข้าโรงพยาบาล หรือหนักเข้าไป ต้องเข้า ICU ไม่คุ้มหรอกครับ ถึงจะใช้ยารอดออกมาก็คงปอดพังไปเป็นแถบ ไม่รู้จะฟื้นฟูได้หรือเปล่า ความหวังเดียวคือ vaccine ที่จะป้องกันครับ เร็วที่สุดแบบมีปาฎิหาริย์ก็ต้นปีหน้าครับ
อย่าลืมนะครับ ผมไม่ใช่หมอ เพียงแต่ค้นคว้าจากแหล่งข่าวและการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จริงๆมาให้อ่านกัน ให้พวกเราเวลาเจอข่าวต่างๆใน internet จะได้รู้ว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนปลอม หรือพอจะโม้กับเพื่อนๆได้ว่าเรามีความรู้จริง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
ที่สำคัญที่สุดคือหากเรารู้ล่วงหน้าว่าโรคจะหยุดได้เมื่อไหร่ก่อนคนอื่น เราคงมีโอกาสดีๆในการลงทุนนะครับ แต่ตอนนี้ยังมืดมนอยู่นิดๆ
ขอให้ทุกคนสุขภาพดีนะครับ อยู่บ้าน ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือจับหน้าตัวเอง และใส่หน้ากาก (ไม่ใช่ป้องกันตัวเอง แต่กันตัวเองเอาโรคไปแพร่อย่างไม่รู้ตัวนะครับ)
นิรนาม
โฆษณา