8 เม.ย. 2020 เวลา 00:26 • ประวัติศาสตร์
🏆🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 อังกฤษกับตำแหน่งแชมป์โลก
ย้อนไปเมื่อปี 1966
อังกฤษได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก หลังได้รับเสียงโหวตชนะสองผู้ท้าชิงอย่าง เยอรมันตะวันตก และสเปน ซึ่งชาวอังกฤษเชื่อว่าฟุตบอลโลกครั้งนั้นเปรียบเสมือนถ้วยได้กลับคืนสู่แผ่นดินต้นกำเนิดของฟุตบอล
อย่างที่มีการถกเถียงกันมากว่าประเทศใดเป็นผู้คิดค้นกีฬาฟุตบอลขึ้นเป็นประเทศแรก ซึ่งก็มีหลายประเทศที่กล่าวอ้างถึงความเก่าแก่ของการแข่งขันในประเทศของตน เช่น ฝรั่งเศส กับกีฬาที่เรียกว่า ซูเลอร์(Soule) หรืออิตาลี กับกีฬา จิโอโค เดล กัลโช่(Gioco Del Calcio) แต่สุดท้ายแล้วอังกฤษเป็นชาติแรกที่มีการจัดตั้งสมาคมฟุตบอล ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1863
📝 และเป็นต้นกำเนิดของวลี “It’s coming home” ที่เป็นชื่อเพลงเพลงหนึ่ง ซึ่งเราจะได้ยินกันบ่อยในยามที่อังกฤษได้ไปเล่นฟุตบอลโลก(ประมาณว่าปีนี้แหละถ้วยจะเป็นของอังกฤษ 🤣)
เจ้าภาพอังกฤษเลือกใช้มัสคอตเป็นสิงโตหน้าตาใจดี ใส่เสื้อลายธงยูเนี่ยน แจ็คของสหราชอาณาจักร
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้นมีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่าง
หนึ่งคือถ้วย “จูลส์ ริเมต์” ที่ถูกจัดแสดงขึ้นที่เวสต์มินสเตอร์ เซ็นทรัล ฮอลล์ ถูกขโมยหายไป แต่ยังโชคดีที่สามารถตามหาคืนมาได้ในไม่กี่วันให้หลังด้วยฝีมือของกองสุนัขตำรวจลอนดอนและเจ้าสุนัข “พิคเคิ่ลส์”
สองคือทีมจากชาติแอฟริกันรวม 31 ทีม ประท้วงไม่เข้าร่วมการแข่งขัน เนื่องจากฟีฟ่าดันไปสั่งให้แชมป์จากทวีปแอฟริกาต้องไปเพลย์ออฟกับผู้ชนะของเอเชียและโอเชียเนียก่อน จึงจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้ สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ยังดีที่ฟีฟ่ายังสามารถจัดการแข่งขันขึ้นได้โดยเปลี่ยนโควต้า 16 ทีมสุดท้ายออกเป็น
ภาพคลาสสิค : บ็อบบี้ มัวร์ ชูถ้วยเวิลด์คัพ
🚩ยุโรป 10 (บัลแกเรีย,อังกฤษ,ฝรั่งเศส,ฮังการี,อิตาลี,โปรตุเกส, สหภาพโซเวียต,สเปน,สวิสเซอร์แลนด์,เยอรมันตะวันตก)
🚩อเมริกาใต้ 4 (อาร์เจนตินา,บราซิล,ชิลี,อุรุกวัย)
🚩เอเชีย 1 (เกาหลีเหนือ)
🚩อเมริกาเหนือและอเมริกากลาง 1 (เม็กซิโก)
และไม่มีทีมจากแอฟริกา...
🏆 ฟุตบอลโลก 1966 จัดว่าเป็นปีที่การแข่งขันค่อนข้างเข้มข้นมาก มีนักเตะระดับตำนานอยู่แทบทุกชาติ แม้ว่าจะมีการทำประตูกันน้อย ว่ากันว่าเป็นครั้งแรกที่เริ่มมีการวางแท็คติกในการเล่น เพื่อรับมือบรรดาดาวดังอย่าง เปเล่(บราซิล) ยูเซบิโอ(โปรตุเกส) อูเว ซีเลอร์ (เยอรมันตะวันตก) บ็อบบี้ ชาร์ลตัน(อังกฤษ) และอีกหลายคน
นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่น่าจดจำมากมาย เช่น
🇰🇵 เกาหลีเหนือพลิกล็อคเอาชนะอดีตแชมป์โลกอย่างอิตาลี ส่งทีมอัซซูรีกลับบ้านตั้งแต่รอบแรก ส่วนทีมโสมแดงทะลุเข้าไปแพ้โปรตุเกส 5-3 ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการยิงคนเดียว 4 ประตูของ “เสือดำแห่งโมซัมบิค” ยูเซบิโอ
🇧🇷 ทีมแชมป์เก่าและเต็งหนึ่งอย่างบราซิลที่มีเปเล่ การินช่า ทอสเทา กระเด็นตกรอบแรก หลังจากชนะบัลแกเรียในนัดแรก 2-0 แต่ต้องเสียเปเล่ไปจากอาการบาดเจ็บ ทำให้อีกสองนัดไปแพ้ฮังการี และโปรตุเกสยับเยิน โดนยิงไปถึง 6 ประตู
🇩🇪 การแจ้งเกิดของดาวรุ่งชาวเยอรมันตะวันตกวัยเพียง 20 ปี ที่ยิง 2 ประตูใส่สวิสเซอร์แลนด์ในรอบแรก ก่อนจะยิงอีกนัดละประตูในรอบ 8 ทีมและรอบรองชนะเลิศ รวมทำประตูไปถึง 4 ลูก ในตำแหน่งลิเบอโร่ จนคว้าตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ไปครอง “ฟรานซ์ แอนตัน เบ็คเคนบาวเออร์”
และแน่นอน การคว้าแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวของทีมชาติอังกฤษ.....
🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 อังกฤษชุดนั้นประกอบด้วยดาวดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้รักษาประตู กอร์ดอน แบงค์ส กองหลังอย่างกัปตันทีม บ็อบบี้ มัวร์ และจอร์จ โคเฮน กองกลางอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน และ อลัน บอล หรือกองหน้าระดับตำนานอย่าง จิมมี่ กรีฟส์ และแม้ว่าจะเสมอกับอุรุกวัยในนัดแรกของรอบแรก 0-0 แต่ก็มาเก็บชัยชนะได้ในสองนัดหลังกับเม็กซิโก และฝรั่งเศสด้วยสกอร์ 2-0 ทั้ง 2 นัด มี 5 คะแนน (ชนะได้ 2 เสมอได้ 1 และแพ้ได้ 0 แต้ม) เข้ารอบเป็นอันดับที่หนึ่งของกลุ่ม
อย่างไรก็ตามในนัดสุดท้ายของรอบแรกกับฝรั่งเศส จิมมี่ กรีฟส์ ประสบอุบัติเหตุมีแผลแตกที่คางต้องเย็บถึง 14 เข็ม ทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้ในรอบ 8 ทีมที่จะพบกับอาร์เจนตินา
อัลฟ์ แรมซี่ย์ ผู้จัดการทีมจำเป็นจะต้องส่งศูนย์หน้าจากสโมสรเวสต์แฮมที่เพิ่งลงรับใช้ทีมชาติไปเพียง 4 นัดลงแทนกองหน้าตัวเก่ง แต่กองหน้าหนุ่มไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการซัดประตูโทนในนาทีที่ 78 ส่งอาร์เจนตินากลับบ้าน และพาอังกฤษทะลุผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
นาทีนั้นเอง ทั้งโลกได้รู้จัก “จอฟฟรีย์ ชาร์ลส์ เฮิร์สต์” หรือ เซอร์เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ในเวลาต่อมา
อังกฤษต้องต่อสู้กับโปรตุเกสที่มียูเซบิโอในรอบรองชนะเลิศ ทีมสิงโตคำรามใช้ลูกหนักไล่อัดราชาลูกหนังโปรตุเกสจนไม่สามารถทำอะไรได้ถนัด และมาได้สองประตูจากความยอดเยี่ยมของบ็อบบี้ ชาร์ลตันที่เล่นได้โดดเด่นตลอดเกม แม้ว่ายูเซบิโอ จะมายิงจุดโทษตีตื้นได้แต่ก็ไม่ทัน อังกฤษเอาชนะโปรตุเกสไปได้ 2-1 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศกับเยอรมันตะวันตก
ก่อนเกมอังกฤษได้รับข่าวดีเมื่อ จิมมี่ กรีฟส์ หายจากอาการบาดเจ็บและฟิตพอจะลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศได้ ทำให้กุนซืออัลฟ์ แรมซี่ย์ต้องคิดหนักในการเลือกศูนย์หน้า คนหนึ่งคือโรเจอร์ ฮันท์ จากลิเวอร์พูลที่ยิงไปแล้ว 3 ประตูในรายการนี้จะเป็นตัวยืนพื้น ส่วนอีกคนจะต้องเลือกระหว่าง จิมมี่ กรีฟส์ กับ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ และสุดท้ายแล้วแรมซี่ย์เลือกเชื่อใจ เฮิร์สต์ ทำให้ กรีฟส์ ต้องอกหักไม่ได้ลงเล่นเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
เริ่มเกมอังกฤษเป็นฝ่ายเขี่ยลูกเริ่มเล่น และเพียง 12 นาที ซิกฟรีด เฮลด์ เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษ บอลมาเข้าทาง เฮลมุต เฮลเลอร์ยิงเสียบเสาสองให้เยอรมันออกนำ 1-0
อังกฤษมาได้ประตูตีเสมอจากการเปิดฟรีคิกเร็วของ บ็อบบี้ มัวร์ และเป็น เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ที่ตอบแทนความไว้วางใจของ อัลฟ์ แรมซี่ย์ ด้วยการลอยตัวโขกเข้าไปในนาทีที่ 19 สกอร์เป็น 1-1
หลังจากนั้นทั้งสองทีมเปิดแลกกันสนุก แต่ผู้รักษาประตูทั้งสองทีมต่างอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม จนนาทีที่ 77 จากลูกฟรีคิก กองหลังเยอรมันสกัดบอลพลาดบอลมาเข้าทาง มาร์ติน ปีเตอร์ ซัดจ่อๆเข้าไปไม่เหลือ อังกฤษออกนำบ้าง 2-1
เกมทำท่าว่าจะจบอยู่แล้ว แต่จากการโหมบุกท้ายเกมของเยอรมันตะวันตก โวล์ฟกัง เวเบอร์ ซ้ำลูกขลุกขลิกหน้าประตูจ่อๆเข้าไป ในนาทีที่ 89 เป็นประตูเสมอ 2-2 ทำให้ต้องไปตัดสินกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ
และช่วงทดเวลาในนาทีที่ 101 สิ่งที่แฟนบอลอังกฤษรอคอยก็มาถึง เมื่อ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ กลับตัวยิงบริเวณกรอบหกหลา บอลชนคานก่อนตกลงบนเส้นประตูและกระดอนออก แต่กรรมการ กอตต์ฟรีด เดนส์ ชาวสวิสเซอร์แลนด์ และ โทฟิค บาห์ครามอฟ ไลน์แมนชาวอาเซอร์ไบจาน ตัดสินให้เป็นประตู และยังถกเถียงกันมาจนถึงทุกวันนี้ว่าบอลข้ามเส้นไปแล้วหรือไม่
อังกฤษ 3 - 2 เยอรมันตะวันตก
สุดท้ายก่อนจะหมดเวลา 120 นาทีเพียงไม่กี่วินาที คราวนี้ไม่ใช่แค่อังกฤษ แต่เป็นทั้งโลกที่ต้องจดจำชื่อ เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ไปตลอดกาล ในฐานะนักเตะคนเดียวที่ทำแฮตทริค(ยิงคนเดียว 3 ประตู) ได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก เมื่อเขารับบอลทางด้านซ้ายก่อนพาควบเข้าไปยิงแสกหน้า ฮันส์ ทิลคอฟสกี้ เป็นประตูย้ำชัยชนะ และกลายเป็นฮีโร่ผู้พาอังกฤษคว้าแชมป์โลกครั้งแรกได้สำเร็จท่ามกลางแฟนบอลเกือบแสนคนในเวมบลีย์
อังกฤษ 4 - 2 เยอรมันตะวันตก
🏆 บ็อบบี้ มัวร์ เดินนำลูกทีมรับมอบถ้วย “จูลส์ ริเมต์” จากพระหัตถ์ของพระราชินีอลิซาเบธ ที่ 2 และ กอร์ดอน แบงค์ส,จอร์จ โคเฮน,บ็อบบี้ มัวร์,บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ได้ติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ เป็นความทรงจำที่ติดตรึงใจสำหรับแฟนฟุตบอลอังกฤษ
👏🏼👏🏼👏🏼
โฆษณา