Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
NITCHAKARNア
•
ติดตาม
30 พ.ค. 2020 เวลา 11:18 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ทำให้ศาสนาต้องหายไป
ในช่วงจุดพีคของวิกฤติที่ผ่านมา เราเห็นการต่อสู้กับ COVID-19
ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย
แต่ในหนึ่งในรูปแบบที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดในโลกอินเตอร์เนทของไทย คือ
"การสวดมนต์สู้ COVID-19"
“ทำไมความเชื่อเรื่องนี้ถึงยังคงมีอยู่”
ในโลกที่ก้าวหน้ามีอินเตอร์เนทระดับกิกะบิต กับเทคโนโลยีการสื่อสารระดับ 5G และการเดินทางไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารที่ใกล้แค่เอื้อม
ไม่เพียงแค่เรื่องสวดมนต์ แต่ยังมีทั้งการปลุกเสกหน้ากากอนามัย
การพกปรอทกรอ การกระทำต่างๆ ในนามของพุทธศาสนา
แต่เรื่องนี้ไม่จำกัดแค่ในไทย ยังมีให้เห็นในประเทศพัฒนาแล้ว
เช่น เกาหลีใต้ อย่างลัทธิชินชอนจิที่ให้ท่องบทสวด
และตะโกนเสียงดังเพื่อขับไล่เชื้อไวรัส
หรือแม้แต่ในประเทศอังกฤษและอเมริกา
ก็ให้บริการศาสนกิจแบบออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น
“ความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติจะต้องตายหมดไปจากโลกใบนี้ เพราะความพร้อมและการพัฒนาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์”
แอนโทนี วอลเลส (Anthony Wallace) นักมนุษยวิทยาชาวแคนนาดาได้พูดไว้อย่างหนักแน่นเมื่อปี ค.ศ. 1966 หรือราว 54 ปีก่อน
จากผลการสำรวจในทวีปออสเตรเลียและยุโรปตะวันตก
กว่า 30% บอกว่าตัวเองไม่มีศาสนา
3% ในสหรัฐอเมริกาบอกว่าตัวเอง ”ไม่เชื่อในพระเจ้า (Atheist)”
แต่เมื่อสำรวจทั่วโลกทุกศาสนากลับพบว่า
“คนที่เชื่อในศาสนามีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี”
ในปี 2010 - 2015
มีเด็กเกิดใหม่จากแม่ที่ไม่มีศาสนาเพิ่มขึ้น 10% ของประชากรโลก
และมีผู้ไม่นับถือศาสนาเสียชีวิต 15% ของประชากรโลก
ถ้าดูในฝั่งของศาสนา
มีเด็กชาวคริสต์เกิดใหม่จำนวนเพิ่มขึ้น 33%
และชาวคริสต์เสียชีวิต 37%
ขณะที่เด็กชาวมุสลิมนั้นเพิ่มขึ้น 31%
และชาวมุสลิมเสียชีวิต 21%
โดยที่มีจำนวนชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ถ้าเราดูจากเทรนด์ของกราฟ ก็จะสรุปได้ว่า
เด็กที่เกิดมาในศาสนาจะมีจำนวน 7 ใน 10 ของประชากรโลก
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นขนาดนี้
เด็กเกิดใหม่ที่เพิ่มขึ้นกลับยังคงไม่แยกตัวเองออกจากศาสนาอย่างชัดเจน
สาเหตุเป็นเพราะอะไรกันนะ
เมื่อมองให้ลึกลงไปนั้น การที่คนจะนับถือในศาสนาหรือเปล่านั้นไม่ได้เป็นเพราะ “ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์”
แต่กลับเป็นเรื่องของ
“ความรู้สึกด้านความปลอดภัยจากความไม่มั่นคงขั้นพื้นฐานของชีวิต”
สามารถไล่ได้ตั้งแต่การขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ อาหาร
หรือแม้แต่ไฟฟ้า การขนส่ง และอาชญากรรม
ซึ่งสามารถอธิบายได้จากการที่ทำไมประเทศในตะวันวันออกกลาง
หรือมุสลิมจะมีความเชื่อที่เข้มข้นพอๆ กับประเทศอเมริกา
ที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สุดในโลก
เมื่อเราขาดความมั่นคงของความต้องการขั้นพื้นฐาน
มนุษย์จะเริ่มหันหน้าไปหาที่พึ่งที่ทำให้สบายใจได้
ซึ่งก็คือ "ศาสนาและความเชื่อ"
ในประเทศไทยเรามีการห้อยสร้อยพระเพราะเชื่อว่าปัดเป่าโชคร้าย
เช่นเดียวกับศาสนาคริสต์ที่คนห้อยไม้กางเขน
เราชอบดูหมอเพราะอยากรู้อนาคตตัวเองจะเป็นเช่นไร
เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่มีการโยนเหรียญเพื่อขอพรให้อนาคตสมหวัง
สิ่งที่มีเหมือนกันในตัวอย่างข้างบนก็คือ
เราขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตและในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
ทีนี้เรามาดูความเป็นวิทยาศาสตร์ของความเชื่อกันบ้างค่ะ
สิ่งที่เป็นแรงขับดันให้คนเรายังเชื่อในศาสนาสามารถอธิบายได้ด้วย
DNA หรือพันธุกรรมของเรา
สมองของมนุษย์เปรียบเหมือนกับการเอาระบบปฎิบัติการต่างๆ
มาผูกเข้าด้วยกัน เช่น
“สมองสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ (Ancient reptilian brain)” ที่ควบคุมสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดอย่างการสู้หรือหนี
“สมองส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือลิมบิค (Limbic brain)” ที่ควบคุมอารมณ์
และสมองส่วนใหม่ล่าสุดอย่าง “เปลือกใหม่ (Neocortex)” ที่ควบคุมความมีเหตุผล
ความเชื่อและศาสนาจะทำให้สมองส่วนเหตุผลลำบาก
เพราะว่ามันทำให้เวทมนต์และเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นจริงได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน
แต่มันกลับช่วยปลอบโยน ลดความกลัว และส่งเสริมความภักดี
คุณชาจ์ก เพ็งเซปป์ (Jaak Panksepp)
นักประสาทวิทยาศาสตร์แถวหน้าของโลกชาวเอสโธเนีย
ผู้เป็นคนแรกๆ ในการศึกษาเรื่องของอารมณ์มนุษย์ได้บอกไว้ว่า
จิตใจของมนุษย์ถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์อย่าง โกรธ กลัว หลง รัก และเศร้า
ทำให้มนุษชาติดำรงเผ่าพันธ์ุมาได้หลายหมื่นปี
และศาสนาเป็นสิ่งที่กระตุ้นเราในด้านอารมณ์โดยตรง
ศาสนาเข้ามาด้วย “การเล่าเรื่อง” ที่ถูกบันทึกผ่านไบเบิ้ล พระไตรปิฏก
หรือคัมภีร์ของต่างๆ ของแต่ล่ะศาสนา ได้เล่าเรื่องของคนชั่วกลับใจ
ผลของการทำดี แรงสะท้อนของคนชั่ว สร้างความเชื่อมโยงและผูกพันธ์ระหว่างมนุษย์แต่ล่ะคนเข้าด้วยกัน
อย่างที่เราสามารถรวมขึ้นเป็นหมู่บ้าน เป็นเมือง เป็นชาติได้
ก็เพราะเราเชื่อในเรื่องเล่าเดียวกัน หรือการที่ญี่ปุ่นมีความเป็นชาตินิยมสูง
ก็เพราะเรื่องเล่าที่ผู้นำในอดีตเลือกเล่าให้กับประชาชนเช่นกัน
การทำพิธีกรรมทางศาสนาเป็นเหมือนการเข้าสังคมอย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตให้กับสัตว์สังคมอย่างมนุษย์
เมื่อเราสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ศาสนาก็เข้ามาช่วยทำพิธีกรรมที่ช่วยปลอบโยนจิตใจทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนมากมายเช่น โดปามีน ออกซีโทซิน ซึ่งช่วยให้เราสามารถผ่านเหตุการณ์เลวร้ายไปได้
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์นับสิบหรือทฤษฎีทางจิตวิทยานับร้อย
ก็ไม่อาจช่วยปลอบประโลมคุณแม่ที่เพิ่งเสียลูกชายจากการโดนแทงเพียงหนึ่งครั้งได้ แต่ความเชื่อที่บอกว่าเธออาจจะได้เจอลูกชายของเธออีกครั้งในภายภาคหน้าพร้อมกับการกอดแน่นๆ ของผู้ศรัทธาในศาสนาเดียวกันต่างหากที่จะทำให้เธอลุกขึ้นได้อีกครั้ง
แต่บางคนอาจจะถามว่า
"แล้วมันจริงไหมล่ะ ที่จะได้เจอคนที่เสียชีวิตไปแล้วอีกครั้ง"
มันไม่สำคัญเลยค่ะ
สมองส่วนอารมณ์ไม่สนใจว่ามันจริงหรือไม่จริง
"อารมณ์ไม่มีการแยกว่าจริงหรือไม่"
ความกลัวอย่างยิ่งยวดในความฝันก็คือความกลัวอย่างยิ่งยวดอยู่ดี
แม้แต่บุคคลชื่อดังที่ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่าง
คุณริชาร์ด ดอร์กิน (Richard Dawkin) นักชีววิยาวิวัฒนาการ
หรือคุณแซม แฮร์ริส (Sam Harris) นักประสาทวิทยา
ก็สนใจปรากฎการณ์ของศาสนาในระดับสมอง
สมองสัตว์เลื้อยคลานและสมองส่วนอารมณ์นั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น มันทำงานร่วมกันและเอาชนะ “การคัดสรรทางธรรมชาติ (Natural Selection)” มาได้ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าและการเอาตัวรอดโดยแรงขับดันของอารมณ์โกรธ กลัว รัก หรือแม้แต่ความคาดหวังเร็วกว่าการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผลมากนัก
แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับมนุษย์ คือการที่เรารวมสามระบบปฎิบัติการเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นตัวเราได้อย่างไร
ถ้าเราถอยห่างออกมาอีกระดับ ออกมาจากสมอง ออกมานอกร่างกาย เข้าสู่ระดับสังคม ศาสนาเป็นสิ่งที่รวมพวกเราเข้าด้วยกันเป็นสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นประเทศ
เราปฎิบัติต่อกันด้วยศีลธรรมและจริยธรรมที่มีรากฐานมาจากศาสนา
ผู้คนสร้างวัดวาอารามและศาสนสถานที่สวยงามด้วยแรงขับดันของอารมณ์และความเชื่อ
จนกว่าวิทยาศาสตร์จะสามารถทดแทนจริยธรรมด้วยสิ่งที่ดีกว่า ปลอบโยนการสูญเสียด้วยเหตุผลได้ดีกว่า ลบล้างขนบธรรมเนียมเก่าได้หมดสิ้น และสร้างความรู้สึกปลอดภัยในการดำรงชีวิตได้สมบูรณ์แบบ
ศาสนาและความเชื่อจะยังคงมีอยู่ต่อไป และ วิทยาศาสตร์ก็คงจะไม่สามารถทำลายมันได้
Reference
Graza, A. (2020) ‘Faith instead of fear:’ Bishop shares church response to COVID-19 and changes to worship services. Retrieved from
https://www.cbs42.com/news/health/coronavirus/faith-instead-of-fear-bishop-shares-church-response-to-covid-19-and-changes-to-worship-services/
Harrison, P. (2017) Why religion is not going away and science will not destroy it. Retrieved from
https://aeon.co/ideas/why-religion-is-not-going-away-and-science-will-not-destroy-it
Kloor, K. (2012). Why Science Can't Replace Religion. Retrieved from
https://www.discovermagazine.com/the-sciences/why-science-cant-replace-religion
The Changing Global Religious Landscape. Retrieved from
https://www.pewforum.org/2017/04/05/the-changing-global-religious-landscape/
บันทึก
11
2
3
11
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย