9 เม.ย. 2020 เวลา 05:37 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
พวกเราทุกคนเป็นคนดี
“เดี๋ยวก่อนนะ! ไม่จริงน่ะ”
คงเป็นประโยคแรกที่ขึ้นมาในหัวหลายคน
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี นั้น
อยู่ในพันธุกรรมของเราทุกคนค่ะ
วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 2012 วันที่นักจิตวิทยาหนุ่มเฝ้ารอ
มันคือวันที่หนึ่งในวารสารจิตวิทยาแถวหน้าของโลก
ตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่เปิดเผยความลับให้โลกได้รับรู้ว่า
“คนดีมันอยู่ที่ DNA”
คุณไมเคิล พูลิน (Michael Poulin) นักจิตวิทยาหนุ่มผู้นั้น
และคุณแอนเนเค บัฟโฟน (Anneke Buffone) นักจิตวิทยาสาว
จากมหาวิทยาลัยบัฟฟาโล ได้ร่วมกับคุณอี อลิสัน ฮอมัน (E. Alison Holman)
จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียเออร์วิน ในงานวิจัยครั้งสำคัญนี้
พวกเขาได้คิดการทดลองง่ายๆ ขึ้นมา โดยการให้
คนตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับทัศคติตั้งแต่
งานอาสาสมัคร การแจ้งความ การจ่ายภาษี การบริจาคเลือด
จนไปถึงมุมมองของพวกเขาต่อโลกใบนี้ว่าดี แย่ อันตรายยังไง
และคนจำนวน 711 คน ได้ให้ “ตัวอย่างน้ำลาย” ของพวกเขา
เพื่อใช้ในการตรวจ DNA ในการหาว่าคนเหล่านั้นมีตัวรับฮอร์โมนแบบไหน
เพราะคุณพูลินและคณะตั้งสมมติฐานไว้ว่า
ฮอร์โมนออกซิโตซิน (Oxytocin) และ วาโซเปรซซิน (Vasopressin)
มีส่วนอย่างมากต่อการปฎิบัติตัวเองต่อส่วนรวม
-------------------------เกล็ดความรู้-------------------------
Oxytocin มีชื่อเล่นว่าเป็น “ฮอร์โมนแห่งความรัก”
หรือ “สารเคมีแห่งการกอด (Cuddle Chemical)”
เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เกิดความผูกพันธ์ขึ้น
มักจะถูกปล่อยออกมาหลังจากมีร่วมรักกันหรือตอนที่แม่ให้นมลูก
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำไมแม่กับลูก ชายและหญิงถึงผูกพันธ์กันมากขึ้น
Vasopressin เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาว
ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy)
ผลข้างต้นเป็นผลที่เกิดกับสมอง จะแตกต่างออกไปกับส่วนอื่นของร่างกาย
------------------------------จบ-------------------------------
แต่ถ้าศึกษาเรื่องของฮอร์โมนก็จะธรรมดาไป
เขาหันกลับไปมองในอีกด้านหนึ่งแทน
เมื่อมีการหลั่งก็ต้องมี “ตัวรับ (Receptor)”
และ “ตัวรับ” นี้ก็ทำหน้าที่เสมือน “ล่าม”
ถ้า “ล่าม” แปลความหมายออกไปอีกทางหนึ่ง
ความหมายก็จะเปลี่ยนและการแสดงออกก็คงไม่เหมือนเดิม
และในการทดลองนี้เอง เขามองไปที่ล่าม 3 ตัวที่รับแปล Oxytocin
และแต่ล่ะตัวนั้นเกิดจากการสร้างขึ้นมาของ DNA
ที่แตกต่างกันของแต่ล่ะบุคคล อยู่ที่เรารับจากพ่อและแม่มาแบบไหน
หลังจากที่วิเคราะห์ DNA จากตัวอย่างน้ำลายทั้ง 711 คน
(เป็นชาวอเมริกัน 348 คน)
คุณพูลินก็ได้ข้อสรุปที่สร้างความประหลาดใจให้ทั้งทีมวิจัย
DNA ของแต่ล่ะคนมีผลต่อการเป็นคนดีในระดับที่แตกต่างกัน
ตัวรับที่ประกอบขึ้นจากรหัสพันธุกรรม G/G ซึ่งไวต่อ Oxytocin ที่สุด
จะเป็นตัวรับที่เป็นแสดงออกถึงเป็นคนที่ดีกว่า
ตัวรับที่สร้างขึ้นจากรหัส A/G A/A
คนที่มีตัวรับรหัส G/G จะมีมุมมองต่อโลกที่ดี
และมีแนวโน้มทำดีต่อสังคมมากกว่า
ในขณะที่รหัส A/G และ A/A จะมีมุมมองต่อโลกว่าแย่กว่า
ส่งผลให้ช่วยเหลือคนอื่นน้อยลง
และเขาพบว่าคนที่มีตัวรับรหัส G/G
แม้จะกลัวคนในสังคมก็ยังคงทำดีให้สังคม
-------------------------เกล็ดความรู้-------------------------
DNA หรือรหัสพันธุกรรมในมนุษย์ (Human Genome)
จะประกอบด้วยตัวอักษรพื้นฐานเพียง 4 ตัว A C G และ T
ซึ่งเรียกว่า DNA Alphabet
การวางตำแหน่งของตัวอักษร 4 ตัวนี้ยาว 3 พันล้านตัว
คือชุดคำสั่งของธรรมชาติในการบอกว่าจะสร้างมนุษย์ขึ้นมายังไง
Photo credit: National Human Genome Research Institute (NIH)
มนุษย์ได้ถอดรหัสนี้ได้สำเร็จเมื่อเมษายนปี 2003
------------------------------จบ-------------------------------
คุณพูลินยังพบอีกว่ารหัสพันธุกรรมนี้ยังบอกได้ว่า
คนนั้นๆ จะยินยอมออกตัวปกป้องคนอีกคนด้วยความดีหรือความรุนแรง
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยอื่นที่ว่า
แม่หนูบางตัวมีพฤติกรรมรุนแรงเพื่อปกป้องลูกหนูเมื่อได้รับ Oxytocin
แต่ไม่ได้หมายความว่ารหัสพันธุกรรมอื่นจะแย่ไปทั้งหมดค่ะ
คุณพูลินเรียก G/G ว่า “nicer” และอันอื่นว่า “less nice”
เพราะการเลี้ยงดูและประสบการณ์ชีวิตของคนนั้นๆ มีส่วนในการแสดงออก
และความเชื่อมโยงของ DNA กับ พฤติกรรมทางสังคมนั้นมีความซับซ้อน
ในอีกด้านหนึ่งก็มีการทดลองแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับคู่รัก 23 คู่ 46 คน
โดยการอัดวิดีโอใบหน้าของแต่ล่ะคน แล้วเอาไปให้ทีล่ะคนดูเพื่อให้ทายกัน
ผลออกมาว่าคนที่น่าไว้ใจ 6 ใน 10 มีตัวรับรหัสพันธุกรรม G/G
และคนที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ 9 ใน 10 คน มีตัวรับรหัส A/G และ A/A
คุณซารินา โรดิก แซทเทิร์น (Sarina Rodrigues Saturn)
เจ้าของงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอน บอกว่า
"เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ นี้อธิบายว่าทำไมเราถึงตัดสินคนได้ตั้งแต่ไกล
และความประทับใจแรกพบนั้นสำคัญแค่ไหน"
จากการสุ่มตรวจจำนวนหนึ่งของคุณพูลินพบว่า
ประมาณ 50% ของคนยุโรปและอเมริกามีตัวรับแบบ G/G
ขณะที่มีงานวิจัยอีกชิ้นพบว่าคนในเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น
มีตัวรับแบบ G/G น้อยกว่าคนยุโรปและอเมริกามาก
จึงทำให้เกิดข้อถกเถียงกันที่น่าสนใจว่าอะไรคือ
“รากฐานของพฤติกรรมเพื่อสังคม”
เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าคนเอเชียตะวันออกนั้นทำอะไรเพื่อสังคมมากๆ
เป็นไปได้ว่ามีตัวแปรอื่นๆ ที่คุณพูลินยังหาไม่เจอ
ในปี 2011 เองก็มีงานวิจัยในฝาแฝดทั้งฝาเดียวกันและคนล่ะฝา
ก็พบว่าแฝดฝาเดียวกันมีแนวโน้มที่จะทำอะไรในทางเดียวกัน
ขณะที่แฝดคนล่ะฝาที่มีพันธุกรรมเหมือนกันแค่ 50% ให้ผลตรงข้าม
“พวกเราไม่ได้บอกว่าเราพบยีนความดี แต่เราพบยีนที่มีส่วนร่วม
สิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือความจริงที่ว่ายีนมีส่วนร่วมในความรู้สึกบางอัน
และมุมมองต่อโลกรอบตัวพวกเขา”
คุณพูลินได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของมหาวิทยาลัยบัฟฟาโล
เพราะงั้นถ้าเราพบว่าเพื่อนบ้านเราเป็นคนใจดีชอบช่วยเหลือ
ขณะที่อีกคนช่างเห็นแก่ตัว หน้าตูดหมึก ไม่ค่อยมีส่วนร่วม
บางที DNA ของพวกเขาอาจจะช่วยอธิบายได้ค่ะ
แล้วเราจะโทษ DNA ได้ไหมนะ
เวลาเราทำไม่ดีหรืออาชญากรที่ลงมือฆ่าคน
จะสามารถโทษว่า “ก็พันธุกรรมผมมันเป็นแบบนี้ทำไงได้!”
เรื่องนี้คุณพูลินก็พูดเอาไว้เช่นกันค่ะ
“สิ่งที่เราเจอนั้นคือการมีปฎิสัมพันธ์กันระหว่างยีนและมุมมองต่อโลก
ผมยืนยันว่าเราไม่ได้พบยีนที่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้”
เพราะงั้นคนนิสัยไม่ดีทั้งหลายที่คิดจะใช้เป็นข้ออ้างในการทำผิดนั้น
อาจจะยังเร็วเกินไปค่ะ
ยังคงมีหลายเรื่องยังต้องศึกษาอีกตั้งแต่พันธุกรรมตัวอื่นๆ ไปจนถึง
ความเชื่อ สังคม และประสบการณ์ชีวิตผันผ่าน
ถ้าเพียงแค่ DNA คู่หนึ่งบนโครโมโซมลำดับที่ 3
จะบอกว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่ได้
แบบนั้นเราจะยังบอกได้อีกไหมว่า เรามีเจตจำนงเสรี
แต่นั้นคงเป็นอีกหัวข้อที่อาจจะน่าสนใจในโอกาสต่อไปค่ะ
Reference
Donovan, P. (April 9, 2012). The Neurogenics of Niceness Retrieved from
Landau, E. (April 18, 2012) Are mean people born that way? Retrieved from
University at Buffalo. (2012, April 10). Born nice? Peoples' niceness may reside in their genes, study finds. ScienceDaily. Retrieved from www.sciencedaily.com/releases/2012/04/120410093151.htm
What did the Human Genome Project accomplish?
Wolchover, N. (April 9, 2012). Niceness is in Your DNA, Scientists Find. Retrieved from
โฆษณา