12 เม.ย. 2020 เวลา 01:30 • ธุรกิจ
ทำไมสหรัฐอัดฉีดเงินได้ไม่จำกัด.. ถ้าอยากรู้ไปหาคำตอบในบทความนี้กันครับ
หลายๆคนคงได้เห็นข่าวหลายๆข่าวที่ผ่านมาเกี่ยวกับธนาคารกลางสหรัฐอัดฉีดเงินในภาวะวิกฤตการ ไวรัส โควิท-19 ตั้งแต่ต้นปีมาจนมาถึงล่าสุด วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษา ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้อัดฉีดเงินอีก 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ หลายๆคนคงสงสัยว่า ทำไมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ถึงพิมพ์เงินออกมาได้เรื่อยๆทั้งที่ไม่มีอะไรหนุนหลังเลย 🤔
1
ก่อนอื่นเพื่อนๆต้องมารู้จักคำว่า "เงิน" ( Money) กับ "เงินตรา"(Currency) กันก่อนนะครับ
คำว่า เงิน หรือ Money เนี่ย คำนิยามของมันเนี่ย คือ สิ่งที่มีค่าในตัวมันเองและมันสามารถพกพาได้หรือแลกเปลี่ยนได้
สามารถเป็นตัวกลางในการเเลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆได้
ส่วนสิ่งที่เหมือนกับเงิน (Money)หรือเข้าข่ายของคำว่าเงิน(Money)เนี่ย ก็คือ ทองคำ,เพรช,พลอยต่างๆ ส่วนใหญ่เลยมันจะมีค่าในตัวมันเองครับ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเนี่ยคุณค่าในตัวของมันเองมันจะไม่มีวันหายไป
ส่วน Currency หรือ เงินตราเนี่ย เป็นสิ่งที่ใช้ในการเเลกเปลี่ยนเหมือนกัน กับเงิน(money)เลย แต่สิ่งที่ต่างกันคือ เจ้าเงินตราหรือcurrency เนี่ยมันไม่มีค่าในตัวมันเอง มันเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเฉยๆ ซึ่งมีอะไรหนุนหลังอยู่เพื่อให้ตัวมันเองเนี่ยมีความน่าเชื่อถือ และสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ทุกๆวันเลยคือ ธนบัตร เงินเหรียญต่างๆ
1
สรุปง่ายๆ ครับ เงิน หรือ Money เนี่ย คือ คนให้ค่ามันแท้จริง ส่วน Currency หรือ เงินตรา เนี่ย เป็นเพียงตัวแทนที่อ้างอิงถึง Money เท่านั้น ซึ่งด้วยกฏต่างๆของ Money กับ Curency เลยทำให้มันสามารถใช้แทนกันได้
เเละเมื่อย้อนไปในอดีต ตอนเกิดสงครามต่างๆผู้คนก็ต้องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง,ฟื้นฟูและขยายอณาจักรต่างๆ, ซื้ออาวุธ,เพิ่มสวัสดิการให้แก่ประชาชน เป็นต้น แต่เมื่อ เงิน หรือ Money เนี่ยมันมีอยู่จำกัด และหายากมีแต่คนต้องการ แต่ currency หรือ เงินตราเนี่ย มันพิมพ์ง่าย หาง่าย จึงนำมาสู่เหตุการณ์ที่ว่า การปฏิวัติทางการเงิน คือ
" การยกเลิกมาตราฐานทองคำ(Gold Standard) "
1
ตามมาตรฐานทองคำนั้น เงิน หรือ Money จะพิมพ์ออกมาเฉยๆไม่ได้ ต้องมีทองคำเป็นตัวหนุนหลังในฐานะ "ใบแทนทองคำ" ดังนั้นเมื่อยามวิกฤติเหล่านี้ มันจะต้องใช้เงินในระบบมหาศาลซึ่งจะมากเกินกว่าปริมาณทองคำที่มี แล้วรัฐบาลแต่ละประเทศแก้ไขปัญหาการมีทองคำไม่พอนี้อย่างไร???
คำตอบง่ายๆก็คือ ยกเลิกการผูกติดสกุลเงินกับทองคำแล้วไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแทน(เงินสกุลแต่ละประเทศจะเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดอย่างอิสระ)
ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศผู้ชนะสงครามอย่าง สหรัฐอเมริกากลายมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด หรือ ผู้นำของโลกในด้านเศรษฐกิจก็ว่าได้ และก่อนจะจบ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการประชุมร่วมกัน 44 ประเทศเพื่อหาแนวทางในการจัดระเบียบการเงินระหว่างประเทศ หรือ ข้อตกลง Bretton Woods ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
1
1.สมาชิกต้องยินยอมที่จะยกเลิกการกำหนดค่าเงินของตนเองแล้วหันไปผูกติดอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นเงินสกุลเดียวที่มีทองคำหนุนหลังอยู่
2. ได้มีการต่อตั้งองค์การการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ 2 แห่ง คือ (IMF) กับ ธนาคารการบูรณะและพัฒนา (IBRD) ซึ่งต่อมาคือ ธนาคารโลก (World Bank)
ซึ่งข้อตกลงนี้ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ดูแล "กติกาการเงินของโลก" และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐขึ้นมาเป็นสกุลเงินหลักของโลก ต่อมา การที่สหรัฐอเมริกาจะวางตัวให้อยู่ในฐานะผู้นำทางเศรษฐกิจและการเงินของโลก สหรัฐจำเป็นต้องกำหนด 2 สิ่งนี้ในนิ่งและมีเสถียรภาพนั่นคือ 1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ 2.น้ำมัน ซึ่งถือว่าเป็น "กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสหรัฐ" เลยก็ว่าได้
5
และภายใต้ระเบียบการเงินโลกใหม่ภายใต้ระบบ bretton woods ซึ่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้กำหนดนั้น ทำให้ในช่วงปี คศ. 1963-1969 สหรัฐอเมริกาได้พิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ในการทำสงครามเวียดนามและสร้างสวัสดิการให้แก่ประชาชนโดยไม่ได้ตระหนักถึงปริมาณทองคำสำรองที่ไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อสูง และบรรดาประเทศต่างๆเริ่มขาดความเชื่อมั่นในอัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐต่อทองคำ จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อจากนั้นในปี 1971 คือ ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน จึงประกาศยกเลิกการรับแลกดอลลาร์สหรัฐกับทองคำหรือยกเลิกการผูกติดค่าเงินดอลลาร์กับทองคำนั่นเอง นับตั้งแต่นั้นมา ทองคำก็ได้ จบการทำหน้าที่ เป็นตัวค้ำประกันเงินตราระหว่างประเทศโดยสมบูรณ์โดยสิ่งที่เป็นหลักค้ำประกันหนุนหลังแทนทองคำนั้นก็คือ "เงินสำรองระหว่างประเทศ "
2
โดยเงินสำรองระหว่างประเทศ เกือบทุกประเทศก็จะมีเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือ พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อมีการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐหนุนหลังแทนทองคำ สหรัฐจึงสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ แต่หากลืมอะไรไปไม่ เงินพี่พิมพ์ออกมานั้นมันคือ Currency หรือ กระดาษใบหนึ่งนั่นเอง
และเมื่อจัดการควบคุมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องควบคุมให้มีเสถียรภาพคือ น้ำมัน ... ซึ่งเมื่อเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มกระจายออกไปสู่ทั่วโลกแล้วหลายคนคงคิดว่า ถ้ารู้อย่างนี้แล้วเงินดอลลาร์ที่นำไปซื้อน้ำมันเนี่ย ประเทศกลุ่มที่ขายน้ำมันเขาจะยอมไหม?? ซึ่งเขาก็รู้ว่าเงินที่มามาซื้อน้ำมันของเราเนี่ย คือ กระดาษใบหนึ่ง
1
(ในช่วงนั้นแหล่งภูมิภาคที่เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่สำคัญของโลก คือ "ตะวันออกกลาง" หลายประเทศในภูมิภาคนี้รวมตัวกันก่อตั้ง องค์กรผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ ที่เรียกว่า OPEC ตั้งแต่ปี 1960 )
รูปภาพจาก: https://www.forexmonday.com/index.php/2019/03/19/opec-news-wti-19-03-2019/
คำตอบคือ.... ยอมครับ ซึ่งเมื่อสหรัฐกลายมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลก ใครคิดจะกล้าขัดกับอเมริกาหล่ะ ถ้าย้อนไปตอนที่ ซัดดัม ฮุสเซน ซี่งอดีตเป็นผู้นำของอิรัก หนึ่งในนั้นเขาก็เป็นคนที่ไม่อยากซื้อขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตของผู้นำประเทศลิเบีย ก็เช่นกันครับซึ่งเขาต้องการขายน้ำมันโดยอ้างอิงราคาทองคำ ซึ่งจุดจบของคนพวกนี้คืออะไรไม่ต้องพูดถึงครับ รวมถึงประเทศอีหร่านเช่นเดียวกันครับ โดนแชงชั่น โดนจู่โจม โดนคว่ำบาตรจากสหรัฐไม่รู้เท่าไหร่ และล่าสุดนายพลสุไลมานี่ ของอีหร่านที่ถูกโดรนของสหรัฐอเมริกายิงก็อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้(ความคิดเห็นส่วนตัว)
รูปภาพจาก: https://www.brighttv.co.th/special-reports/worldwar-usa-iran
จนมาถึงปัจจุบันนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐจึงได้กลายมาเป็นเงินสกุลหลักที่หลายๆประเทศมีไว้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศและการซื้อขายน้ำมันเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ และด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง สหรัฐอเมริกาจึงพิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัด และคนยังคงเห็นค่าในสิ่งที่เรียกว่า Currency หรือเงินตรา กันอยู่นั้นเองครับ
ตัดภาพมาที่หลายๆประเทศที่พิมพ์เงินออกมานั้น ประเทศเหล่านี้ต้องมีเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทองคำ หนุนหลังถึงจะพิมพ์เงินออกมาได้ รวมถึงประเทศไทยด้วยครับ แต่หากรู้หรือไม่ เมื่อสหรัฐพิมพ์เงินออกมาไม่จำกัดนั้นและเงินนั้นออกสู่ทั่วโลก แต่เมื่อประเทศต่างๆเมื่อมีเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐหนุนหลังอยู่นั้น สามารถพิมพ์เงินออกมาเพิ่มได้เช่นกันและสิ่งที่ที่จะเกิดต่อมาหลังจากนั้นคิดว่าจะเป็นอย่างไรครับ...
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ 🙏 ถ้าครั้งหน้าผมมีความรู้อะไรดีๆมาแชร์ อย่าลืมกดติดตามไว้นะครับ ขอบคุณมากๆครับ
ที่มา: เรื่องโกหกที่สามารถหลอกคนทั้งโลก ภาษาเศรษฐี ตอนที่ 6 โดย Kim Property live
ที่มา: หนังสือ เศรษฐกิจโลก 1000 ปี เรียนรู้อดีต เข้าใจอนาคต โดย ลงทุนแมน
โฆษณา