13 เม.ย. 2020 เวลา 06:53 • การศึกษา
โนรารำแทงเข้
ไกรทอง ก็อยู่ในการละครของภาคใต้
เข้ (จรเข้) เป็น การแทงหยวก (หยวกกล้วย)
๑ ใน ๑๒ เรื่องมโนราห์ มีเรื่องไกรทอง ตอนที่ไกรทองแทงชาละวัน เรียกว่าการ "แทงเข้" ซึ่งในการแทงเข้นั้นจะต้องทำเข้ ประดิษฐ์จากต้นกล้วย หรือวัสดุอื่นๆ ให้มีลักษณะเหมือนเข้ ขณะเดียวกันโอกาสในการแทงเข้ก็ตามแต่คณะโนรา แต่ถ้าภาคใต้ตอนล่าง นครศรีธรรมราช ลงมา ก็แทงเฉพาะโอกาสสำคัญ เช่น ตัดจุกผูกผ้า เป็นต้น
ส่วนบทขับร้องในเรื่องไกรทองนั้น ก็มีมากพอสมควร ตั้งแต่บทนายไกรชวนเพื่อนไปหากล้วยตานีมาทำจระเข้ แทนรูปชาละวัน หรือบทไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์คง ขอหอกจากอาจารย์คง จากนั้นมีบทลับหอก เช่น ความตอนหนึ่งว่า
ลับเอยลับหอก มือซ้ายจับจอกสุรา
ต่างน้ำพระคงคา เรามาจะลับหอกไชย...ฯ
ส่วนถ้าเป็นบทขับร้องใน ๑๒ เรื่อง ก็กล่าวถึงชาละวันกับนายไกร โดยสมมตินายพรานเป็นชาละวันขณะที่มีการเจรจา ความว่า
"ชาละวันผันโกรธกระโดดน้ำพุ้ง
หมายมุ่งเอาแพไม่แลเหลียว
นายไกรร่ายมนต์อยู่คนเดียว
กุมภีล์เหลียวฝาดผางเข้ากลางแพ"
(เจรจา) ระหว่างไกรทองกับชาละวัน ตามเรื่องไกรทองของสุนทรภู่ อาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย
"นายไกรขี่หลังไม่ยั้งหยุด
กุมภีล์มุดพาไปในสายแสฯ"
จากนั้นมีหาร (กล้า) ปลุกจระเข้ เบิกหู-ตา เซ่นเครื่องบวงสรวง และสุดท้ายเป็นการร่ายรำแทงจระเข้
(ในภาพ ผศ. ธรรมนิตย์ นิคมรัตน์ ม.ทักษิณ)
องค์ประกอบและรูปแบบในการแสดงโนราโรงครู ประกอบด้วย การรำ มีรูปแบบการรำพื้นฐาน การรำขั้นสูงและการรำประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ รำสิบสองท่า รำสิบสองบท รำคล้องหงส์และแทงเข้ การร้อง ใช้รูปแบบการร้องรับของผู้รำและนักดนตรี คือ การร้องรับไม่ใช้ท่ารำ การร้องรับประกอบท่ารำ ได้แก่ ร้องรับบทกาดครู ร้องรับประกอบการรำทุกประเภท การแสดงเป็นเรื่อง เป็นรูปแบบของการแสดงละครจากวรรณกรรมพื้นบ้านเฉพาะตอนสำคัญต่อเนื่องกัน ๑๒ เรื่องและเลือกเรื่องมาแสดงเต็มรูปแบบของพิธีกรรมอีก ๒ เรื่อง เพื่อสร้างความศรัทธาในพิธีกรรมให้มากยิ่งขึ้น การบรรเลงดนตรีประกอบพิธีกรรม มีรูปแบบของจังหวะที่ใช้ประกอบพิธีกรรมแต่ละขั้นตอนโดยเฉพาะได้แก่ การเซ่นของสังเวยและประทับทรงใช้เพลงเชิด การเชิญวิญญาณใช้จังหวะเชิญตายาย การร่ายรำประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ใช้เพลงโค
ปัจจุบัน โนราโรงครูยังคงมีการสืบสานอย่างเคร่งครัดในหลายจังหวัด เช่น สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ตรัง เป็นต้น โดยเฉพาะในกลุ่มคณะมโนรายังประกอบพิธีกรรมโนราโรงครู รักษาจารีตขนบธรรมเนียมการแสดงและพิธีกรรมอย่างต่อเนื่อง
เหตุที่มีการรำแทงเข้ได้รำกันต่อ ๆ มาในการรำโนราโรงครู เพราะตามเรื่องในประวัติว่า เมื่อพวกอำมาตย์ของพระยาสายฟ้าฟาดได้ไปพาตัวนางนวลทองสำลีมาแล้ว เมื่อถึงปากน้ำจะเข้าเมืองมีจระเข้นอนขวางปากน้ำอยู่ เรื่อเข้าไปไม่ได้จึงได้มีการแทงเข้เสียก่อนเรือจึงจะเข้าไปได้ แต่ตามที่เห็นคือการแสดงเรื่องไกรทอง
2
การแทงเข้เป็นการเล่นโรงครูเพื่อแก้บนเช่นเดียวกัน การเล่นเขาเล่นเป็นเรื่องให้พรานเป็นจระเข้ (การทำรูปจระเข้ทำด้วยหยวกกล้วย มีการทำอย่างประณีตบรรจง มีการแทงหยวกกล้วยให้เป็นลวดลายกระหนกงกงอนสวยงามน่าดู คนแทงหยวกให้สวยงามต้องมีฝีมือดีเป็นพิเศษ ปัจจุบันหาดูได้ยากมาก และกำลังจะหมดไป) การแทงเข้ โนราใหญ่หรือนายโรงจะเป็นผู้แทง การรำแทงเข้นี้รำกันนานมาก
จากหนังสือ ประวัติโนรา โดย อ.ภิญโญ จิตธรรม อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ขุนอุปถัมภ์นรากร ๒๗ กันยายน ๒๕๒๗
ท่าแทงเข้
เป็นการแสดงตามเนื้อเรื่องในตำนานของชาวใต้เกี่ยวกับ กำเนิดของโนรา ตามคำบอกเล่าของท่านขุนอุปถัมภ์นรากรว่า นางนวลทองสำลีเป็นธิดาของพระยาสายฟ้าฟาดกษัตริย์ ครองเมือง ๆ หนึ่ง คืนหนึ่งนางสุบินว่า เทวดามาร่ายรำให้ดู เป็นท่ารำ ๑๒ ท่า (ซึ่งถือเป็นท่ารำหลักของโนรา) นางจึงได้ฝึกสอนบริวาร ตามท่าที่เทวดาสอน ต่อมานางไปเสวยดอก-บัวขาวแล้วเกิดทรงครรภ์ พระยาสายฟ้าฟาดพิโรธให้ลอยแพ เนรเทศไปเสียจากเมือง แพถูกพายุพัดไปในทะเลไปติดที่เกาะเทวดามาเนรมิตศาลาให้อยู่อาศัยจนประสูติพระกุมารผู้ซึ่งฝึกหัดร่ายรำจนชำนาญ เมื่อพระกุมารทราบประวัติของตนเอง จึงลาพระมารดากลับมายังเมืองของพระอัยกา และเที่ยวร่ายรำไปในที่ต่างๆ จนความทราบไปถึงพระยาสายฟ้าฟาดไต่ถามได้ความว่าเป็นตาหลานกันจึงหายพิโรธ ให้ไปรับนางนวลทองสำลีกลับมา ขากลับมาถึงปากน้ำพบจระเข้ลอยขวางทางอยู่ พวกลูกเรือจึงได้แทงจระเข้จนถึงแก่ความตาย เมื่อกลับมาถึงเมืองพระยาสายฟ้าฟาดจัดให้มีงานมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน เพื่อทำขวัญนางนวลทองสำลีและพระราชทานบรรดาศักดิ์พระกุมารเป็นที่ “ขุนศรีศรัทธา” และพระราชทานเครื่องทรงสำหรับร่ายรำในงานนี้ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องทรงสำหรับกษัตริย์ทั้งสิ้น ขุนศรีศรัทธาได้สอนรำโนราถ่ายทอดเป็นศิลปะเรื่อยมาจนบัดนี้ และถือว่าเป็นครูใหญ่ของโนรา
จากหนังสือลักษณะไทย เล่ม ๓ โดย ธนาคารกรุงเทพ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา