20 เม.ย. 2020 เวลา 12:00
คุณเป็น โรคซึมเศร้า...หรือไม่ ? 💫
Cr.honestdocs
หลังจากที่ได้ดูข่าวเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชหรือโรคซึมเศร้าแล้วนั้น แอดมิน เห็นว่าควรมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในด้านนี้อย่างจริงจังเสียที เพราะโรคจิตเวชนั้นมีหลายอาการ มีทั้งแสดงออกไม่แสดงออก ต้องช่วยกันสังเกตพฤติกรรมหรืออารมณ์
เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โรคนี้มักมาจากมรสุมชีวิตและการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ อาการของโรคอาจดูคล้ายกับอาการเศร้าหรือเสียใจทั่วๆไป แต่ผลกระทบนั้นรุนแรงและเกิดขึ้นยาวนานกว่ามาก ซึ่งทั้งตัวผู้ป่วยเองหรือคนรอบข้างอาจไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ ปัญหาคือคนส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นซึมเศร้ามักจะไม่รู้ตัวว่ากำลังป่วยเป็นซึมเศร้า หรืออาจรู้ตัวอีกทีตอนที่อาการของโรคเข้าสู่ขั้นรุนแรงจนเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้โรคนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่พรากชีวิตของใครหลายต่อหลายคนไปอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดโรค อาการ และวิธีรักษา จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ เพื่อช่วยเหลือตัวคุณเองและคนรอบข้างที่ป่วยเป็นโรคนี้นะครับ Admin3
• ทำความรู้จักโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และความคิด โดยอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างมาก เช่น รับประทานอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ สิ้นหวัง หดหู่ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับชีวิต วิตกกังวลตลอดเวลา และที่สำคัญคือผู้ป่วยจะไม่สามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญได้ดีพอ
• โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยที่สุด โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า มีประชากรทั่วโลกป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประมาณ 350 ล้านคน ซึ่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็มีผลต่ออัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าได้ โดยตามรายงานประจำปี 2553 ของวารสารประจำปีด้านสาธารณสุข (The Journal Annual Review of Public Health) กล่าวว่าอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าของทุกเพศทุกวัยในญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 2.2% ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ ในขณะที่บราซิลนั้นมีอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าสูงถึง 10.4%
• ส่วนในประเทศไทยนั้น โรคซึมเศร้าถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพที่มีความสำคัญและน่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยสังเกตได้จากสังคมในปัจจุบันนี้ที่มักมีข่าวเกี่ยวกับปัญหาการฆ่าตัวตาย รวมทั้งปัญหาการทำร้ายร่างกายตัวเองและคนรอบข้าง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่น่าสลดใจไม่น้อยทีเดียว ตามรายงานจิตวิทยาคลินิก ปี 2007 พบว่า
• 50% ของผู้ที่ฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าในครั้งแรก มักมีภาวะซึมเศร้าซ้ำอีกหนึ่งครั้งหรือมากกว่านั้น
• 80% ของคนที่เคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะซึมเศร้าเกิดขึ้นถึงสองครั้ง
• โรคซึมเศร้ามีสาเหตุและปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งด้านจิตใจ สภาพสังคม และความผิดปกติด้านชีววิทยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการประสบปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว การงาน การเงิน หรือการเผชิญความล้มเหลวหรือสูญเสียในชีวิตอย่างรุนแรง ทุกปัญหานั้นล้วนเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดโรคซึมเศร้าได้ทั้งสิ้น
••• สาเหตุของโรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ดังนี้ •••
• ความผิดปกติของสารเคมีภายในสมอง สารเคมีในสมองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโทนิน (Serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (Norepinephrine) ลดน้อยลงจากเดิม ทำให้สมดุลของสารเหล่านี้เปลี่ยนไปและเกิดความบกพร่องในการทำงานร่วมกัน
• กรรมพันธ์ุ หากคนในครอบครัวของคุณ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เคยป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามาก่อน คุณก็อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
• การเผชิญเรื่องเครียด เช่น เจอมรสุมชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หมดกำลังใจในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังหรือรุนแรงถึงชีวิต ตกงาน มีปัญหาเรื่องการเงินที่หาทางออกไม่ได้ มีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ถูกใช้ความรุนแรงหรือถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก รวมทั้งการพบเจอกับความสูญเสียในชีวิตที่ทำให้เสียใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียพ่อแม่ในขณะที่ยังอยู่ในช่วงวัยเด็ก สูญเสียคนรัก หรือสูญเสียครอบครัว
• ลักษณะนิสัย คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองต่ำหรือสูงมากเกินไป มองโลกในแง่ร้าย หรือชอบตำหนิกล่าวโทษตนเอง มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่มองโลกในแง่บวกและเห็นคุณค่าในตนเอง
• การดื่มแอลกอฮอล์และการใช้สารเสพติด การพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเพื่อให้ลืมความเสียใจและความเครียดจากเรื่องต่างๆ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่กลับทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้ด้วย
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนจากภาวะตั้งครรภ์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
อาการของโรคซึมเศร้า
1. อาการทั่วไปของโรคซึมเศร้า
หากคุณกังวลว่าตัวเองหรือคนรอบข้างกำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ เบื้องต้นคุณสามารถสังเกตได้จากอาการเศร้า เสียใจ และท้อแท้จนไม่อยากทำอะไร บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ หรือถึงแม้มีเรื่องน่ายินดี แต่ก็กลับไม่รู้สึกมีความสุขเลย นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้ามักแสดงอาการต่อไปนี้ตามเกณฑ์การวินิจฉัยจากคู่มือการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตที่จัดทำโดยสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (DSM-V) อย่างน้อย 5 อาการออกมาพร้อมๆ กันภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยที่มีอย่างน้อยหนึ่งอาการเป็นอาการหมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ หรืออาการเศร้า
• รู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีค่า ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปหรือทำไปเพื่ออะไร
• รู้สึกเศร้า หรือ ในเด็กและวัยรุ่นอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวายใจอยู่บ่อยๆ
• หมดความสนใจในกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่เคยชื่นชอบ เช่น รู้สึกเบื่อหน่ายอาหารโปรด
• น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นเร็วมาก เนื่องมาจากนิสัยการกินที่เปลี่ยนไป
• นอนไม่หลับติดต่อเป็นเวลานาน หรือนอนนานผิดปกติ
• อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
• ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้เลย บางครั้งก็แสดงอาการหลงๆ ลืมๆ และใช้เวลานานในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
• คิด พูด และทำงานเร็วขึ้นหรือช้าลง
• รู้สึกอยากฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง
• อาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อการเข้าสังคม การทำงาน หรือการใช้ชีวิตในด้านอื่นๆ หากปล่อยไว้นานจะทำให้กลายเป็นโรคซึมเศร้าเรื้อรัง ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่านี้มาก ทางที่ดีจึงควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการบำบัดทางร่างกายและจิตใจอย่างถูกต้อง ก่อนที่จะสายเกินไป
บางครั้งผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าก็แสดงออกในลักษณะที่แปลกออกไป จนในบางอาจทำให้ผู้พบเห็นหรือเจ้าตัวไม่คิดว่าตนเองนั้นเป็น “โรคซึมเศร้า” เรามาดูกันว่าสัญญาณแปลกๆ เหล่านั้นมีอะไรบ้าง
ช้อปปิ้งอย่างบ้าคลั่ง : ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจะมีพฤติกรรมซื้อของอย่างควบคุมไม่ได้ เพื่อหวังเบี่ยงเบนความสนใจจากความเครียดหรือเพื่อปลุกความมั่นใจในตนเอง พฤติกรรมนี้อาจพบได้ในผู้ที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ได้เช่นกัน
ดื่มอย่างหนัก : หากคุณรู้สึกว่าคุณต้องการดื่มเพื่อจัดการกับความเครียดหรือความเศร้า คุณอาจกำลังเผชิญภาวะซึมเศร้าอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งแม้ว่าการดื่มจะช่วยให้คุณรู้สึกดีและลืมเรื่องแย่ๆ ในชั่วขณะได้ แต่การดื่มแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นให้คุณยิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม หรือนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
หลงลืม : โรคซึมเศร้าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการหลงๆ ลืมๆ ที่เกิดขึ้น โดยจากผลการศึกษาพบว่า โรคซึมเศร้าหรือภาวะเครียดที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานจะไปทำให้ระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อสมองบางส่วนที่เชื่อมโยงกับความทรงจำและการเรียนรู้ โรคซึมเศร้าจึงมีความเกี่ยวเนื่องกับการสูญเสียความทรงจำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคซึมเศร้าจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความจำได้
ใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไป : การเสพติดโลกออนไลน์มากกว่าโลกความเป็นจริงอาจเป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอกถึงโรคซึมเศร้าได้ ในทางกลับกัน การใช้เวลาบนโลกออนไลน์มากเกินไปก็อาจทำให้มีอาการซึมเศร้าได้
กระหน่ำกินอย่างบ้าคลั่ง : ผลการศึกษาเมื่อปี 2010 จากมหาวิทยาลัยอัลบามาเผยว่า วัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แถมยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย
ขโมยของ : พฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยอาจมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้าได้ เพราะสำหรับผู้ป่วยบางคนที่รู้สึกไร้เรี่ยวแรงในการทำสิ่งต่างๆ และรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า การขโมยของเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้สึกกระฉับกระเฉงและรู้สึกว่าตนเองสำคัญขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่ขโมยมานั้นอาจไม่ได้มีมูลค่าหรือสำคัญเท่ากับความรู้สึกดีที่ได้รับหลังจากขโมยสำเร็จเลย
ปวดหลัง : 42% ของผู้คนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังเคยเป็นโรคซึมเศร้ามาแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี หลายคนมักเพิกเฉยต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดว่าอาการเจ็บปวดต่างๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคซึมเศร้าแต่อย่างใด
พฤติกรรมทางเพศ : ผู้ป่วยบางรายอาจรับมือกับปัญหาโรคซึมเศร้าด้วยการทำพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกใจ เสพติดการมีเพศสัมพันธ์ และการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน หรือบางรายก็มีอาการหมดความต้องการทางเพศ ทั้งนี้อาการดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับการเป็นโรคไบโพลาร์ได้เช่นกัน
แสดงอารมณ์อย่างสุดเหวี่ยง : หลายๆ คนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะเผลอแสดงอารมณ์มากเกินปกติ บางครั้งก็ขี้โมโหหรือระเบิดอารมณ์ออกมา บางครั้งก็เศร้าเสียใจ หมดหวัง วิตกกังวล และหวาดกลัว ซึ่งความผิดปกตินี้มักสังเกตได้ชัดเจนในผู้ที่เคยนิ่งขรึมและไม่ค่อยพูด
เสพติดการพนัน : การพนันอาจทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและกระชุ่มกระชวย แต่หากคุณเสพติดการเล่นพนันจนเป็นนิสัย คุณอาจต้องทุกข์ทรมานใจภายหลังก็เป็นได้ โดยหลายคนที่เล่นการพนันบอกว่า ตนเองจะรู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้าก่อนเริ่มเล่นการพนัน และเมื่อเจอความผิดหวังก็อาจทำให้ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
สูบบุหรี่ : การเป็นโรคซึมเศร้าจะยิ่งทำให้คุณต้องการสูบบุหรี่มากขึ้น เรียกได้ว่า ยิ่งซึมเศร้ายิ่งสูบหนัก โดยอาจสูบประมาณ 1 ซองต่อวัน หรือสูบบุหรี่ทุก ๆ 5 นาทีเลยทีเดียว
ไม่ใส่ใจตนเอง : การละเลยหรือไม่ใส่ใจตนเอง เป็นสัญญาณของโรคซึมเศร้าและการขาดความมั่นใจในตนเอง พฤติกรรมอาจเริ่มตั้งแต่การไม่แปรงฟัน ไปถึงขั้นโดดสอบ หรือไม่ใส่ใจโรคร้ายต่างๆ ที่ตนเป็น
2. อาการของโรคซึมเศร้าตามเพศและอายุ
อาการซึมเศร้าในผู้ชาย ผู้หญิง และวัยรุ่น อาจแตกต่างจากอาการซึมเศร้าทั่วไปที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนี้
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้ชาย
• แม้ว่าผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนกัน แต่ก็มีอาการบางอย่างที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน จากรายงานในนิตยสารจิตเวช JAMA ปี 2013 กล่าวว่าอาการดังต่อไปนี้มักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงที่เป็นโรคซึมเศร้า
• โกรธ
• ก้าวร้าว
• เสพยาหรือใช้แอลกอฮอล์
• พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ขับรถโดยประมาท มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน มีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ เป็นต้น
อาการของโรคซึมเศร้าในผู้หญิง
• สถาบันสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า อาการที่มักพบในหญิงที่เป็นโรคซึมเศร้ามีดังต่อไปนี้
• เครียด
• แยกตัวสันโดษ
• กระสับกระส่าย
• หงุดหงิดร้องไห้อย่างหนัก
• มีปัญหาด้านการนอนหลับ
• หมดความสนใจในเรื่องที่เคยชื่นชอบ
อาการของโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น
• วัยรุ่นก็สามารถมีอาการของโรคซึมเศร้าได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นภาวะปกติของการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น อาการที่อาจบอกถึงโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น ได้แก่
• หมกมุ่นเรื่องความตาย เช่น เขียนกลอนหรือภาพวาดที่บ่งบอกถึงความตาย
• มีพฤติกรรมอาชญากรรม เช่น ขโมยของในร้านขายของ หรือขโมยเครื่องเขียนของเพื่อน
• แยกตัวออกจากครอบครัวและเพื่อน
• อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์
• ผลการเรียนแย่ลงหรือขาดเรียนบ่อยๆ
• มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการขับรถโดยประมาท
• มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติด
• มีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผลหรือแปลกประหลาดไปจากเดิม
• นิสัยหรือการแต่งตัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
• ทิ้งข้าวของของตัวเอง
ข้อควรปฏิบัติเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
• ไม่ควรตั้งเป้าหมายในการทำงานมากเกินไป และไม่ควรรับผิดชอบทุกอย่างจนเกินความสามารถของตัวเอง
• ควรแยกแยะปัญหาใหญ่ๆ ให้เป็นส่วนย่อย แล้วค่อยๆ เรียบเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังเพื่อลงมือแก้ไขไปทีละอย่าง
• ห้ามบังคับตัวเองหรือตั้งเป้าหมายกับตัวเองสูงเกินไป เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความกดดันและเสี่ยงต่อความล้มเหลวในภายหลัง
• หมั่นหากิจกรรมที่ชอบและทำให้ตัวเองรู้สึกดีมาทำบ่อยๆ เพื่อให้รู้สึกเพลิดเพลินและมีชีวิตชีวามากขึ้น
ไม่ควรตำหนิตัวเอง เมื่อไม่สามารถทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จได้ตามที่วางแผนไว้ ควรรู้จักให้อภัยตัวเองและให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่
• การปล่อยปละละเลยและไม่ได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด นอกจากจะทำให้อาการของโรคซึมเศร้ายิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และคนรอบข้างได้ เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ามักไม่มีสติอยู่กับตัว มักทำอะไรลงไปโดยไม่ค่อยมีสติ ไม่รู้ตัว ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียใดๆ จึงควรให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด
เป็นโรคซึมเศร้า ควรรับประทานวิตามินเสริมหรือไม่ ?
• ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางคนจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริมด้วย เนื่องจากมีการขาดวิตามินหลายชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือนักจิตบำบัดก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ ด้วยตนเอง
มาดูกันว่ามีวิตามินอะไรบ้างที่เมื่อร่างกายได้รับไม่เพียงพอจะมีความเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า
• วิตามินบีรวม
วิตามินบีรวมเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ วิตามินชนิดนี้สามารถละลายในน้ำและไม่สามารถเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องการวิตามินบีเพิ่มในแต่ละวัน โดยปริมาณวิตามินบีในร่างกายอาจลดลงจากการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำตาล นิโคติน หรือคาเฟอีน หากคุณกำลังรับประทานอาหารพวกนี้ในปริมาณมากอาจทำให้คุณอาจขาดวิตามินบีได้
วิตามินบีหลายชนิดมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า ดังนี้
• วิตามินบี 1 (Thiamine) : สมองใช้วิตามินตัวนี้ในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือดมาเป็นพลังงาน ดังนั้น หากมีปริมาณวิตามินตัวนี้ไม่เพียงพอ จะทำให้สมองไม่มีพลังงาน การขาดชนิดนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจเกิดร่วมกับการติดแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดปกติทางจิตหรือระบบประสาทได้
• วิตามินบี 3 (Niacin) : การขาดวิตามินนี้จะทำให้เกิดโรคหนังกระ (Pellagra) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการทางจิตและความจำเสื่อม โดยอาการกระวนกระวายและวิตกกังวล รวมถึงมีการทำงานของสมองและร่างกายที่ช้าลงได้ อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมักมีส่วนประกอบของ Niacin ทำให้โรคขาดวิตามินชนิดนี้พบได้น้อยมากในปัจจุบัน
• วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) : การขาดวิตามินตัวนี้อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและซึมเศร้าได้ แต่ก็พบได้น้อย
• วิตามินบี 6 (Pyridoxine) : วิตามินตัวนี้ช่วยในการสร้างกรดอะมิโนซึ่งจำเป็นต่อการสร้างโปรตีนและฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะเซโรโทนิน เมลานิน และโดปามีน การขาดวิตามินนี้อาจทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีแผลที่ผิวหนัง และมีอาการสับสนได้ คนที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินชนิดนี้คือกลุ่มคนที่ติดแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยโรคไตวาย และผู้หญิงที่กำลังรับประทานยาคุมกำเนิด นอกจากนี้ การใช้ยาในกลุ่ม MAOIs ก็ทำให้ร่างกายมีวิตามินชนิดนี้น้อยลงเช่นกัน แต่การขาดวิตามินนี้ก็พบได้น้อยมาก
• วิตามินบี 12 (Cobalamin) : เนื่องจากวิตามินตัวนี้สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง หากขาดไปจึงทำให้เกิดภาวะซีดร่วมกับอาการทางระบบประสาทและอาการทางจิต การขาดวิตามินตัวนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการขาดอย่างเรื้อรัง เนื่องจากร่างกายสามารถเก็บสะสมวิตามินตัวนี้ไว้ที่ตับได้นานถึง 3-5 ปี และมักเกิดจากการขาด Intrinsic factor ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ดูดซึมวิตามินบี 12 จากทางเดินอาหาร ภาวะนี้เรียกว่า Pernicious anemia และเนื่องจาก Intrinsic factor นี้จะค่อยๆ ลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ผู้สูงอายุจึงมีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 12 เพิ่มขึ้น
• วิตามิน D
การขาดวิตามินดีสามารถทำให้เกิดโรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม และโรคออทิสติกได้ โดยคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวและมีแสงแดดน้อยจะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินชนิดนี้ เนื่องจากแสงแดดเป็นแหล่งวิตามินดีที่สำคัญของร่างกาย
• วิตามิน C
การขาดวิตามินแบบไม่แสดงอาการอาจทำให้มีอาการซึมเศร้า ซึ่งต้องรับประทานวิตามินเสริมเพื่อช่วยลดอาการ การเสริมรับประทานวิตามินซีเสริมนั้นจำเป็นหากคุณกำลังเข้ารับการผ่าตัด หรือเป็นโรคที่มีการอักเสบในร่างกาย นอกจากนั้น ความเครียด การตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร ก็เป็นภาวะที่ทำให้ร่างกายต้องการวิตามิน C เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงผู้ที่กำลังใช้ยาแอสไพริน ยา Tetracycline และยาคุมกำเนิด ซึ่งยาเหล่านี้จะทำให้ระดับวิตามินซีในร่างกายลดลง
• แร่ธาตุ
การขาดแร่ธาตุบางชนิดอาจเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้าและโรคทางกายอื่นๆ ได้ เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม ซิงค์ เหล็ก แมงกานีส และโพแทสเซียม
อย่างไรก็ตาม คุณควรระลึกไว้เสมอว่าอาหารที่เรารับประทานในชีวิตประจำวันคือแหล่งวิตามินที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งรวมถึงวิตามินเหล่านี้ด้วย ดังนั้นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (บางคนจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริมด้วย) เนื่องจากมีการขาดวิตามินหลายชนิดที่อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณมีอาการของโรคซึมเศร้า ควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์หรือนักจิตบำบัดก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมใดๆ ด้วยตนเอง
ขอขอบคุณ
ข้อมูล : honestdocs
โฆษณา