14 เม.ย. 2020 เวลา 04:55 • การศึกษา
วิธีดูว่า อันไหนเป็นวิทยาศาสตร์เก๊ (Pseudosciences)
ต้องยอมรับว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคสมัยนี้รุดหน้าไปไกลมาก จนบางอย่างเราก็ตามไม่ค่อยทัน
และด้วยความที่มันก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วนี้เอง มันเลยเกิดองค์ความรู้ปลอม ๆ ที่เรียกว่า Pseudoscience ปะปนขึ้นมาเรื่อย ๆ และแน่นอน มีคนจำนวนไม่น้อยที่หลงเชื่อว่า มันคือของจริง
นับตั้งแต่มะนาวโซดารักษามะเร็ง ไปจนถึงล่าสุด ส้มตำรักษาโควิด!
ถามว่าทำไมคนจำนวนไม่น้อยถึงเชื่อ อันนี้เป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบความท้าทาย ชอบสิ่งที่ฟังดูแล้วชวนตื่นเต้น ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมาก ๆ แต่กลับมีความรู้ที่นึกไม่ถึงซ่อนอยู่ ยิ่งดึงความสนใจได้เป็นพิเศษ
และตรงนี้เอง ที่จะเป็นช่องโหว่ให้คนอุปโลกเอาความรู้ปลอม ๆ มาหลอกให้หลงเชื่อและหาผลประโยชน์จากเราได้
สิ่งที่ใช้ในการบ่งบอกว่า ความรู้ที่เรากำลังสนใจนั้น อาจจะเป็น Pseudosciences
1. ไม่มีที่มาที่ไป ถ้าเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์จริง ๆ จะต้องมีการอ้างอิง (Reference) ไปยังแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น อ้างอิงหลักการที่ได้รับการยอมรับ หรือมีการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ถ้าองค์ความรู้ใดที่เหมือนอยู่ ๆ ลอยขึ้นมา เช่น มาจากในอินเตอร์เน็ต หรือขึ้นต้นด้วยวลี "เขาบอกว่า..." (และไม่ระบุด้วยว่าใคร) ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจจะเป็น Pseudoscience
2. ทดสอบไม่ได้ หากเป็นความรู้ที่เกิดจากกระบวนวิธีวิจัยที่ถูกต้อง (Research methodology) แล้วหล่ะก็ เราสามารถที่จะทำการทดสอบซ้ำเพื่อให้ได้ผลการทดลองตามเดิมได้ แต่หากเรานำเอาองค์ความรู้ใดไปทกสอบ แล้วได้ผลไม่เหมือนเดิม หรือไม่มีผลใด ๆ ตามที่กล่าวอ้าง ความรู้นั้นก็อาจจะเป็น Pseudosciences
3. ใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ถ้าเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องจริง ๆ แล้วหล่ะก็ มันจะต้องเกิดโดยปราศจากความเอนเอียงทางความคิด (Bias) ดังนั้น ถ้าความรู้ไหนมันเกิดจากความคิดว่า มันเป็นแบบนั้นแล้ว มันน่าจะเป็นแบบนั้นต่อได้ โดยปราศจากการศึกษาทดลองที่ถูกต้อง ความรู้นั้นอาจจะเป็น Pseudoscience ได้ มะนาวโซดาฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้ บางคนจึงคิดไปเองว่ามันฆ่าเซลล์มะเร็งในตัวมนุษย์ได้
4. มักมีการโน้มน้าวให้เชื่อ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ใช้บ่งชี้ได้ชัดเจน ถ้าความรู้ใดมีการแฝงโฆษณา หรือแอบอ้างบุคคลอื่นเพื่อให้เราเชื่อข้อมูลนั้น โดยที่ให้น้ำหนักหรือความสำคัญของความถูกต้องของข้อมูลน้อยกว่า เช่น อ้างว่า วัคซีนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อเด็ก มีหลาย ๆ คนก็ไม่ฉีด คนสมัยก่อนก็ไม่เห็นต้องฉีด แบบนี้ก็อาจจะเป็น Pseudosciences
แล้วถามว่าคนที่สร้าง Pseudosciences เขาทำไปเพื่ออะไร
ตรงนี้คงจะเป็นเหตุผลที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจจะต้องการขายของโดยอ้างอิงจาก Pseudosciences ที่ตัวเองสร้างขึ้นหรือได้ยินมา เพื่อหารายได้ให้ตัวเอง บางคนก็อาจจะต้องการการยอมรับหรือเป็นที่รู้จัก จากการถูกอ้างถึงหรือยอดแชร์ของ Pseudosciences ที่ถูกเผยแพร่ไป
แต่ที่แน่ ๆ Pseudosciences ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สร้างอย่างแน่นอน
ดังนั้น เพื่อให้เราจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่คิด Pseudosciences ขึ้นมาทางใดทางหนึ่ง
ก็ลองฉุกคิดสักนิด ว่าสิ่งที่เรากำลังจะเชื่อ สิ่งที่เรากำลังจะแชร์
มันน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
โฆษณา