15 เม.ย. 2020 เวลา 05:32 • ธุรกิจ
"ปรากฎการณ์ทั้ง 7 เมื่อโควิดสงบลง"
ณ วัน 15 เมษายน จำนวนผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกทะลุ 2 ล้านเข้าไปแล้ว ผลกระทบที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดคือ เราเดินทางกันน้อยลง (Travel Less) ธุรกิจหลายแห่งจำเป็นต้องปิดกิจการลงชั่วคราว (Business Shutdown) ทำให้ผู้คนเริ่มทิ้งระยะห่างออกจากกัน (Social Distancing) เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค
เราไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะจบลกเมื่อไหร่ แต่ถ้าเหตุการณ์ยิ่งยืดเยื้อออกไป เชื่อแน่ว่า Disruption ทั้งในแวดวงธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคจะปรับตัวรุนแรงรวดเร็วในอัตราเร่งกว่าปกติแน่นอน
เมื่อ Ecosystem ถูกจัดระเบียบใหม่หมด นั่นหมายความว่าบางสิ่งจะต้องปรับตัวเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป New Normal Trend คือเทรนด์ใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าเริ่มสงบลง พอคนเริ่มคุ้นชินกับการใช้ชีวิตภายใต้ภาวะวิกฤต มีความเป็นไปได้ว่าเราจะไม่หวนกลับไปใช้ชีวิตหรือดำเนินธุรกิจในแบบเดิมๆ เหมือนตอนที่ทุกอย่างเคยปกติ
จากการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้าน ผมพบว่าปรากฏการณ์ใหม่ที่เราน่าติดตาม สงสัย และหาคำตอบว่า "ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง เราน่าจะจัดการ หรือตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรได้บ้าง"
1. Physical Facilities are less sharing ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งปันสถานที่พักอาศัย สถานที่ทำงาน การออกกำลังกายจะได้รับความนิยมน้อยลงเพราะผู้คนเกิดความหวาดระแวงในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยในการใช้สถานที่/อุปกรณ์ร่วมกับคนแปลกหน้า ฉะนั้นการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ การให้เช่าอพาร์ทเมนต์ hostels, co-working space จะเริ่มยากขึ้น Sharing Economy ซึ่งเคยเป็นโมเดลของความสำเร็จในยุคที่ผ่านมา อาจใช้ไม่ได้กับบางประเภทธุรกิจ
2. Physical Distribution & Delivery transform to Digital mode ในวันที่ห้างสรรพสินค้าต้องปิดการให้บริการ ผู้คนต่างมุ่งไปที่การช้อปปิ้งออนไลน์ และการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่กันมากขึ้น พอโรงเรียน/มหาวิทยาลัยถูกสั่งปิด เหมือนสถานการณ์บีบบังคับให้ทั้งครูและนักเรียนถูกขึ้นไปอยู่บนระบบ remote e-learning ส่วนบริษัทเองก็ต้องใช้วิธี Work from Home แทนการเดินทางไปที่ทำงาน เมื่อไหร่ที่คนเริ่มคุ้นเคยกับวิถีชีวิตแบบดิจิทัลกันมากขึ้น เมื่อนั้นความต้องการที่จะออกไปช้อปปิ้งที่ห้าง ไปเรียนที่มหาวิทยาลัย หรือไปตอกบัตรที่บริษัทก็จะน้อยลง เราจะได้เห็นวิธีการส่งมอบสินค้าและบริการที่ต่างไปจากเดิม จะเกิด Super App ที่สามารถจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ จะมี Software ที่บริหารจัดการ Workflow ได้อย่างสมูท และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ Machine หรือเครื่องมือจะถูกนำมาใช้เพื่อทดแทนคน ถ้าทั้งหมดเป็นไปตามที่คาด ห้างบางพื้นที่จะถูกปิดตัวลง มหาวิทยาลัยจะแข่งขันกันทำ online courses และหลายบริษัทก็จะเริ่ม lay-off พนักงาน
3. Payment Channels become more contactless ปริมาณการใช้เหรียญและธนบัตรในการชำระค่าสินค้าและการบริการจะน้อยลงในอัตราก้าวกระโดด Cashless Society สังคมไร้เงินสดจะเริ่มเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม การใช้ mobile banking app กลายเป็นเรื่องปกติ ที่เพิ่มเติมคือการรวมตัวของค่ายยักษ์ใหญ่ในการสร้าง e-Wallet ของตัวเองให้กลายเป็นที่นิยม แม้กระทั่งบัตรเครดิตเองก็จะถูกใช้น้อยลงถ้ารูปแบบการชำระเงินยังต้องมีการแตะสัมผัสหรือต้องจับปากกาเซ็นชื่อเหมือนเดิม เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับกับ Voice Recognition System การสแกนม่านตาและบาร์โคดจะกลายเป็นกระแสหลักของการ Identify ตัวตนและการชำระเงินมากกว่าระบบ Fingerprint
4. Private Gathering & Entertainment are more accepted การจัดประชุม สังสรรค์ และชุมนุมคนหมู่มากจะถูกมองเป็นเรื่องน่ารังเกียจ การจัดอีเวนท์ในยุคถัดไปจะไม่เน้นปริมาณคนเข้าร่วม แต่อาจเพิ่มความถี่และน่าจะเปลี่ยนรูปแบบไปที่ดูสร้างสรรค์และมีความเป็น Exclusive มากยิ่งขึ้น ใครที่อยู่แวดวงธุรกิจ Event Organizer, PR, Entertainment และ Training คงต้องปรับตัวกันยกใหญ่เพื่อคงฐานรายได้และลูกค้าเอาไว้
5. Privacy is compromised ข้อมูลส่วนบุคคลที่เราเคยหวงแหน จะถูกนำไปใช้ในการตรวจสอบตัวตน สถานะ ประวัติการเดินทาง และอื่นๆ เพื่อให้รัฐฯ สามารถติดตามเราได้ ส่วนบริษัทเองก็จะเข้าถึงพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยสินค้า/บริการของเรามากขึ้น เป็นยุคที่ความปลอดภัยและสุขภาพมีความสำคัญมากกว่าการรักษาความเป็นส่วนตัว
6. Peer support is encouraged สังเกตกันบ้างไหมว่าช่วงที่ผ่านมา นอกจากเครื่องอุปโภค/บริโภคขั้นพื้นฐานแล้ว เรามักสนับสนุนและอุดหนุนสินค้าของคนที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันมากขึ้น นอกจากจะเป็นการแสดงน้ำใจในฐานะผู้ประสบภัยร่วมกันแล้ว เรายังเกิดความเชื่อมั่นว่าแบรนด์เหล่านั้นผลิตของดีมีคุณภาพและมี engagement ที่ดีกับผู้บริโภคอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้ จะเกิด sub-groups มากมายในทุกแวดวงที่เราสังกัดอยู่ เพราะกรุ๊ปปิดเหล่านี้จะได้รับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นการอุดหนุนเอื้อเฟื้อสินค้า/บริการของเพื่อนฝูงคนกันเอง
7. Personal focus on ourselves ที่ผ่านมาเรามักใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังของสังคม จนกระทั่งเราได้ค้นพบความสงบสุขอีกรูปแบบหนึ่งเมื่อเราต้องกักตัวเองอยู่ติดบ้าน ได้คุยกับตัวเองมากขึ้น ได้เข้าใจศักยภาพ ความสามารถ และความต้องการที่แท้จริงของตัวเองมากยิ่งขึ้น ต่อจากไปนี้ไปเราจะให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคล การตั้งเป้าหมายชีวิต การพัฒนาตัวเอง และการรู้จักพึ่งพาตัวเองให้ได้ในทุกๆ สภาวะ
ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเราไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวช้าหรือเร็ว วิกฤตนี้ได้นำพามาซึ่งข้อคิดในการดำเนินธุรกิจและชีวิตในรูปแบบที่ต้องมีแผนสำรองเผื่อฉุกเฉิน อย่ามัวตะลึงงกเงิ่นงงงันว่าทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ แต่จงตั้งสติแล้วลงมือทำอะไรซักอย่างที่ทำให้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ของเราดีกว่าการจมอยู่กับอดีตที่จัดการและเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
ถ้าอยากฟังบทวิเคราะห์นี้ให้ลึกไปกว่านี้ แนะนำให้กดฟังใน Podcast ดูครับ ผมแปะลิงค์ไว้ที่คอมเมนต์ด้านล่างนี้ ใครใช้ MacBook, iPad และ iPhone สามารถฟังผ่าน Apple Podcasts ได้แล้ววันนี้
โฆษณา