16 เม.ย. 2020 เวลา 01:30
เคยเป็นไหม ? รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งจริง, เรื่องที่เรารู้ ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว,
อะไรดี ๆ ที่ผ่านมาก็เพราะดวงล้วน ๆ และยังว่ากลัวคนอื่นจะจับได้อีก !
หรือคุณจะเป็น IMPOSTOR SYNDROME ?
หรือคุณจะเป็น IMPOSTOR SYNDROME ?
IMPOSTOR SYNDROME ..
น่าจะเป็นคำที่หลาย ๆ คนจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วเนอะครับ
ถ้าผมเล่าไป ผิดตรงไหนขึ้นมา ผมจะดูโง่ทันที งั้นผมไม่เล่าดีกว่า ...
ตัวอย่างข้างบนนี้คือความคิดของผมจริง ๆ เลยครับก่อนจะเริ่มเขียนบทความนี้ เป็นความคิดที่เรารู้สึกว่าเราเองยังไม่รู้จริงเลย จะมาเล่าได้ไงกัน
คนอื่นจะเชื่อเราหรอ ถ้าเราเล่าข้อมูลตรงไหนผิดไปหละจะทำยังไง
แต่ด้วยความที่เพจนี้คือ Greenhorn นั้นเอง ผมออกตัวไว้ก่อนแล้วว่าผมคือมือใหม่ที่ไม่ได้ฉลาดไปกว่าคุณ เพราะงั้นหากผมทำอะไรผิด หรือจะดูโง่ยังไง
ก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว วะฮาฮ่าฮ้า
เพราะฉะนั้น ถ้าเล่าอะไรผิดไป รบกวนทุกท่านช่วยแก้ให้ด้วยนะครับ แหะ ๆ
คำว่า IMPOSTOR ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า "a person who pretends to be someone else in order to deceive others, especially for
fraudulent gain" หรือ แปลไทยแบบไว ๆ ก็คนโกง คนหลอกลวงนี้เองครับ
แต่สำหรับ IMPOSTOR SYNDROME ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนที่เสพติดการหลอกลวงคนอื่นนะครับ แต่หมายถึงอารมณ์ประมาณว่า
"เราไม่สมควรจะได้รับความชื่นชม"
"ความสำเร็จต่าง ๆ ของเราเป็นเพราะดวง ไม่ใช่ความสามารถจริง ๆ"
"เราไม่ได้มีความสามารถอะไรขนาดนั้น"
"ทุกเรื่องที่เรารู้ เราทำได้ ใคร ๆ ก็ทำได้และรู้เหมือนกัน"
และที่สำคัญเลยคือ "เรากลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเราไม่ใช่ของจริง" ครับ
สิ่งที่เราคิด vs ความเป็นจริง
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมขอยกคำพูดของ
Jennifer Lopez ที่เคยพูดไว้ว่า
‘Even though I had sold 70 million albums,
there I was feeling like "I’m no good at this.”'
"ถึงฉันจะขายผลงานเพลงไปแล้วกว่า 70 ล้านอัลบั้ม
ฉันก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าชั้นร้องเพลงไม่เก่งเลย"
สองนักร้องระดับตำนานกับ IMPOSTOR SYNDROME
อีกคนครับ กับนักร้องขวัญใจ Monster ทั้งหลาย Lady Gaga
'I still sometimes feel like a loser kid in high school and I just have to pick myself up and tell myself that I’m a superstar every
morning so that I can get through this day and be for my fans
what they need for me to be.'
"บางครั้งฉันยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็ก ม.ปลาย ขี้แพ้ และฉันต้องคอยปลุก
ตัวเอง โดยการบอกกับตัวเองทุกเช้าว่าฉันคือ Superstar เพื่อที่จะทำให้ฉันผ่านแต่วันไปได้ และเป็นตัวตนไปแบบที่แฟนเพลงอยากให้ฉันเป็น"
ปัจจุบันมีการแบ่งรูปแบบของ IMPOSTOR SYNDROME
ไว้ 5 แบบด้วยกัน ลองมาดูกัน ว่าเรา ๆ ตรงกันข้อไหนกันไหมครับ
1. The Perfectionist - คำนี้คุ้นหูแน่นอน คนที่ทุกอย่างต้อง 100%
ทำเร็ว ทำดี ออกมาเยี่ยมทุกมุมมอง ความสำเร็จของคนกลุ่มนี้จะเป็นอะไร
ที่น่าพึงพอใจมากก พราะเขาเชื่อว่างานนั้น ๆ จะไม่สามารถดีกว่านี้ได้อีกแล้ว
(ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก Perfectionist จะยอมรับว่างานของตัวเอง Perfect)
2. The Superwoman/man - ตรงตามชื่อเลยครับ ซุปเปอร์แมนเก่งกาจ
รอบด้านฉันใด คนกลุ่มนี้ก็มองว่าเขาเองต้องทำได้ดีในทุกด้าน ต้องรอบด้าน
เช่นกัน และที่สำคัญคือต้องทำได้ดีแบบไม่ต้องลงมือลงแรงอะไรยากเย็นด้วย
3. The Natural Genius/The Great Mind - คนที่มีเรื่องบางเรื่องที่เก่งแต่เกิดโดยธรรมชาติ ทำเรื่องนั้น ๆ ได้ดี แต่พอมาเจออะไรที่ยาก และรู้สึกว่าต้องใช้เวลาในการทำ จะเกิดความรู้สึกขึ้นเองเลยครับว่า "แค่นี้ก็ทำไม่ได้ ใช้เวลาตั้งเยอะ เห็นไหม จริง ๆ เราก็ไม่ได้เก่งจริง ๆ สักหน่อย"
4. The Soloist - คนที่ทำอะไรต้องทำด้วยตัวเอง สำเร็จได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องให้คนอื่นช่วยสักนิดเดียวเท่านั้น ถึงจะถือว่าเก่งจริง หากเจอเรื่องไหนก็ตามที่ต้องให้คนอื่นช่วยถึงจะสำเร็จ จิตตกและคิดไปเองแน่นอนครับว่าจริง ๆ เราก็ไม่ได้เก่ง
4
5. The Expert - คนที่เชื่อว่าก่อนจะทำอะไรสักอย่าง ต้องได้ข้อมูล
ต้องรู้ขั้นทุกอย่างก่อน ถึงจะทำอะไรได้ครับ เช่น คนกลุ่มนี้จะไม่ยกมือตอบ
หรือพูดต่อหน้าใคร ถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้เรื่องนั้นครอบคลุมจริง ๆ
เพราะกลัวว่าจะดูไม่ฉลาดครับ ผมเชื่อว่าเราเป็นกันเยอะเลยข้อนี้
What's your impostor type?
ถึงตรงนี้จริง ๆ แล้วก็ดูไม่ใช่สิ่งที่แย่ซะทีเดียวนะครับ ข้อดีของมันก็คือทำให้
เราดีลกับอีโก้ของเราเองได้ ไม่มั่นใจเย่อหยิ่งมากเกินไป และถือเป็นโอกาสที่อาจจะทำให้เราอยากจะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
แต่อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีจริง ๆ นั้นแหละครับ เพราะนอกจากจะส่งผลโดย
ตรงเรื่องความมั่นใจในตัวเองแล้ว ยังทำให้เราไม่มีความสุขกับความสำเร็จ
หรือสิ่งที่เป็นอีกด้วย ซึ่งอันนี้สำคัญมาก
กระจกวิเศษเอ๋ย บอกหน่อย ฉันควรค่าแก่การเป็นเจ้าป่าหรอ
สามวิธีสั้น ๆ รับมือและอยู่กับมัน
ทีนี้มาถึงวิธีการแก้ ทำยังไงให้เราสามารถจัดการกับมันไม่ให้มากเกินไป
หรือน้อยเกินไปดี เท่าที่ผมเช็คหาคำตอบ มีเยอะแยะมากมายเลยครับจาก
หลากหลายที่ ร่วม ๆ แล้วเป็นร้อยข้อ ผมขอสรุปในแบบของผมเองดีกว่า
1. เริ่มจากการรู้จักกับมัน และยอมรับมัน
มีคำพูดคำนึงที่ผมชอบมาก แต่ไม่แน่ใจว่าจากอริสโตเติลหรือไอสไตน์
เขาบอกว่า "the more you know the more you don't know"
ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ เราก็จะรู้ว่าเราไม่รู้อีกเยอะ
เพราะฉะนั้นในเคสนี้ การรู้และยอมรับมันไว้ก่อน ก็ทำให้เรารู้ว่ามีอะไรอีก
หลายอย่างที่เราไม่รู้ หัวใจสำคัญคือเราจะได้ "สังเกตตัวเอง" ครับ
2. จัดการกับความคาดหวัง (เหมือนกับประตูที่เข้าได้ก็ออกได้)
หลาย ๆ ครั้งที่ IMPOSTOR SYDNDROME นี้มาพร้อมกับความคาดหวัง
ไม่ว่าเราจะพูดหรือทำอะไรออกไป โดยหวังว่ามันจะต้องดี มันต้องถูกต้อง
ทั้งกับเราเอง และคนอื่น พอไม่สมหวัง เราก็จะจิตตก และเสียขบวนไปเลย
เพราะฉะนั้นเราต้องจัดการกับความคาดหวังไว้ก่อนครับ
ข้อนี้ผมอยากจะยกตัวอย่างของ Jeff Bezos ครับ ทุกท่านน่าจะรู้จักกันดี
และอาจจะพอทราบกันว่ามหาเศรษฐีคนนี้ ออกจากงานประจำเงินเดือนหลายแสน เพื่อมาทำ Amazaon ทั้งที่ไม่มีอะไรการันตีเลยว่าจะสำเร็จ
เคยมีคนถามคำถามประมาณนี้กับ Jeff เหมือนกันครับว่าทำไม
เขาคิดอะไรอยู่ Jeff บอกว่า เขามองว่า "ประตูมันมีสองด้าน"ครับ
ไม่ได้ใช้ว่าเข้าแล้วจะออกไม่ได้ อย่างที่เขาออกจากงานประจำเขาก็มีกำหนดเวลาไว้ ว่าถ้าทำธุรกิจเอง กี่ปีแล้วไม่เวิร์ค เขาก็จะกลับไปทำงานประจำ
ก็แค่เหมือนกันเราเข้าประตูนี้ไป ถ้าเข้าไปแล้ว เห็นแล้ว มันไม่ใช่
ก็แค่ออกมา แล้วไปเข้าประตูอื่น แต่ถ้าเรามัวแต่งึกงักไม่เข้าไม่ออกเลย
เราจะรู้ได้ไงยังไงครับว่าประตูนั้นข้างในมีอะไรอยู่
ก็เหมือนกับการที่เราจะดีลกับ IMPOSTOR SYNDROME ครับ ไม่ใช่ว่าการที่เราไม่มีข้อมูลครบ จะไม่ทำ ไม่แสดงความคิดอะไรเลย
ให้มองว่ามันก็เหมือนเราไล่เปิดประตูไปเรื่อย ๆ ครับ โดยไม่ต้องคาดหวังว่าข้างในประตูทุกบานจะต้องสวยงามทั้งหมด
JEFF BEZOF แห่ง Amazon (ที่ไม่ใช่ป่าและร้านกาแฟ)
3. มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ
แน่นอนครับว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือความสุขของเขา
และคนที่เรารัก เพราะฉะนั้นอะไรที่มาขัดขวางคามสุขของเรา
ทั้งที่เราควรจะสุข เช่น เจ้า IMPOSTER SYNDROME นี้
หลังจากเราดีลกับความคาดหวังได้ระดับนึงแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะมาดีล
กับความสุขเราเองครับ ทำยังไงก็ได้ หาทางออกให้เรามีความสุขที่สุด
อะไรที่กวนใจเรา บางทีช่างมันออกไปก็ดี
ขอย้ำอีกครั้งนึงครับ หากผมพิมพ์ผิดหรือข้อมูลไม่ต้องประการใด
ขอความกรุณาทุกท่านช่วยแก้กันด้วยนะครับ
หลังจากมั่นอกมั่นใจ พิมพ์มายาวเยียด
แวบแรกที่พมพ์เมื่อกี้คือ
"ถ้ามีคนมาบอกว่าผมให้ข้อมูลผิดจริง ๆ ผมก็คงเสียใจแย่"
แต่ไม่เป็นไรแล้วครับ เพราะ
(1) ผมรู้จัก รู้ทัน และยอมรับว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่
(2) ผมจัดการกับความคาดหวังของทั้งตัวเองและจากทุกท่านเรียบร้อย
(3)ผมเริ่มรู้สึกว่าแค่ได้แบ่งปัน ก็มีความสุขแล้ว และคงจะยินดีอีกมาก ๆ
ถ้าจะมีคนอื่น ๆ มาร่วมกันแบ่งกันความรู้
(พูดง่าย ๆ คือแค่มีคนมาอ่านก็ดีใจแล้ว)
อย่าลืมกดติดตามกับด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้มือใหม่ด้วย
แต่ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก๋า อย่าลืมนะครับว่า
"what get you here won't get you there"
มาพัฒนาไปพร้อมกันนะครับ !
Greenhorn เพจที่จะเล่าสาระทุกเรื่อง โดยมือใหม่หัดเขียน
ที่จะพัฒนาไปพร้อมคุณ
โฆษณา