20 เม.ย. 2020 เวลา 12:36 • การศึกษา
Digital Disruption กำลังทำให้วงจรแห่งความรักสั้นลงเรื่อยๆ
ความรักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเราจะเป็นเพศตรงข้ามหรือคนละเพศ ความรักก็ยังสามารถก่อตัวได้เสมอไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปยังใงก็ตาม
จากเดิมในอดีต เวลาที่เราจะส่งข่าวสารเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบกัน เราจะต้องส่งผ่านจดหมาย โทรศัพท์ โทรเลข ๆลๆ แต่พอมาในยุคสมัยนี้ ก็มีSocial Media มากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถส่งข้อความถึงกันได้
เราสามารถเดินทางและติดต่อสื่อสารโดยถ้วนหน้าและเท่าเทียมกันได้อย่างอิสระในโลกยุค Digital Disruption ที่พร้อมที่จะให้เราสามารถใกล้ชิดความรักได้ตลอดเวลา ซึ่งการที่เราสามารถทำได้แบบนี้ ตามหลักแล้วมันก็ควรที่จะทำให้เราได้รักกันมากขึ้น แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นแบบนั้น....
จากการวิจจัยและข่าวสำนักต่างๆได้เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีการ"หย่าร้าง" ปีละกว่าแสนคู่ โดยในปี 2547 มีอัตราการหย่าร้างร้อยละ 24 โดยมีผู้จดทะเบียนสมรส 365,721 คู่ จดทะเบียนหย่า 86,982 คู่ ล่าสุดในปี 2560 อัตราการหย่าร้างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 41 มีผู้จดทะเบียนสมรส 297,501 คู่ หย่า 121,617 คู่ เฉลี่ยหย่าวันละ 333 คู่
และที่สำคัญก็คือ นอกจากการอย่าจะสร้างความเจ็บปวดที่แสนสาหัสแล้ว อัตราการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสเองก็มีแนวโน้มที่ลดลงเช่นกันโดยในช่วงปี 2550 ถึง 2560 ประเทศไทยจะมีประชากรเพิ่มขึ้นมากถึง 3 ล้านคน แต่ในปี 2550 สถิติการสมรสของคนไทยลดลงจากประมาณ 314,000 คู่ ส่วนในปี 2560 ลดมาอยู่ที่ประมาณ 298,000 คู่ (ลดลง 5.1%)
ที่มา:thumbsup
และในช่วงยุค Digital Disruption ก็ได้มีธุรกิจจัดหาคู่มากมายที่พยายามเข้ามาตอบโจทย์ให้เราสามารถได้เจอกับคนที่ใช่หรือตรงกับพรหมลิขิตมากขึ้นด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ Tinder และ DNA Dating App ที่พัฒนาโดยGeorge Church นักพันธุศาสตร์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีความคิดที่จะสร้างแอปฯ หาคู่ จาก DNA ที่เหมาะสมกันของคู่เดท โดยผู้ที่เป็นสมาชิกของแอปฯ แต่ละคน จะมี DNA ของตัวเอง และจะมีตัวเลือกจากสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อจับคู่ว่าคู่ใดที่เหมาะสมกัน
ในส่วนของ Tinder เองก็มียอดผู้ใช้งาน Tinder ทั่วโลกตอนนี้อยู่ที่ 57 ล้านบัญชี และมีรายได้ถึง 27,400ล้านบาท(ในปี 2019)
จากข้อมูลเบื้องต้น คุณเคยสงสัยหรือเคยตั้งคำถามไหมครัวว่า ในโลกDigital Disruption ถึงเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้ง"วัตถุ"และ"คู่นอน"ได้รวดเร็วขนาดนี้? นั่นก็เพราะว่า Digital Disruption กำลังจะทำให้"วงจรชีวิตแห่งความรัก"หรือ Cycle of Love สั้นลงครับ โดยวงจรจะมีลักษณะดังรูป
Cycle of love
จากรูปข้างต้น คุณจะได้เห็นถึงวงจรชีวิตตามความเป็นจริงของความรักในหลายๆด้านของความรัก และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ
Digital Disruption กำลังเร่งวงจรความเร็วให้กับCycle of love มากขึ้นจนทำให้เราสมหวังและผิดหวังในความรักได้อย่างรวดเร็วขึ้นนั่นเอง และปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเร็วก็คือ Social Media ได้แก่ Facebook Line IG เพราะเราสามารถ"บอกรักใครก็ได้บนโลกใบนี้โดยไม่ได้รักอย่างแท้จริงได้"นั่นเอง.....
ปัญหาที่สำคัญก็คือ
1.มนุษย์ไม่สามารถแบกรับความรักที่เจ็บปวดซ้ำๆซากๆได้มากขนาดนั้นในขณะที่Digital Disruption เร่งความเร็วของCycle of love ทุกขณะ(เพราะแบบนี้คนหลายๆคนจึงอยากเป็นโสดมากกว่ามีแฟน เพราะไม่สามารถทนทานกับสิ่งๆนี้ได้)
2.มนุษย์ทุกคนต้องการรักแท้ในแบบจิตวิญญาณและกรอบความคิดของตัวเอง และDigital Disruption มักจะอยากให้เราเปลี่ยน"คู่นอน"ให้เหมือนกับ"วัตถุ" เพราะในวันนี้ถ้าเราอยากจะนอกใจใคร เราก็แค่คุยกับกิ๊กหรือเมียน้อยผ่านทางSocial Media(โดยไม่ให้แฟนรู้ด้วยนะครับ)และสามารถพบเจอกันได้อย่างสบายๆทั้งไปกินข้าว ดูหนัง เที่ยวสวนสนุก หรือนัดไป....แถวๆไหนก็ได้
3.เราไม่สามารถเอาแน่เอานอนกับ"ความหลงในความรัก"ของตัวเองได้ ยิ่งDigital Disruption เริ่งปฏิกริยา ก็ยิ่งทำให้การนอกใจไม่ห่างไปจาก"นิ้วโป้ง"เลย....
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เหรียญล้วนมี 2 ด้านเสมอครับ ข่าวดีก็คือ
1.Digital Disruption จะเร่งให้ Cycle of love เร็วขึ้นจนทำให้เราสามารถเจอคนที่ใช่ได้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน โดยตัวเร่งนี้ก็คือ Tinder และ DNA Dating App เป็นต้น
2.เมื่อคุณมีโอกาสได้เจอคนที่ใช่ได้อย่างรวดเร็วแล้ว หากคุณคว้าเอาไว้แล้วสร้าง"รักแท้ที่สมดุลระหว่าง"ความสวยงาม"และ"ความเลวร้าย"ได้ มันก็จะเป็นเกราะกำบังไม่ให้ Cycle of love หมุนเร็วเกินไปจนคุณล้มครืนได้ครับ
3.หากคุณกลัว Cycle of love คุณก็เพียงแค่อย่าไปยุ่งกับมันแล้วเป็นโสดตลอดไป เพียงแค่นี้คุณก็สามารถมีความสุขที่"ใจกลางของตัวเอง"ได้🙂
ขอให้คุณลองหมั่นถามตัวเองว่า "รักแท้ต้องการอะไรจากเราสองคน" เพื่อให้เราสามารถหาสมดุลของความรักระหว่างเราสองคนให้ได้และเพื่อไม่ให้Digital Disruption สามารถมาทำอะไรเราได้
ขอต้อนรับสู้โลกยุคใหม่ ยุคที่คำว่ารักมีมากขึ้นแต่คุณค่าของคำว่ารักกลับลดลง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ พูดคำว่ารักเพียงไม่กี่ครั้งแต่ทุกครั้งล้วนลึกซึ้ง น่าจะดีกว่า
อย่าลืมกดLike กดShare และกดFollow ด้วยนะครับ🥰

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา