อย่าแปลกใจทำไมเพื่อนไม่คุยด้วย
ธรรมชาติ ของคนที่มีคลื่นจิตที่ต่างกัน จะเป็นตัวผลักกันออกแบบเนียนๆ มารู้ตัวอีกที ก็เดินกันคนละทางแล้ว...
อย่าแปลกใจว่าทำไมเพื่อนไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากคลิกไลท์ ไม่อยากร่วมโปรเจค คบก็เพียงผิวเผิน สนทนาพอเป็นพิธี พอรักษามารยาททางโลกเท่านั้น..ถ้าได้จังหวะ ก็อยากจะปลีกตัวออกทันที...
เหตุผลเพราะคลื่นจิต คลื่นความคิด ของคนนั่นแหละที่เป็นตัวสร้างให้เกิดภาวะแยกกันตรงนี้ เหมือนน้ำแยกตัวออกจากน้ำมัน...พอคลื่นจิตเรามันไม่จริงใจต่อกัน....วาจา..และการกระทำก็ตามมา....และความที่มนุษย์ทั่วไป รักษามารยาททางสังคมและการดูดีต่อกัน...คนดีๆทั่วไป....จึงไม่อยากตำหนิ..ไม่อยากตักเตือนใคร เพราะกลัวเขารับไม่ได้และหันมาโกรธเอา... เลยตัดสินใจปลีกตัวออกจากกัน ปลีกตัวออกจากกลุ่ม...นานๆค่อยคุยค่อยเกี่ยวข้องกันดีกว่า....เพราะอยู่ใกล้ๆแล้วมันร้อน.....แบบที่วัยรุ่น เรียกว่า อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ดีกว่า...
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลคบกันด้วยธาตุนิสัย ผูกพันกันด้วยบุญบาป ความแตกต่างของความคิด เป็นตั้งต้นแรกที่ผลักกันออก ซึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น...
คนขี้นินทาคนอื่นเป็นอาจิณ ปรามาสคนอื่นเป็นอาจิณ บ่นคนอื่นเป็นอาจิณ ริษยาคนอื่นเป็นอาจิณ วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเป็นอาจิณ คนอื่นไม่ดี มีดีแต่เราเอง ดูดีแต่เราเอง...แล้วก็บ่นๆๆเรื่องของคนนั่นคนนี้...ให้เพื่อนฟัง....ก็อย่าแปลกใจว่า ท้ายที่สุด..ทำไม เพื่อนที่เคยต้องนั่งทนฟัง.. อยากจะเนียนๆ ค่อยๆออกห่าง....ก็มันทุกข์นิ ...ไม่แปลกที่ใครจะอยากอยู่ใกล้คนกระจายทุกข์...เขานินทาคนอื่นอย่างสนุกปากได้....ก็ย่อมนินทาเราได้ในวันหนึ่ง.....
มีหลายทางเลือก ให้เลือก...เพื่อรักษาใจกรณีเจอความลำบากใจแบบคลื่นจิตผลักกันออก
1. ถ้าเรามีพฤติกรรมนั้น เลิกนิสัย นั้นเสีย ถ้าไม่ได้ ลดลงให้มากที่สุด
2. คนริษยา คือคนยินดีกับความสำเร็จคนอื่นไม่ได้ ถ้า เห็นภาพเขาแล้วทุกข์ คำพูดเขา เรื่องราวเขาแล้วทุกข์ มันโกรธ แนะนำ อย่าไป ติดตาม follow อย่าไปรู้ดีกว่า รู้แล้วของมันขึ้น อย่ารู้ อย่าสนใจ บาปทางใจจะได้ลดลง
3.พระพุทธเจ้าสอนว่าเมื่อสหายแลผู้ปกครองไม่ทรงธรรม ให้เธอท่องไปแต่เพียงผู้เดียวแล้วอย่าทำชั่ว...การกระทำแบบนี้ประเสริฐกว่า... ฉะนั้นในที่ทำงานถ้าเก๋าพอ ทำได้ เลือกทำข้อนี้ ฉายเดี่ยว..แต่ผลกระทบคือ ยิ่งจะโดนเพื่อนหมั่นใส้...ถ้าทนได้ถือว่าดีมาก ...
4. ถ้า ทำไม่ได้ เพราะเป็นผู้น้อย หนีไม่ได้ ภัยจะถึงตัว ต้องร่วมกลุ่มฟังวงสนทนานินทาริษยาอยู่เรื่อยๆ...ให้สั่งใจตัวเองให้มั่นคงว่า เราจะร่วมแต่กิริยากาย แต่ กิริยาใจเราจะไม่เอาด้วย ฟังให้มาก ตัดสินให้น้อย พูดให้น้อย
5. อย่ารู้สึกผิดอะไรมาก ธรรมชาติของคนย่อมคบหากันด้วยธาตุนิสัย การอยู่ห่างๆกับคนประเภทนินทาว่าร้าย ริษยา อาฆาตพยาบาท ดีแต่ตัวชั่วแต่คนอื่น นี้ ถือ ว่า ทำถูกแล้ว เพราะเราต้องรักษาสิ่งมีค่าที่สุดคือ ใจ เอาไว้..
6. การฝึกฝนลดการสะสมคลื่นจิตร้ายในใจเรา คือ การอย่าปรุงแต่ง ( คิดต่อ ) ต่อสิ่งที่เห็นหรือ ได้ยิน ถ้า ทำไมได้ ขอ แนะนำ สุดยอดเคล็ดวิชา " เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ " บ้าง
7. ถ้า เรา หวังดี กับเขา ก็บอกกันตรง สามครั้ง ถ้าทำแล้วไม่มีผล ให้หยุดถือเป็นกรรมเขา...ถ้า เป็นผู้มีอำนาจเป็นหัวหน้าที่ต้องรักษาความเป็นธรรมในองค์กร ก็เรียกมาตักเตือนตามสมควร หากคำพูดนั้นไม่จริงก่อโทษทำลายสามัคคี ถ้าไม่หยุด จึง ลงโทษ ตามมาตรการเบาไปหาหนัก ถ้าไม่ใช่เพื่อนหรือผู้ปกครอง ก็อย่าไปบ่นเพิ่ม เพราะเราพูดไปก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร....ปัญหาไม่จบ บ่นเพิ่ม ทำไม...
8. รักษาความบริสุทธิ์ใจในการเกี่ยวข้องกัน...เขากับเราเสมอกันด้วยความไม่รู้....ย่อมมีโอกาสผิดพลั้งพลาดกันได้ เหมือนเราก็เคยโกรธ เกลียด บ่น นินทา ริษยา เคยโง่ มาเหมือนกัน ...คนอื่นก็มีแบบเรามี ไม่ใครสมบูรณ์ ยอมรับตามความเป็นจริงในข้อนี้ ....แล้วจะมองคนทุกคนดีขึ้น
9. เราอาจมีใจที่ไม่บริสุทธิ์เท่าพระอรหันต์ .... แต่เราทำอะไรไปด้วยความบริสุทธ์ใจได้ ...
ใช้ความบริสุทธิ์ใจต่อกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
รัก
อ.ธรรมวัฒน์
ช่องทางติดตาม :
ช่องยูทูปบุญบำบัด
- 5
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
