24 เม.ย. 2020 เวลา 05:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
“รับชาหรือกาแฟเพิ่มไหมคะ Coffee or Tea?”
เสียงหวานๆ ของแอร์โฮสเตสดังขึ้น
ขณะที่เครื่องบินกำลังทรงตัวอย่างมั่นคงบนท้องฟ้า
พอได้ยินคำถาม หลายคนก็มีคำตอบในใจแล้ว
แต่คุณรู้ไหมว่า “คำตอบที่คุณเลือกนั้นอาจจะไม่ได้มาจากใจแต่เป็น Gene”
健康は食べ物で決まる
เคนโค วะ ทะเบะโมะโนะ เดะ คิมารุ
สุขภาพขึ้นอยู่กับสิ่งที่กิน
หรือภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า
You are what you eat
คุณเป็นในสิ่งที่คุณกิน
“เรารู้ว่าสิ่งที่เรากินบ่งบอกถึงสิ่งที่เราเป็น
แต่เราได้ค้นพบ สิ่งที่เราเป็นบ่งบอกสิ่งที่เรากิน”
คุณยูคิโนะริ โอคะดะ จากมหาวิทยาลัยโอซาก้า
ได้ประกาศการค้นพบยีน (Gene) 9 ตำแหน่งที่ส่งผลต่ออาหารที่ชอบ
เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2020 ที่ผ่านมา
ทีมวิจัยของคุณโอคะดะต้องการจะหาว่า
มีพันธุกรรมรูปแบบไหนบ้างที่สามารถทำให้มนุษย์
“อยู่ในความเสี่ยง” จากพฤติกรรมชอบกินอาหารบางชนิด
เขาจึงติดต่อขอใช้ข้อมูลจากธนาคารชีวภาพ (Biobank)
ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลพันธุกรรมของคนญี่ปุ่นค่ะ
และมีคนญี่ปุ่น 165,084 คน ยินยอมช่วยเหลือในการวิจัย
คุณโอคะดะจึงติดต่อขอให้คนกลุ่มนี้
ตอบแบบสอบถามถึงอาหารที่กินบ่อยๆ
หลังจากนั้นคุณโอะคะดะก็เอาข้อมูลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับพันธุกรรม
เพื่อหาความเหมือนกับความแตกต่างในยีน
แต่ทำไมต้องเป็นในยีนกันนะ อีกเดี๋ยวนิทชาจะเฉลยให้ฟังค่ะ
จนเขาได้ค้นพบความคล้ายกันของยีนทั้งหมด 9 ตำแหน่ง
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาหารที่กิน 10 ชนิด ตั้งแต่
กาแฟ ชา แอกอฮอล์ โยเกิร์ต เนยแข็ง นัตโตะ(ถั่วเหลืองหมัก)
เต้าหู้ ปลา ผัก และเนื้อสัตว์
แล้วเขาใช้วิธีการอะไรกันนะ
คุณโอะตะดะใช้เทคนิคในการตรวจหา “สนิปส์ (SNPs)” บน DNA ค่ะ
แล้วสนิปส์คืออะไรงั้นเหรอ อย่าเพิ่งรีบงงไปค่ะ
เดี๋ยวนิทชาจะอธิบายให้แบบง่ายๆ
หลายคนน่าจะรู้กันมาบ้างแล้วว่า DNA มีลักษณะยังไง
เอ๊ะ ยังไม่รู้เหรอคะ ไม่เป็นไรค่ะ เรามารู้ไปพร้อมๆ กัน
DNA ถือว่าเป็นหน่วยย่อยสุดของข้อมูลทางพันธุกรรมค่ะ
ดูจากภายนอกจะคล้ายกับบันไดเกลียวที่ยาวมากๆ
โดยบันไดแต่ล่ะขั้นจะมีถูกสร้างขึ้นจากนิวคลีโอไทด์ 2 ตัวมาจับกัน
ซึ่งนิวคลีโอไทด์มีทั้งหมดเพียงแค่ 4 ชนิด
คือ A C G และ T ค่ะ
เพราะงั้นบันไดแต่ล่ะขั้นจะประกอบออกมาเป็นได้หลากหลาย เช่น
AT CG GG AG และอื่นๆ อีกมากมายค่ะ
จะเรียกได้ว่า “นิวคลีโอไทด์คือหน่วยย่อยที่สุดของชีวิต” ก็อาจจะได้ค่ะ
เมื่อรวมบันไดเข้าหลายๆ ขั้น จะกลายเป็นชุดคำสั่งในการสร้างสิ่งมีชีวิต
ซึ่งจำนวนขั้นอาจจะเยอะบ้าง น้อยบ้าง
ขึ้นอยู่กับว่าแผนผังนี้จะสร้างโมเลกุลชนิดไหนซึ่งมีขนาดหลากหลาย
เช่น สร้างเม็ดสีให้ตามีสีฟ้า มีผมสีน้ำตาล มีน้ำย่อยในกระเพาะ
มีฮอร์โมนแบบไหน ไปจนถึงพฤติกรรมและสัญชาตญาณ
และชุดคำสั่งนี้เองที่เรียกว่า “ยีน (Gene)” ค่ะ
แล้วเมื่อเราซูมออกมาจาก “ยีน” เราจะเห็นยีนเป็นก้อนๆ
คล้ายปาท่องโก๋ ซึ่งเราเรียกว่า “โครโมโซม (Chromosome)”
Credit : Hatem Elshazly from Researchgate.net
-------------------------เกล็ดความรู้-------------------------
DNA จะมีความยาวประมาณ 2 เมตรต่อหนึ่งเซลล์
ร่างกายของเรามีเซลล์อยู่ประมาณ 37 ล้านล้านเซลล์
เมื่อเอา DNA ของทุกเซลล์มาต่อกันเราจะได้ระยะทาง
74 ล้านล้านเมตร
ซึ่งระยะทางจากดวงอาทิตย์ถึงดาวพลูโต (อดีตสมาชิกดาวเคราะห์)
คือประมาณ 6 ล้านล้านเมตร
เราสามารถเอา DNA ล้อมตั้งแต่ดวงอาทิตย์ถึงพลูโตได้ 6 รอบค่ะ
------------------------------จบ-------------------------------
ยังตามกันทันอยู่เนอะ งั้นเราไปต่อกันเลยค่ะ
แล้ว “สนิปส์ (SNPs)” คืออะไรล่ะ
สนิปส์ ย่อมาจาก Single Nucleotide Polymorphisms
เห็นชื่อ “นิวคลีโอไทด์” ในนั้นใช่ไหมคะ
ถ้ายังจำกันได้ นิวคลีโอไทด์ก็คือขั้นบันไดที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้
Polymorphism อาจจะแปลยากนิดหนึ่ง แต่ให้เข้าใจง่ายๆ
คือ “ความหลากหลายของพันธุกรรมในตำแหน่งเดียวกันบนยีน”
เช่น การที่คนหนึ่งมีผมน้ำตาลประกายแดง กับ อีกคนผมดำสนิท
ทั้งสองคนมียีนที่เหมือนกันจนมาถึงจุดที่ควบคุมสีผมนั้นเองที่ต่างกัน
จึงทำให้ทั้งสองมีผมคนล่ะสีกัน
โดยเฉลี่ยนักวิทยาศาสตร์พบว่า “สนิปส์” จะเกิดขึ้นทุกๆ 1000 ขั้นบันไดค่ะ
หรือมีประมาณ 4 - 5 ล้านสนิปส์ต่อคน
และ 100 ล้านสนิปส์ในประชากรทั่วโลก
ความแตกต่างของสนิปส์นี้เองที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า
เป็นบ่อเกิดของโรคในร่างกายได้เยอะแยะมาก
เช่น โรคเบาหวานประเภท 2 โรคหอบ โรคข้ออักเสบ
โรคจิตเวช ไปจนถึงโรคมะเร็งบางชนิด
จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำนายได้ว่า
“คุณสามารถหรือมีโอกาสป่วยเป็นโรคอะไรได้บ้างโดยดูที่ DNA”
และคุณโอคะดะก็พบ “สนิปส์” บนยีนตัวหนึ่งบนโคมโมโซมที่ 12
ซึ่งมีการตั้งชื่อยีนนี้ให้อ่านยากๆ ว่า “ALDH2” ตามประสานักวิทยาศาสตร์
ซึ่งยีนตัวนี้มีคุณสมบัติในการรับ “รสขม”
ส่งผลให้คนชอบกิน “กาแฟและชา” รวมถึง “นมและโยเกิร์ต”
ภาพจาก Wikipedia
ในขณะที่ “สนิปส์” อีกรูปแบบหนึ่งจะไวต่อการรับรส “อุมามิ”
ทำให้คนที่มีสนิปส์นี้จะชอบกิน “เต้าหู้ ปลา ผักและเนื้อสัตว์”
เหนื่อยกันรึยังคะ พักตรงนี้สักหน่อยก็ได้ค่ะ
แต่อีกนิดก็จะจบแล้วล่ะ
คราวนี้เราจะย้อนกลับไปในปี 2018
คุณแดเนียล หวาง จากมหาวิทยาลัยควีนแลนด์
ก็มีความสงสัยในเรื่องนี้เหมือนกัน
แต่ครั้งนั้นคุณหวางเจาะจงไปที่ “ตัวรับรสขม”
ในงานวิจัยก่อนหน้าคุณหวางมีการพบว่า
เราสามารถรับรสขมได้ไม่เท่ากันขึ้นอยู่ที่ว่า
“รสขมนั้นมาจากไหน”
อันเป็นเพราะมี “สนิปส์” 3 ประเภทในการรับรสชมค่ะ
1.คาเฟอีน (Caffeine)
ซึ่งพบได้เยอะในกาแฟและน้อยกว่าในชา
2.ควินิน (Quinine)
ซึ่งพบในต้นซิงโคนา ใช้ทำเป็นยารักษาโรคมาลาเรีย
3.โพรพิลไทโอยูราซิล (PROP)
ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ ใช้รักษาโรคต่อมไทรอยด์
คุณหวางได้ใช้ข้อมูลจากธนาคารพันธุกรรมในอังกฤษ
จำนวน 400,000 กว่าคน ทั้งชายและหญิงอายุ 37-73 ปี
แล้วได้ข้อสรุปว่า
คนที่มียีนรับรสคาเฟอีนจะมีโอกาส 20%
ที่จะดื่มกาแฟมากกว่าคนทั่วไปหรือประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน
“และคนกลุ่มนี้จะดื่มชาค่อนข้างน้อย”
บางคนอาจจะสงสัยว่า “ยิ่งรู้สึกขมก็ควรจะยิ่งไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”
แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวรับรสคาเฟอืนนี้ “ไม่ได้ส่งผลแค่รสขม” ค่ะ
แต่ยังเพิ่มรสชาติและสัมผัสของกาแฟด้วย
ซึ่งทำให้ดื่มด่ำกับความเข้มข้มและรสชาติที่
คนทั่วไปเข้าไม่ถึงหรือแม้แต่จะเข้าใจยังไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม
คนที่มียีนรับรสควินินและ PROP จะมีโอกาส 9% และ 4% ตามลำดับ
ที่จะดื่มชามากกว่าคนทั่วไปหรือประมาณ 5 ถ้วยต่อวัน
“และจะดิ่มกาแฟน้อยกว่าประเภทแรก”
แต่ในชาก็มีคาเฟอีนไม่ใช่เหรอ
เรื่องนี้คุณหวางเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
แต่คุณหวางตั้งสมมติฐานว่า
“เป็นเพราะ สารควินินและ PROP นั้นขมกว่าคาเฟอีน
ซึ่งอาจจะทำให้คนที่มียีนนี้ไวต่อการรับรสขมเกินไป
เลยมาดื่มอะไรที่ขมน้อยกว่าแทน”
แล้วเพียงแค่ยีนตัวนี้ส่งผล
ขนาดตัดสินให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นนักดื่มได้เลยไหม
ก็ต้องตอบว่า “ไม่ค่ะ”
การศึกษาปี 2005 พบว่า
“ถ้าร่างกายคุณดูดซึมคาเฟอีนในชาหรือกาแฟได้เร็ว
ก็จะยิ่งอยากดื่มแก้วต่อไปเพื่อรักษาระดับพลังงานมากเท่านั้น”
ซึ่งส่งผลต่ออยากดื่มกาแฟหรือชาอีกแก้วถึง 42% ค่ะ
แล้วพันธุกรรมส่งผลต่อการเลือก กาแฟ หรือ ชา มากไหม
ก็ถือว่ามีส่วนค่อนข้างมากทีเดียวค่ะ
เพราะมันส่งผลต่อการที่ตัวเราแปลระดับความขมออกมายังไง
เปรียบเหมือน คนที่ทานอาหารบางประเภทไม่ได้จริงๆ
และบางคนก็ชอบทานอาหารประหลาดได้เป็นปกติ
เช่น บางคนกินหัวหอมไม่ได้เพราะฉุน หรือ ต้นหอมเพราะเหม็น
โดยธรรมชาตินั้น มนุษย์เราจะหลีกเลี่ยงทานของขมค่ะ
เพราะในธรรมชาติ ของขมมักจะหมายถึงอาหารที่กำลังจะเสีย
เราจึงสามารถบอกได้ว่าการที่ชอบดื่มหรือทานอาหารขม
น่าจะเป็นพฤติกรรมที่มนุษย์เรียนรู้ขึ้นเอง
เช่น จากการที่รู้ประโยชน์ของกาแฟที่ทำให้เราตื่นตัว
จึงเริ่มที่จะดื่มมันเป็นประจำ จนเริ่มชินกับรสชาติ
เช่นเดียวกับเด็กที่ไม่ทานของขมๆ อย่างผักหรือยา
แต่พอโตขึ้นก็จะเริ่มเรียนรู้ที่จะกินมันจนเป็นปกติได้
และเพราะแบบนี้ถึงแม้ว่าคุณจะมียีนที่ไม่ชอบกาแฟหรือชา
แต่ทุกคนก็สามารถเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับความขมของอาหารและเครื่องดื่ม
เพราะมนุษย์เราสามารถปรุงอาหารและดัดแปลงเครื่องดื่ม
จึงอาจจะยากที่จะปฎิเสธว่า มีอะไรบ้างที่เราทานไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งคุณโอคะดะทิ้งท้ายไว้ ก็คือ
การที่ได้รู้ลักษณะความชอบของอาหารของแต่ล่ะคนจากพันธุกรรม
เราก็จะสามารถรู้วิธีให้คนหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ
และเราก็จะมีสังคมที่มีสุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ
เป็นยังไงบ้างคะ ชอบบทความนี้กันไหม
ถ้าชอบก็กด Like ถ้ารักก็กด Follow กันด้วยนะ
แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ ^^
Reference
Klein, A. (2018, Nov 15). Prefer tea or coffee? It may be down to your genes for bitter tastes. Retrieved from https://www.newscientist.com/article/2185208-prefer-tea-or-coffee-it-may-be-down-to-your-genes-for-bitter-tastes/
Matoba et al. (2020) GWAS of 165,084 Japanese individuals identified nine loci associated with dietary habits. Nat Hum Behav. doi: 10.1038/s41562-019-0805-1
Starr, B. (2009, Feb 2). A Long and Winding DNA. Retrieved from https://www.kqed.org/quest/1219/a-long-and-winding-dna
What is a chromosome? Retrieved from https://ghr.nlm.nih.gov/primer/basics/chromosome
โฆษณา