24 เม.ย. 2020 เวลา 03:31 • ประวัติศาสตร์
พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชกับ"นันทกาวุธ" สุดยอดดาบในตำนาน
.
เรื่องราวที่โยงใยกันของวีรบุรุษ มักจะเชื่อมไว้ด้วยสายสัมพันธ์อันเกี่ยวกับศาสตราวุธ ความกล้าหาญ ศิลปการต่อสู้ และ คาถาอาคม ดังเช่นที่ท่าน พระยาพิชัยดาบหัก และ พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดช วีรบุรุษต่างยุคแต่กลับมีดาบ "นันทกาวุธ" คู่มือไว้ล้างผลาญอริราชศัตรู และบรรดาโจรร้ายก๊กต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยเช่นเดียวกัน !!!
.
1
ช่วงที่ พ.ต.ต. ขุนพันธรักษราชเดชได้ย้ายไปเป็นผู้กับกำการตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร ในราวปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้น นับเป็นโอกาสอันดีที่ท่านขุนพันธมาได้ "ของดี" อีกชิ้นซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นของดีชิ้นที่ล้ำค่าที่สุดที่ในชีวิตของพ่อขุนพันธนั่นก็คือ "ดาบแดง"
.
หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือดาบ "นันทกาวุธ" อาวุธคู่กายของพ่อพระยาพิชัยดาบหัก วีรบุรุษของชาวอุตรดิตถ์ ซึ่งเชื่อกันว่าได้ดื่มเลือดพม่ารามัญมาแต่ครั้งยังคงรูปเป็นดาบไทยทรงญี่ปุ่นในสมัยสมเด็จพระนเรศวร
.
และได้มีการนำมาถอดด้ามขึ้นรูปใหม่ให้มีความตรงยาวคล้ายดาบไทยด้วยฝีมือของ "ปิแอร์ สมิธ" ช่างเหล็กหลวงในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ผู้กอบกู้ชาติตั้งกรุงธนบุรี !!!
.
"ดาบ" ในสมัยโบราณนั้นนอกจากจะนับเป็นศาสตราวุธที่จำเป็สนต้องมีคู่กายแล้ว ยังมีฐานะเป็นทั้ง "ครู" เป็นทั้ง "เพื่อน" และยังเป็น "วัตถุวิญญาณ" ที่ผู้เป็นเจ้าของจำต้องให้ความเคารพ ในฐานะอุปกรณ์พิทักษ์รักษาชีวิตและบ้านเมือง !!
.
เป็นสมบัติประจำตระกูลของบรรพบุรุษ และยังอาจเป็นเสมือนที่สถิตย์ของ "พลังชีวิต" ที่ถูกคร่าเอาไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน โดยสัญญาสุดท้ายก่อนแตกดับยังมีความเกี่ยวกระหวัดอยู่กับดาบเล่มนั้น !!
.
เช่นนี้แล้วผู้ที่ยังมีจิตสำนึก และยังยึดถือในค่านิยมอันเกี่ยวแก่ "จริยธรรรม" และ "สัจจะ" อันอยู่เหนือคุณค่าภายนอกทางวัตถุ จึงมีการ "บูชาดาบ" ที่แม้จะมีสภาพภายนอกเป็นเพียงโลหะและไม้แกะสลัก แต่กลับสะท้อนคุณค่าทางจิตวิญญาณอันสูงส่งของของความอดทนต่ออุปสรรคและ ความเจ็บปวดทรมาน ความกล้าหาญเสียสละต่อบ้านเมือง และจิตอันละเมียดละไมในเชิงช่างศิลป์ในเวลาเดียวกัน !!!
.
3
ที่จังหวัดพิจิตรนี้เองที่ท่านขุนพันธได้พบกับผู้ครอบครองดาบนันทกาวุธ อันเปนวัตถุวิญญาณเก่าแก่ที่มีความเข้มขลังที่สุดในแผ่นดินเล่มหนึ่ง ซึ่งก็คือ "หลวงกล้ากลางณรงค์" ทายาทรุ่นเหลนของพระยาพิชัยดาบหัก ผู้พิทักษ์แห่งกรุงธนบุรี !!
.
หลวงกล้ากลางณรงค์นี้แม้ว่าจะมีลูกหลานมากมาย แต่ด้วยความที่ยึดมั่นใน "จริยธรรม" และ "สัจจะ" อยู่เหนืออำนาจเงินตราและวัตถุภายนอก จึงไม่ยอมที่จะมอบดาบนันทกาวุธนี้ให้แก่ผู้ใดไปง่ายๆ !!
.
1
ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าผู้ที่มีจิตสำนึกในความเสียสละเพื่อบ้านเมืองของบรรพชน มักเป็นกลุ่มคนที่มองเห็นคุณค่าและความสูงส่งใน "วัตถุวิญญาณ" มากกว่าผู้ที่มีลักษณะของ "วัตถุนิยม" สมัยใหม่ ซึ่งไม่อามองเห็น "คุณค่าภายใน" จึงแห่แหนไปให้ความสนใจแต่สิ่งที่ดูมีความสวยงามแต่ภายนอก !!!
.
แต่หลวงกล้าณรงค์มิใช่คนเช่นนั้น แม้ว่าจะมีผู้ดีชาวกรุงเป็นร้อยเป็นพันมาเสนอราคาที่สูงลิบ ท่านก็ปฏิเสธ ด้วยท่านถือว่าคุณค่าแห่งกระแสจิตที่สถิตย์อยู่ในดาบนันทกาวุธนั้นสูงส่งเกินกว่าที่จะไปอยู่ในมือคนร่ำรวยที่เห็นเป็นเพียงของประดับ แต่ไม่อาจเข้าถึงคุณค่าที่แท้จริงได้ แลทรัพย์สินเท่าที่มีอยู่นั้นท่านก็มิได้ขัดสนไม่ลำบาก !!
.
พอจะเลี้ยงดูตนไปจนวันตายได้ในชีวิตอันแสนสั้นภายใต้กฎแห่งอนิจจังในชาติหนึ่งแล้ว! จึงขอเลือกกินอยู่อย่างสมถะและยังรักษาคุณค่าแห่งความเป็นตัวตนเดิมแท้ แลจิตวิญญาณอันสูงส่งให้คงอยู่ชั่วชีวิตตนไปจนภพหน้าภูมิหน้าจักดีกว่า !!
.
แต่ครั้นพอได้มาพบเจอกับท่านขุนพันธฯ ก็ได้รู้สึกถึงน้ำใจที่กล้าหาญ เสียสละ เป็นนักเลง ไม่เกรงกลัวทั้งอิทธิพลมืดและอำนาจสว่าง ประกอบกับเป็นผู้มีวิชาอาคมและศิลปการต่อสู้เป็นเลิศอยู่แล้วนั้นก็เกิดต้องชะตา อยากที่จักชมการรำดาบเป็นขวัญตาจึงยอมนำสมบัติประจำตระกูลมาให้เห็น !
.
ซึ่งการร่ายรำในครั้งนั้นประทับใจหลวงกล้ากลางณรงค์เกินคาด ด้วยว่าลีลาที่ไม่เหมือนใคร ท่าพรหมยืน ตัดหัวเทียน เรียงหมอน สลับฟันปลา ฯลฯ ของพ่อขุนพันธนั้นดูอ่อนช้อยอย่างเหลือเชื่อจนแทบมิอยากเชื่อว่าวิชาตรงหน้าคือวิชาที่ใช้สังหารคน แต่แววตาพ่อขุนพันธก็เข้มขลังดังราชสีห์รอตะปบเหยื่อ
.
เมื่อพ่อขุนพันธได้คลานเข้ามาพร้อมข้าวตอกดอกไม้ขออุทิศตัวเป็นลูกบุญธรรม หลวงกล้ากลางณรงค์จึงมอบดาบนันทกาวุธให้อย่างไม่ลังเล นี่จึงเรียกว่า นักเลงแท้ เห็น "ใจ" เป็นใหญ่กว่า "เงิน" !
.
หลังจากที่ขุนพันธฯ ได้รับดาบเล่มนี้มาแล้ว ทุกครั้งก่อนจะออกปราบปรามืท่านก็จะนำดาบดังกล่าวทำพิธี "แช่น้ำข้ามเหนียว" และนำไปวางพิงไว้กับต้นไม้ทางทิศตะวันออกของบ้านในลักษณะกลางหาว คือให้คมดาบได้อาบแสงจันทร์เพื่อเป็น "อุปเท่ห์" หรือภูมิปัญญานการปราบปราม ๒ ประการคือ
.
ในสมัยก่อนกึ่งพุทธกาล (พ.ศ. ๒๕๐๐) ที่การยึดถือ "จริยธรรม" และ "สัจจะ" ยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่นเหนือคุณค่าภายนอกทางวัตถุดังที่เป็นอยู่ในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ ได้ทำให้มีผู้สำเร็จวิชาอันเปน "มโนมยิทธิ" หรือ "ฤทธิ์ทางใจ" อันเปนระดับชั้นที่ ๒ ใน "วิชชา ๘ ประการ" ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้เปนจำนวนมาก รวมทั้งโจรผู้ร้าย
.
ท่านขุนพันธฯ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเอามโนมยิทธิที่ตนฝึกฝนมาจาก "สำนักเขาอ้อ" ประจุลงในศาสตราวุธที่ได้รับการปลุกเสกในวัตถสารที่มีชื่อพ้องเสียงในทำนองที่จะทำลายความ "เหนียว" อันเกิดจากอาถรรพ์ของสำนักต่างๆ ที่บรรดาโจรผู้ร้ายไปฝากตัวเปนศิษย์ได้ ในทำนองว่าฟัน "เข้า" ไม่ว่าจะ "เหนียว" อย่างไร จึงใช้น้ำข้าวเหนียว !!!
.
ส่วนแสงจันทร์นั้น ในทางโหราศาสตร์ท่านว่าส่งผลในทางอ่อนนวล อ่อนไหว ตรงกันข้ามกับ แรงตะวัน ที่จะเสริมในด้านความเข้มแข็ง วัตถุที่ประจุกระแสจันทร์อย่างกล้าแกร่งภายในมือของผู้ที่มีมโนมยิทธิกล้าแกร่งก็มิต่างอะไรกับ เทพศาสตรา ที่ใช้ "หยิน" ประหาร "หยาง" ทำลายทุกอย่างที่เหนียวได้นั่นเอง
.
ดาบนันทกาวุธได้มีโอกาสสำแดงแสนยานุภาพเป็นครั้งแรกเมื่อคราวที่ขุนพันธฯ นำกำลังออกปราบปราม "เสือย่อม" เสือร้ายแห่งจังหวัดชัยนาท ที่ข้ามเขตมาปล้นฆ่าในจังหวัดพิจิตร !
.
ซึ่งไอ้เสือร้ายผู้นี้ถือดีว่าตนมีวิชาไสยเวทย์วิทยาคมด้านพิชัยยุทธ์ที่ครบครันทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น คงกระพัน ชาตรี และ แคล้วคลาด ทำให้ตำรวจภาคกลางจังหวัดอื่นๆ ทั้งอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง รวมทั้งสุพรรณ พากันเข็ดขยาดในฝีมือ !
.
ไอ้เสือพาพรรคพวกของมันราวๆ ๒๐ คนขนทรัพย์สมบัติที่มันปล้นมาได้จากทั่วทุกหัวระแหงมากบดานไว้ ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดพิจิตร จากนั้นมันก็ยังไม่ลงมือปล้นในทันที แต่ทำทีส่งสายเข้าไปเดินในตลาดปะปนกับชาวบ้าน ชะรอยว่าคงกำลังศึกษาดูผังเมืองเพื่อวางแผนปล้นครังใหญ่ต่อไป !
.
ท่านขุนพันธ ทราบเรื่องจึงซ้อนแผนเข้าล้อมปิดปากถ้าในวันก่อนออกปล้นของพวกมัน ๑ วันแล้วปิดทางหนีจนเกิดการยิงปะทะ แต่จู่ๆ ปืนของฝ่ายตำรวจก็เกิดขัดลำกล้องบ้าง ยิงไม่ออกบ้าง ถ้ายิงออกก็จะไม่โดนอะไรบ้างอยู่พักใหญ่จน ขุนพันธ สั่งให้หยุด !! ด้วยยิงต่อไปก็เปลืองลูกกระสุน
.
"พวกลื้อรออยู่ตรงนี้...เดี๋ยวอั๊วะจะใช้วิชาอำพรางตัวเข้าไปทำลายอาคมของอ้ายย่อมมันก่อน!"
.
พ.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดชออกคำสั่ง !
.
"อั๊วะเชื่อว่าตัวของอ้ายย่อมมันต้องนั่งบริกรรมคาถาอยู่ภายในถ้ำแต่เพียงผู้เดียว มันถึงมีอำนาจจิตอำปลัง "คุ้มพล" ที่เฝ้าอยู่นอกถ้ำของมันได้...!"
.
"ถ้าพวกลื้อเห็นว่าหมอกบางๆ ที่มันลงอยู่น้าถ้าจางลงไปเมื่อไหร่...แสดงว่าอั๊ะรวบตัวอ้ายย่อมได้แล้ว...พวกลื้อก็ค่อยบุกระดมยิงเข้าไปต่อ...จังหวะนั้นมันจะสู้เราไม่ได้ !!!"
.
ขุนพันธกำชับเด็ดขาดก่อนถือดาบบริกรรมคาถาแล้วย่องเข้าไปในถ้ำแต่เพียงผู้เดียว !
.
1
"พุทธังบังโสด ธังมังบังโสด สังฆังบังโสด
พุทธังบังจักขุ ธัมมังบังจักขุ สังฆังบังจักขุ
นะอิสสวาสุ สุสวาอินะ อิกะวิติ ติวิกะอิ
อะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะโมพุทธายะ นะมิเห็นอิ"
.
ขุนพันธ บริกรรมคาถาของพระยาสีหราชเดโช ขุนศึกเอกแห่งองค์สมเด็จพระนารายณ์เมื่อครั้งย่องกำบังกายเข้าไปกลางค่ายทัพของพม่า โดยกำหนดคาบลมคาถาให้สัมพันธ์กับทุกจังหวะเท้าในแบบ "อานาปานสติ" จนราวกับจะมีลมหวนบางๆ พัดเข้าหูเข้าตาของพวกโจรให้หันเหไปสนใจทิศทางอื่น
.
1
บ้างก้มลง บ้างพูดคุยกันในจังหวะที่ท่านขุนพันธเดินผ่านทางนั้น ซึ่งเป็น "อำนาจจิตอำปลัง" ที่ผู้กระทำต้องมีกำลังสมาธิสูงส่งอย่างแรงกล้าเท่านั้นจึงจะทำให้เกิด "หลุมอากาศ" อันเป็นสนามพลังงานประหลาดเช่นนี้มาครอบคลุมอาณาบริเวณพื้นที่ได้ จนพากันมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าคนผู้นั้น "ล่องหน" !!!
.
ครั้นพอเดินเข้าไปในถ้ำก็มีแสงเทียนส่องออกมาพร้อมกับเสียงบริกรรมคาถาดังกึกก้องถ้า ขุนพันธเดินเข้าไปพบกับอ้ายจอมโจรเสือย่อมกำลังทำพิธีอิทธิอำปลัง นั่งสวดพระคาถาอยู่ข้างกองสมบัติ โดยแต่งตัวเป็นนักรบสมัยโบราณ คาดมงคลสวมตะกรุด เพื่ออาศัยกระแสจากวัตถุโบราณเหล่านี้คุ้มกายและเพิ่มความเข้มขลังแก่มนต์พิธี !!!
.
เพล้ง...!!!
.
เสียงคมดาบปะทะกันดังลั่นสนั่นถ้ำเพราะพ่อขุนพันธใช้วิชามวยไทยผสมกระบี่กระบองกระโจนฟันหวังเอาไอ้เสือร้ายทีเดียวให้อยู่ !
.
แต่ไอ้เสือไวเกินคาด...!
.
ผุดลุกจากที่นั่งขัดสมาธิ แล้วฉวยเอาดาบที่วางอยู่ด้านข้างรับดาบขุนพันธเอาไว้ได้ในทันใด
.
2
ทันใดนั้น...เสียงปืนจากนอกถ้ำก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งป่า เพราะอ้ายเสือย่อมสมาธิแตก ทำให้อำนาจคุ้มพลสะกดทัพ ที่วางไว้นอกถ้ำเสื่อมลง
.
เปรี้ยง ! ปังๆๆๆๆ!! ตูม !!!
.
กำลังตำรวจเมื่อเห็นว่าหมอกอาคมจางลงตามที่ขุนพันธฯ ได้สั่งไว้ก็บรรเลงอาวุธทั้งปืนกล ปืนยาว และระเบิดมือ เข้าใส่อ้ายพวกโจรอีกคำรบ คราวนี้พวกโจรไม่มีอาคมป้องกันพากันล้มตายป็นใบไม้ร่วง ที่ยังไม่ตายก็พากันหลบเข้าที่กำบังอย่างชุลมุน ไม่อาจยืนจังก้าท้าลูกกระสุนเหมือนตอนแรก !!!
.
ผัว !! เพี๊ยะ ! ผัวๆๆๆ !!!
.
ที่ภายในถ้ำ...!
.
แม้จะเห็นว่าฝีมือเพลงดาบเหนือกว่า แต่คมดาบนันทกาวุธ ของพ่อขุนพันธ ก็ไม่อาจชำแรกแหวกเนื้อหนังของอ้ายจอมโจรเข้าไปได้ ด้วยว่าวิชาอาคมของอ้ายเสือย่อม ก็เป็นสายเดียวกับที่เคยใช้ในจอมโจรก๊กพระฝางที่เป็นคู่ปรับสำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และพระยาพิชัยดาบหัก !!
.
เมื่ออาคมสูสีคู่คี่จึงไม่อาจทำอะไรกันได้ แต่อ้ายเสือย่อมเป็นฝ่ายเจ็บตัวเพราะโดนฟันมากกว่าจึงเปลี่ยนมาเป็นเลี่ยง...ไม่ปะทะตรงๆ !!
.
"นะผุดผิดผัด นะสันตะรังโกพุทธโธ
พระเจ้าแผลงฤทธิ์ พระเจ้าให้ผิด
พุทธังแหวก ธัมมังแหวก สังฆังแหวก
.
อ้ายเสือย่อมบริกรรมคาถา "พระเจ้าแหวกฤทธิ์" แล้วก้าวย่างไปมาเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาพร้อมๆ กับการบริกรรมในทำนองเดียวกับที่พ่อขุนพันธได้บริกรรมพระยาคาของพระยาสีหราชเดโชเมื่อตอนหลบโจรที่หน้าปากถ้ำเข้ามา ซึ่งทั้งสองพระคาถานี้มีคุณทางแคล้วคลาดเช่นเดียวกัน...!
.
1
เมื่อถูกนำมาใช้โดยผู้ที่มีกำลังสมาธิอยู่ในระดับเดียวกัน ต่างคนจึงต่างทำอะไรกันไม่ได้...!
.
2
อ้ายเสือย่อมราวกับหลบหลีกแหวกว่ายอยู่ในอากาสโดยไม่ยอมเข้าปะทะ ส่วนพ่อขุนพันธแม้จะพยายามเพ่งสมาธิฟันอย่างไร จะแน่ใจว่าโดนขนาดไหนก็จะห่างจากเป้าไปประมาณ ๑ คืบ อยู่ทุกครั้ง !!!
.
1
ครั้นพออ้ายเสือเห็นว่ากำลังของพ่อขุนพันธเริ่มลดลง ประกอบกับจังหวะการฟันในแต่ละครั้งของพ่อขุนพันธเริ่มช้าลง จึงฉวยโอกาสจากที่เป็นฝ่ายหลบอย่างเดียวไม่ปะทะนั้น "ฟัน" เข้าที่ "จังหวะกึ่งกลาง" ของการจู่โจมและการดึงมือกลับของพ่อขุนพันธ
.
แต่การช้านั้นเป็นเพียงการตั้งใจให้เห็นว่าช้า...!
.
ครั้นพอพ่อขุนพันธ สำเหนียกได้ถึงไอสังหารที่พุ่งเข้ามาจากที่อ้ายเสือย่อมเป็นฝ่ายหลบหลีกอยู่ฝ่ายเดียว จึงใช้วิะีหนามยอกเอาหนามบ่ง คือก้าวย่างออกเฉียงไปทางด้านหลังเพื่อให้การโจมตีผ่านหน้าพร้อมบริกรรมคาถาว่า...!
.
"นะพุธธังปิด นะธัมมังปิด นะสังฆังปิด
...พระเจ้าแผลงฤทธิ์...!
.
นะพุทธังผิด นะธัมมังผิด ินะสังฆังผิด
...อิตินะผิด...!
.
เป็นการใช้วิชา "ชาตรี" แก้ทางวิชา "แคล้วคลาด" เพราะเมื่อหลบไปด้ดาบหนึ่ง พ่อขุนพันธก็จะใช้ดาบของตน "เสริมแรง" ให้ดาบของอ้ายโจรวาดวงรอบออกไปผิดทิศผิดทางเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์
.
จากนั้นเมื่อมันหันกลับมาจะฟัน ระยะทางที่ต้องใช้หันคมดาบกลับมาจากการที่เหวี่ยงพลาดไปเพราะถูกแรงส่งนั้นก็มากขึ้นกว่าเก่า ทำให้พ่อขุนพันธมองเห็นช่องทางเข้าประชิดเพื่อพิชิตด้วยคาถาต่อไป
.
โบราณว่ากำลังใดในโลก ก็ไม่สู้กำลังของ "พาลี" เพราะ พาลี คือพญาวานรที่ได้รับพรจากองค์พระศิวะให้ไม่ว่าต่อสู้กับใครก็จะมีกำลังลดลงกึ่งหนึ่ง อันเป็นผลมาจากความชอบเมื่อครั้งที่เขาพระสุเมรุทรุดแล้ว พาลี อาสาไปฉุดให้ตั้งตรงได้ จนแม้แต่พระยายักษ์ร้ายยังต้องพ่ายแก่กำลังถึงสองครั้งสองคราว !!!
.
ในเสี้ยววินาทีที่คมดาบของอ้ายโจรกำลังเดินทางแหวกอากาศกลับมาจากที่มันเหวี่ยงผิดไปไกลนั้น พ่อขุนพันธได้้เอามือลดลงลูบที่ตะโพกที่มีการสัก "พญาพาลี" เอาไว้ชั่วขณะอึดใจพร้อมบริกรรมคาถาพญาพาลีถอนต้นรังว่า...!
.
"นะมะพะทะ ยะทาพะลัง อมพญาพาลีมัง
อุสุพภะวัง รูปะขันทัง ปิยะมะมะ สิทธัตถะ นะชาลิติ หาย คลาย หมด ไป ไป หมด คลาย หาย!"
.
ฉับพลันทันใดที่คมดาบของอ้ายเสือย่อมเข้าปะทะกับคมดาบนันทกาวุธในคราวนี้ เรี่ยวแรงของมันก็พลอย "หาย คลาย หมด ไป" อย่างน่าประหลาด!
.
ซึ่งก็เป็นด้วยพระคาถา "พาลีถอนต้นรัง" ที่ได้มีการคัดคุณไสยมนต์ดำออก ประกอบกับ "กำลังจันทร์" ในดาบนันทกาวุธที่ใช้ "หยิน" ประหาร "หยาง" ทำให้อ้ายเสือย่อมเข้าทรุดลงทันที...พ่อขุนพันธจึงประเคนครึ่งแข้งครึ่งเข่าในทำนอง "กุมภกรรณพุ่งหอก" จนอ้ายเสือร้ายจุก ดาบร่วง นั่งหมดสภาพ!
.
1
"โอม...พระอิศวร พระนารายณ์
พระอาทิตย์ พระเสาร์ พระอังคาร
พระเคราะห์หาญ ผลาญศัตรูทั้งหลาย
หญิงชายผู้ร้ายปราบด้วยอำนาจพระมนต์
.
โอม...ระคอนกัลย์
มหาประไลย ระคอนกัลย์
.
สารพัดศัตรู ให้ระหุยระหาย ระทดระทวย
เป็นบ้าคลั่งไคล้ ร่ำร้องไห้เรียกผี
เป็นกุลีสับสน ให้สาละวนนั่งตาขาว
.
ให้ร้อนให้หนาวทั้งตัว คุกไห้คุกหัว
คุกคลั่งคุกตะราง ตาเหลืองตาขวาง ระงกระงัน
เคี้ยวขบฟันทอดตัวตาย ตะเกียกตะกาย
เข้าน้ำเข้าไฟ ซังเซเร่ไปทุกแห่งหน
.
ด้วยศัสตราพระมนต์ พระสักรวามหาเห !"
.
".........ฉัว !!!........."
.
สิ้นเสียงพระมนต์สาปแช่ง ดาบนันทกาวุธก็ปักเข้าที่กลางศีรษะอ้ายเสือร้าย ปิดตำนานความเลวทรามไปพร้อมๆ กับชีวิตของโจรใจไม้ไส้ระกำ !!!
.
1
นับแต่บัดนั้นขุนพันธ ก็เป็นที่รู้จักในนามของ "มือปราบดาบแดง" ด้วยว่าท่านจะนำเอาดาบคู่ใจสะพายไว้ที่บนหลังในย่ามสีแดงระหว่างการออกปราบปรามอยู่เสมอ กลุ่มโจรภาคกลางที่มีชื่อเสียงทั้งเสือฝ้าย เสือดำ เสือมเหศวร ต่างก็ต้องคร้ามเกรงจนหลีกทางให้ จนเมื่อหมดยุคเสือ ดาบเล่มนี้จึงได้เป็นของดีคู่เมืองนครศรีธรรมราชไปตราบจนถึงทุกวันนี้ !
#ขอบคุณที่อ่านครับ
โฆษณา