25 เม.ย. 2020 เวลา 22:10 • ประวัติศาสตร์
เรื่องยาว.... กว่าจะเป็นสายลับ ตอนที่ ๙ (เริ่มตอนแรก ๑ มีนาคม ๒๕๖๓)
ผมเพิ่งรู้ความจริง.. ผมถูกจับตามมองจาก สายลับทหาร มานาน
เพื่อชวนผมเข้าไปทำงานเป็น สายลับทหาร แทนการเป็น นักข่าว
……
ผมยังคงนั่งนิ่ง มองทะลุกระจกหน้ารถไปยังสี่แยกสะพานควาย ขณะนั้นผู้คนกำลังพลุกพล่าน เนื่องจากเป็นช่วงเลิกงาน และที่นั่นเป็นทางแยก ไปได้อีก ๓ ทิศทาง
เลี้ยวขวาจะเข้าสู่ถนนสุทธิสาร ทะลุผ่านถนนวิภาวดี มุ่งหน้าไปยังย่านที่อยู่อาศัยห้วยขวาง , เลี้ยวซ้ายจะไปสะพานแดง จนถึงเกียกกายย่านทหาร ,เมือไปจะมุ่งหน้าสู่บางเขน ดอนเมืองที่มีแยกซ้ายขวาอีกหลายแยก
สะพานความจึงเป็นย่านการค้าสำคัญ มีทั้งห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่บนชั้นสองของตลาดสดที่อยู่ด้านล่าง บนทางเท้าริมถนนสองฟากฝั่งก็มีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยขายสินค้าประเภทอาหารสำเร็จรูป ให้เลือกซื้อใส่ถุงเรียงรายตั้งแต่สี่แยก ไปจนถึงป้ายรถเมล์ที่ไกลออกไป
ระหว่างรถรอสัญญาณไฟเขียว ผมรู้ด้วยสัญญาตญาณว่า พี่เพทายเหลียวมามองผมแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปเมื่อเห็นไฟเขียวปรากฎ พารถเคลื่อนตรงไปทางแยกลาดพร้าวตามที่ผมคาดคะเนไว้
เมื่อข้ามสะพานเล็ก ๆ เลยทางเข้าวัดไผ่ตันไปซ้ายมือคือย่านสินค้าพหลโยธินของการรถไฟและขวามือคือที่ตั้งโรงเรียช่างฝีมือทหาร หน้ารั่วโรงเรียนเป็นปั้มน้ำมัน ติดกับปั้มคือที่ตั้งตลาดหมอชิต ใกล้ ๆ ตลาดเป็นอู่รถเมล์ศรีนครสาย ๓ ที่วิ่งจากตลาดหมอชิตไปสุดทางที่วงเวียนใหญ่ พี่เพทายชะลอรถ เอ่ยถามผมว่า
“มาศจะเข้าห้องน้ำหรือเปล่า จะได้แวะปั้มข้างหน้า”
ผมตอบสั้น ๆ ไปตามความจริงว่า “ไม่ครับพี่” แกจึงว่า “เมื่อกี่มาศซดเบียร์ไปขวดกว่า นึกว่ากลั่นฉี่อยู่เห็นเหงื่อชุ่มเสื้อน่ะ”
 
ผมสะดุ้ง... นึกไปว่า นี่ผมกำลังถูกควบคุมตัวโดยคนของรัฐบาลแล้วหรือ ? ทุกอย่างจึงอยู่ในสายตาของพี่เขา จึงตอบว่า
“เปล่าครับ” แล้วผมก็ตัดสินใจถาม ขณะรถผ่านสวนสมเด็จฯ ก่อนกำลังจะเลี้ยวซ้ายไปทางวัดเสมียนนารี ว่า
“เมื่อกี่พี่บอกว่า เคยให้คนสะกดรอยผม..”
ผมคิดว่า เรื่องที่ถามไปนั้น เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมมาก มันหมายถึงศักดิ์ศรีของคน ๆ หนึ่งที่ถูกละเมิดเลยทีเดียว
 
แต่แปลก แทนที่พี่เพทายจะสะดุ้งเพราะถูกจี้ใจดำ พี่เขากลับยิ้มที่มุมปาก และเห็นเป็นเรื่องขบขันมั๊ง จึงหัวเราะขึ้นเบา ๆ เอียงหน้ามายิ้มให้ผม ก่อนจะรีบหน้ากลับไปมองหน้ารถ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“อ้อ...ขุ่นใจเรื่องนั้นเอง”
“ไม่ถึงกับขุ่นใจหรอกครับ ...ผมเพียงแต่สงสัยว่า ผมทำอะไรผิดหรือครับ จึงถูกสะกดรอยเหมือนคนที่ทำความผิด ที่ต้องมีตำรวจคอยติดตามดูน่ะครับ”
เสียงผมคงกร้าวพอสมควร แต่พี่เพทายยังยิ้ม เขาละมือซ้ายจากพวงมาลัยมาตบไหล่ผมเบา ๆ แล้วว่า
“ใจเย็น ๆ..” แล้วพูดต่อโดยไม่รอคำตอบจากผมว่า “ความจริงพี่ใช้คำพูดที่ฟังดูไม่ดีจริง ๆ ยังไงก็ขอโทษหากทำให้มาศรู้สึกไม่สบายใจ ”
เมื่อเห็นว่าผมยังนิ่งอยู่ พี่เขาก็พูดต่อ เมื่อรถเลยแยกทางเข้าวัดเสมียนนารีไปแล้วว่า
“ความจริง พี่ก็แค่อยากรู้จักมาศให้มากกว่าที่เห็นกันในสำนักงานน่ะ”
“แล้วทำไมพี่ไม่ถามจากผมโดยตรงละครับ” ผมยอมรับว่า อารมณ์ยังไม่สู้จะดีนัก เสียงจึงยังไม่เรียบ คำตอบที่ได้รับคือ
“พูดยังกะเรามีเวลาเจอกันยังงั้นแหละ” .. คำตอบนั้นทำให้ผมเริ่มผ่อนคลาย ก็จริงอย่างพี่เขาว่านั่นแหละ...
 
งานของนักข่าวต่างจากงานอย่างอื่น คือ ไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่า ต้องเข้าทำงานเวลา ๘.๓๐ น. แล้วเลิกงาน ๑๖.๓๐ น.เหมือนราชการ หรือ ๑๗.๐๐ น. เหมือนเอกชนบางแห่ง บางคืนกลับถึงบ้านยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือทันได้ทำอะไร เกิดเหตุฉุกเฉินก็ต้องนั่งรถเมล์ไปยังที่เกิดเหตุก็มี
 
นอกจากนี้ในแต่ละวัน นักข่าวแต่ละสายต่างก็มีภารกิจของตัวเองต้องทำข่าวในตำแหน่งที่ถูกมอบหมายให้ประจำ บางคนอาจจะต้องไปรอพบแหล่งข่าวที่บ้านจนมืดค่ำดึกดื่น
หรือบางวันก็ต้องรอฟังการประชุม ส.ส.ที่รัฐสภาจนกว่าจะปิด บางทีก็เลยเที่ยงคืน ...โอกาสที่จะเจอกันเพื่อสรวลเสเฮฮาจึงมีน้อยมาก
“พี่อยากรู้จักผมด้านไหนเหรอครับ”....น้ำเสียงที่ถามดูเป็นปกติ พี่เพทายจึงหัวเราะเบา ๆ เหมือนผู้ใหญ่อารมณ์ดี แต่ไม่ตอบคำถามผม กลับชวนผมคุยเรื่องอื่นแทน...
“ก่อนที่พี่จะพูดเรื่องต่อไปนี้ พี่ขออะไรมาศอย่างหนึ่งนะ" ไม่รอคำตอบ พี่เขาเอ่ยต่อว่า "มาศว่าจะไม่เล่าเรื่องได้ยินจากพี่ให้ใครฟัง" เมื่อเห็นผมนิ่ง พี่เขาพูดต่อทันทีว่า
"พี่ก็เชื่อว่ามาศจะรักษาคำพูด.. ...ตลอด ๓ – ๔ เดือนที่ทำงานร่วมกันมา แม้จะไม่ค่อยได้พูดคุยกัน แต่เท่าที่ติดตามดูการทำงาน ความคิด และทัศนคติในทางการเมืองการปกครองของมาศผ่านบทความแต่ละชิ้นแล้ว ...พี่เชื่อว่ามาศเป็นคนดีที่คบได้ เป็นคนมีสัจจะ พี่จึงมั่นใจและกล้าที่จะบอกเรื่องต่อไปนี้กับมาศ” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง รอจังหวะพารถผ่านแยกบางเขนมุ่งหลักสี่
ผ่านสี่แยกบางเขนไปแล้ว ริมถนนด้านซ้ายมือถัดจากทางรถไฟสายเหนือ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดบังทิวทัศน์ข้างทาง แต่ถึงกระนั้นก็เมื่อมองออกไปก็ไม่เห็นอะไร นอกจากความมืดที่แผ่กว้าง
ข้อดีอย่างหนึ่งคือบริเวณนั้นเป็นที่โล่ง ทำให้มีสายลมเย็น ๆ พัดพรูเข้ามาทางหน้าต่างรถ ผมรู้สึกว่าตอนนั้น เสื้อที่เคยเปียกเหงื่อแห้งแล้ว .. แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่เพทาย ดังแข่งกับเสียงเครื่องรถกระบะ เป็นเสียงพูดที่ทำให้ผมต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจัง ว่า
“คงต้องบอกมาศตามตรงแล้วละ ว่าพี่เป็นนายทหารการข่าว ถูกส่งเข้าไปทำงานใหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย พร้อม ๆ กับมาศและคนอื่น ๆ ที่ไปสมัครเป็นนักข่าวตอนนักข่าวกลุ่มเก่าเขาสไตรค์กันนั่นแหละ “
 
คำบอกเล่าของพี่เพทาย ทำให้ผมนึกถึง ภาพผู้ชายไว้ผมสั้น ใบหน้ากร้าน ผิวเกรียมคนนั้นขึ้นมาทันที
อ้อ เพราะเป็นทหารนี่เองตอนที่เห็นครั้งแรกจึงมีผมสั้น.. อ้อ.. เพราะเป็นทหารนี่เอง จึงมีรถขับไปทำงาน.. ผมเริ่มเข้าใจอะไรลาง ๆ บ้างแล้ว
“มาศทำข่าวมาคงรู้ดี..ว่าช่วงนี้บ้านเมืองเรากำลังอยู่ในภาวะคับขัน และภาวะล่อแหลม ถูกแทรกแซงโดยประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ทั้งจีนและโซ้วียต” พี่เขานิ่งเหมือนรอคำถาม แต่ผมไม่อยากขัดจังหวะจึงนิ่ง รอฟังอย่างเดียว
“ทุกวันนี้ทั้ง จีนและโซเวียตส่งคนของเขาเข้ามาสร้างเครือข่ายในกลุ่มต่าง ๆ ทั้งเพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวของรัฐบาล ทหารและกลุ่มทุน ทั้งนี้ เพื่อหานำไปวางแผนหาวิธีหรือหนทางในการล้มล้างสถาบัน และเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหมือนที่ทำสำเร็จมาแล้วในประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างที่มาศก็รู้
สถาบันทหาร ซึ่งพี่ขอเรียกว่าฝ่ายความมั่นคงของรัฐ จึงต้องการได้ข่าวความเคลื่อนไหวของคนที่ประเทศคอมมิวนิสต์ส่งเข้ามาแทรกแทรงอย่างมาก”
พี่เพทายตบก้านเล็ก ๆ หลังพวงมาลัย เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวซ้ายเมื่อไกลถึงสี่แยกหลักสี่ ผมยังคงนั่งนิ่ง เพราะไม่รู้จะถามอะไร นอกจากจะริ่มเข้าใจลางแล้วว่า ทำไมคนที่ไปสมัครงานพร้อมกับผมในวันนั้นจึงมีแต่ผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่มีอายุแล้วทั้งสิ้น
...นึกถึงตอนนี้ ทำให้นึกถึงใบหน้าของพี่ดำรัส ฝ่ายพิสูจน์อักษรที่มักจะนำเอาเอกสารมาให้ผมอยู่เนือง ๆ ขึ้นมาทันที
เมื่อเลี้ยวเข้าถนนแจ้งวัฒนะ และตั้งลำได้เรียบร้อยแล้ว พี่เขาจึงเอ่ยถามผมเหมือนชวนคุย
“ช่วง ๑๔ ตุลา ๑๖ มาศยังเรียนอยู่”
“ครับ... ผมเรียน ปวส.อยู่ที่พณิชธน”
“ออกไปเดินขบวนกับเขาด้วย” ผมไม่แน่ใจนั่นเป็นคำถามธรรมดา หรือว่าผมกำลังถูกสอบสวน จึงตอบไปว่า
“ตอนนั้น ใคร ๆ ก็คงอดไม่ได้หรอกพี่.. “ แล้วบอกความจริงไปว่า
“ผมเรียนการตลาด ไม่รู้เรื่องการเมืองการปกครองอะไรกับใครเขาหรอกครับ แต่อ่านจากข่าวหนังสือพิมพ์และดูข่าวจาก ทีวี.และฟังวิทยา สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองช่วงนั้น บางเรื่องที่รัฐบาลทำ มันก็จริงอย่างที่แกนนำนิสิตนักศึกษาผลัดกันพูดบนเวทีในธรรมศาสตร์ และหนังสือพิมพ์เอามาลงนะ... หรือพี่ว่าไม่จริง” ผมได้จังหวะสวนกลับบ้าง
คำถามของผมทำให้พี่เพทายลอบถอนหายใจเบา ๆ แต่ผมก็ยังได้ยิน อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพี่เขาจะควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก จึงตอบผมว่า
“แสดงว่ายังมีคนเข้าใจตามที่นิสิตนักศึกษาพูดไม่น้อยเลย”
“ใช้คำว่าไม่น้อยเลยไม่ได้หรอกพี่ คนเป็นแสน ๆ ไม่ใช่แค่พัน ๆ ที่ออกมาเดินขบวนบนถนนราชดำเนินในวันนั้น ต้องเรียกว่าเชื่ออย่างมหาศาลมังครับ..” ผมได้ทีขี่แพะไล่บ้าง พี่เพทายจึงหัวเราะขึ้น เหมือนกำลังคลายเชือกที่ตึงอยู่ให้หย่อนลง ก่อนตอบผมว่า
“ก็จริง...ที่พวกเขาพูดมาก็มีส่วนถูก... แต่ก็มีส่วนผิดผสมอยู่เหมือนกันนะ และการที่คนฟังส่วนใหญ่ ฟังเขาพูดแล้วเชื่อ นั้น เป็นเพราะสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นข่าวที่ยังไม่ได้กรองนะซิ”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกฉงนขึ้นมาทันที ก็ผมเคยได้ยินแต่คำว่า เครื่องกรองน้ำ หรือตอเป็นพนักงานขายเครื่องปรับอากาศก็ได้ยินแต่คำว่ มีเครื่องกรองอากาศในตัว หรือตอนเด็ก ๆ เวลาช่วยญาติทำกับข้าวในครัว ก็ได้ยินแต่เสียงตะโกนให้หยิบผ้าขาวบางให้หน่อย จะเอามากรองน้ำกระทิที่คั้นจากมะพร้าวขูดจากกระต่าย"
เพิ่งจะได้ยินคำว่า “ข่าวที่ยังไม่ถูกกรอง” เป็นครั้งแรกวันนี้ อยากจะถามพี่เขาเหมือนกันแต่คิดว่า เดี๋ยวพี่เขาคงอธิบายเอง
แต่พี่เขาก็ยังไม่ตอบ เพราะกำลังขับรถข้ามคลองประปา มุ่งหน้าสู่ห้าแยกปากเกร็ด ผมพลิกข้อมือข้างขวาที่ผูกนาฬิกาญี่ปุ่นดูเวลา จึงรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาทุ่มกว่า ๆ แล้ว..
จำได้ว่าหลังปฏิวัติใหม่ ๆ ที่หน้าค่ายทหารริมคลองประปา ทหารจะขนกระสอบสีเขียวเข้มลายพรางมากองเป็นตั้ง เหมือนป้อมค่าย แล้วเข้าไปนั่งซุ่มอยู่ในนั้น เพื่อตรวจรถที่ผ่านไปมาอยู่ด้วย
จำได้ว่า ช่วงที่นั่งรถเมล์กลับบ้านนั้น ไม่ว่าจะผ่านด่านทหารด่านไหน ผมยังนึกด่าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ อยู่ในใจ ที่ทำให้ผมต้องพลัดพรากจากงานรักแล้วได้ทำอย่างไม่คาดฝัน
นึกแล้วเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านไปคือความฝันอย่างไรอย่างนั้น
พี่เพทาย ใช้เวลาอีกประมาณ ๑๐ นาทีจากคลองประปาก็ถึงห้าแยกปากเกร็ด จากแจ้งวัฒนะหากเลี้ยวซ้ายจะไปจังหวัดนนทบุรี แต่ถ้าไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็น ก็จะไปสู่ชุมชนชาวปากเกร็ดที่ปั้นกระถางดินขาย หากตรงวิ่งตรงไปก็เข้าอำเภอปากเกร็ด ถ้าเลี้ยวขวาเข้า ถนนติวานนท์ก็จะขึ้นไปภาคเหนือโดยผ่านไปจังหวัปทุมธานีก่อน
ตรงนั้นจึงเรียก ๕ แยกปากเกร็ด แต่คนส่วนใหญ่มีเห็น ๔ แยก เพราะแยกเล็ก ๆ นั้นไม่ใช่ทางสัญจรหลักน่ะครับ แล้วผมก็ได้ยินเสียงพี่เพทายถามขึ้น หลังจากเลี้ยวขวาตามรถบรรทุก ๑๐ ล้อคันหน้าที่กำลังเร่งเครื่องจนควันดำคลุ้งไปทั้งถนน
“แถวบ้านมาศมี ร้านขายอาหารไหม” พี่เพทายถามขณะเลี้ยวขวาตามรถบรรทุก ๑๐ ล้อคันหน้าที่กำลังเร่งเครื่องจนควันคลุ้ง ผมตอบว่า
“ถ้าพี่หมายถึงร้านที่นั่งกินละก้อ ตอนนี้ปิดหมดแล้วครับ เขาเปิดขายชาวบ้านเฉพาะตอนกลางวันครับ .. แต่ อ้อ ก่อนถึงบ้านเหมือนจะมีอยู่ร้านขายของชำอยู่สองร้านครับ” พี่เขานิ่งไป ก่อนจะเคลื่อนรถตามคันหน้าไปช้า ๆ แล้วถามเรื่องใหม่
“บ้านทาวน์เฮาส์นี่คงคุยกันไม่สะดวกมั๊ง.. เพราะเสียงที่คุยกันอาจดังไปถึงห้องข้าง ๆ ได้” พี่เขาพูดขณะชะลอความเร็วของรถลง แล้วให้สัญญาณไฟเลี้ยวซ้าย
“ยังไม่ถึงเลยพี่” ผมบอกขณะพี่เขาค่อย ๆ นำรถชิดเข้าข้างทางเหมือนจะจอด แต่ไม่จอด..
“ขี้เกียจดมควันท้ายรถน่ะ ให้คันอื่นแซงไปคั่นสักสองสามคัน แล้วค่อยตามไปก็ได้”.. คำพูดของพี่เพทายทำให้ผมรู้สึกทึ่งในความคิดของแก ฟังดูมีเหตุลดี จริง ๆ แต่จะว่าไปแล้วผมทึ่งพี่เพทายตั้งแต่ตอนเห็นเขาจอดรถในซอยมาแล้วครับ
เมื่อเห็นว่ามีรถตามรถบรรทุกไปสองสามคันแล้ว พี่เพทายจึงให้สัญญาณไฟขวารอจนถนนว่างจึงตามคันหน้าไป อีกครู่ใหญ่ ๆ ก็ให้สัญญาณไว้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เมื่อเห็นสะพานเตี้ย ๆ คล่องคูข้างทาง เข้าหมู่บ้าน ที่อยู่ลึกเข้าไปในทุ่ง ซึ่งด้านหมู่บ้านมีดงต้นตาลยืนทะมึนอยู่ในความมืด
ทาวน์เฮาส์ของหมู่บ้านไทยสมุทรเป็นเรือนแถวชั้นเดียวแบ่งเป็น ๓ ห้อง กว้าง ๓ เมตร ห้องรับแขกเป็นห้องรับแขก ห้องกลางเป็นห้องทำครัวและห้องน้ำ ห้องในสุดเป็นห้องนอน แต่หน้าบ้านมีพื้นที่ให้ปลูกต้นไม่ราว ๒ เมตร ด้านหลังเป็นลานซักล้างอีก ๑ เมตร เท่ากับลึก ๑๒ เมตร เหมาะกันการเริ่มต้นชีวิตใหม่
บ้านผมอยู่หลังริมสุดของเรือนแถวหน้า มีสนามโล่ง ๆ ทางบริษัทสัญญาว่าจะทำสนามเด็กเล่นขวางอยู่ พี่เพทายสำรวจพื้นที่ด้วยสายตาแล้วจึงเดินหน้าไปเล็กน้อยแล้วถอยหลังรถให้เรือนแถว ก่อนจะดับเครื่องแล้วหยิบเบียร์กระป๋องที่พี่เขาจอดรถแวะเข้าไปซื้อในร้านขายของชำ ๑ ใน ๒ ร้านที่ผมบอก มาส่งให้ผมกระป๋องหนึ่ง และเปิดให้ตัวเองกระป๋องหนึ่ง
“นั่งคุยกันบนรถ น่าจะดีกว่าคุยกันในบ้านนะ..” พี่เขาบอกหลังจากถอนกระป๋องเบียร์ออกจากริมฝีปาก ผมเห็นด้วยกับความคิดพี่ เพราะมองเข้าไปที่เรือนแถว ยังเห็นเพื่อนบ้านห้องติดกันนั่งคุยกันที่สนามเล็ก ๆหน้าบ้านเขา ซึ่งติดกับสนามหน้าบ้านผม.. แต่มีรั้วเตี้ย ๆ ขวางให้รู้ว่า เขตใครอยู่ตรงไหน จึงคิดว่าหากเดินเข้าไปคงกลายเป็นเป้าหมายตาแน่
“ก่อนอื่น พี่ขอบอกสถานที่นัดพบระหว่างเราสองคนก่อน” ได้ยินคำพูดนั้น ทำให้รู้ว่าพี่เขาคงวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะผมเองก็ยังนึกไม่ถึง...
“จากบ้านมาศไปสนามกอล์ฟกองทัพบก ที่หัวถนนรามอินทรา ค่อนข้างสะดวก นั่งรถเมล์จากปากเกร็ดไปลงสี่แยกวัดพระศรี แล้วนั่งสาย ๒๖ ไปอีกสองสามป้ายก็ถึง...เราจะเจอกันในร้านอาหารที่นั่น”
พูดจบพี่เขาส่งกระดาษแผ่นเล็ก ๆ คล้ายนามบัตรแต่ไม่ใช่ เพราะบรรทัดบนพิมพ์ชื่อ เพทาย ธุดงควัตร ส่วนบรรทัดที่สอง เป็นหมายเลขโทรศัพท์ แค่นั้นเอง....
ไม่มี ชื่อสำนักงานว่าชื่ออะไร ตั้งอยู่ที่ไหน ผมรับมาอ่านด้วยความทึ่งอีกแล้ว... ”วันไหนต้องการเจอพี่ก็โทร.ไปก่อนเที่ยง”
เมื่อผมไม่ตอบว่ากระไร พี่เพทายก็ว่าต่อ “สำหรับตอนนี้ มาศต้องจัดเตรียมเอกสารส่วนตัวสำหรับใช้สมัครงานไว้ให้ครบ เหมือนที่เอาไปสมัครนักข่าวนั่นแหละ ...” แล้วเหมือนพี่เขาจะนึกได้จึงถามว่า “ อ้อ มาศเรียน ร.ด.หรือเปล่า” พี่เขาหมายถึง เรียนวิชาทหารจากกรมการรักษาดินแดน น่ะครับ.. ผมตอบว่า
“เรียนครับ แต่จบแค่ปีสองครับ.. ” พี่เขานิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้าช้า ๆ บอกว่า
“เตรียมเอกสารที่เขาออกให้ไว้ด้วยก็แล้วกัน.. .ได้เอกสารครบเมื่อไหร่โทร.บอกพี่นะ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”
“ครับ” ผมตอบรับ พี่เพทายบีบกระป๋องเบียร์ที่ดื่มหมดแล้ว ใส่ลงในถุงพลาสติดที่ยังเหลือเบียร์อีก ๒ กระป๋อง แล้วส่งถุงนั้นให้ผม “ ๒ กระป๋องที่เหลือนั่นพี่ซื้อมาฝาก เผื่อมาศอยากกินก่อนนอน” เขาบอกยิ้ม ๆ“ส่วนกระป๋องเปล่านั่นพี่ฝากทิ้งด้วย” คำพูดนั้นเหมือนจะบอกว่า การสนทนาวันนี้เอาแค่นี้
ผมยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนรับถุงเบียร์มาถือ แล้วเปิดประตูรถก้าวออกไป พี่เพทายยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนสตาร์ทรถ แล้วพารถเข้าสู่ถนนทันทีโดยไม่เสียเวลาเดินหน้าถอยหลังเพื่อตั้งลำ...
ผมยืนมองพี่เขาขับรถออกไปจนเกือบถึงถนนติวานนท์ จึงเดินกลับไปที่เรือนแถว ซึ่งตอนนั้นวงสนทนาของเพื่อนบ้านได้หายไปแล้ว
ผมเข้าไปเปลี่ยนชุดทำงานเป็นนุ่งผ้าขาวม้า แล้วลากเก้าอี้ผ้าใบมาตั้งที่สนามเล็ก ๆ หน้าบ้าน เปิดเบียร์กระป๋องใหม่ขึ้นมาจิบ แล้วเอนหลังบนผ้าใบ เงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนที่ดวงดาวเริ่มทอแสงแข่งกันระยิบระยับ
...ทบทวนถึงเส้นทางเดินของชีวิตตัวเอง ว่าก้าวเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร..
แต่คงต้องขอยกยอดไปตอนต่อไป ในวันอาทิตย์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๓ นะครับ – ขอบคุณ
โฆษณา