26 เม.ย. 2020 เวลา 07:48
ยอดโค้ช เดอะ ซีรี่ย์
Ep.1 อเล็กซานเดร กาม่า จากริโอสู่ไทย กับยอดกุนซือผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง
“ยอดโค้ช เดอะซีรี่ย์” ในซีรี่ย์ชุดนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเหล่าโค้ชของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ว่าพวกเขามีเส้นทางลูกหนังอย่างไรบ้าง แต่ละคนต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างไร
ผลงานในช่วงปี 2015 ทำให้ทุกคนยอมรับกันว่า อเล็กซานเดร กาม่า คือหนึ่งในโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขาพาทัพปราสาทสายฟา คว้าแชมป์ได้ถึง 8 รายการในยุคของเขา แถมยังสร้างทีมได้อย่างน่ากลัว พร้อมสร้างสถิติใหม่ๆได้เสมอ แล้วจุดเริ่มต้นของยอดกุนซือผู้นี้ มีความเป็นมาอย่างไร ก่อนจะพาบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จมากมาย
1. เส้นทางนักเตะ
ริโอ เดอ จาเนโร แห่งบราซิล คือจุดเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังของอเล็กซานเดร กาม่า เขาเริ่มเล่นฟุตบอลกับทีม Grajau Country Club ทีมท้องถิ่นทางด้านตอนเหนือ ของมหานครริโอ เดอ จาเนโร ซึ่งเขาเป็นผู้เล่นเยาวชนของทีมในรูปแบบฟุตบอลในร่ม
ในช่วงอายุ 12 ปี กาม่าได้เข้าร่วมทีมฟลูมิเนนเซ่ เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุก พาฟลูมิเนนเซ่คว้าแชมป์ เซา เปาโลคัพ ในปี 1989 นั่นคือแชมป์สมัยสุดท้ายของรายการนั้นที่ฟลูมิเนนเซ่ได้มาจนถึงปัจจุบัน
“ในฐานะนักกีฬา มันเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับผมในการเข้ามาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ” กาม่ากล่าว
หลังคว้าแชมป์เซา เปาโลคัพ กาม่าได้รับการทาบทามจาก วันเดอเลย์ ลักเซมเบอร์โก ยอดผู้จัดการทีมชาวบราซิล ที่ภายหลังเคยย้ายมาคุมเรอัล มาดริดในช่วงปี 2005 ให้ไปร่วมทีมบรากันติโน และเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่พาบรากันติโน คว้าแชมป์เซา เปาโลคัพในปี 1990 และแชมป์บราซิลเลี่ยน ไวซ์ในปี 1991
หลังร่วมทีมกับบรากันติโน่ เขาได้มีโอกาสย้ายไปร่วมทีมเซาโชเซ่ ดอส คัมโปส แถมยังได้ย้ายไปค้าแข้งกับทีมในโปรตุเกส และเขาก็แขวนแขวนสตั๊ดในปี 1993 ด้วยอาการบาดเจ็บบริเวณหัวหน่าวในวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น
2. ชีวิตหลังแขวนสตั๊ด
หลังแขวนสตั๊ด กาม่าก็ยังคงอยากจะทำงานในวงการฟุตบอลต่อ เขาได้เริ่มเข้าอบรมทักษะโค้ชของฟีฟ่า ภายในสองปี เขาก็ได้ใบรับรองเป็นโค้ชจากฟีฟ่า
หลังได้รับใบรับรองการเป็นโค้ช กาม่าได้กลับมายังฟลูมิเนเนเซ่อีกครั้ง และได้เริ่มคุมทีมหญิงของฟลูมิเนนเซ่ จากนั้นสี่เดือนต่อมา เขาได้ย้ายไปที่เซเรม และได้เริ่มคุมทีมชาย ที่ยังเป็นทีมเยาวชน
ในปี 2004 หลังจากที่ริคาร์โด โกเมส ได้ออกจากตำแหน่งโค้ชของฟลูมิเนนเซ่ ก็เป็นกาม่าที่ได้รับช่วงต่อเป็นกุนซือขัดตาทัพแทน เขาพาทีมคว้าชัยชนะสองนัดติดต่อกัน เขาต้องคุมทีมที่มีลูกทีมระดับสตาร์หลายคน อาทิเช่น เอ็ดมุนโด, โรมาริโอ เป็นต้น และในฤดูกาล 2004 เขาพาฟลูมิเนนเซ่จบอันดับที่ 9 ของตาราง
แต่แล้วเส้นทางก็มีการผันเปลี่ยน กาม่าเริ่มต้นปี 2005 ด้วยการย้ายไปคุมทีมอินเตอร์นาซิอองนาลเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะกลับมายังฟลูมิเนนเซ่อีกครั้ง แต่คราวนี้เขาก็ได้รับหน้าที่คุมทีมเยาวชนแทน เขารู้สึกผิดหวัง ที่เขาไม่ได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเอง กับการคุมทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัว
“ผมเจ็บปวดมาก เพราะใครๆที่อยู่กับทีม เห็นว่าผมทำอะไรได้ และผมก็ทำได้ดีด้วย ผมต้องการสร้างชื่อเสียงของผมกับทีม” กาม่ากล่าว “ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่ได้เหมือนกันแล้ว ตอนนี้ผมมีความพร้อมทุกอย่าง และผมวาดฝันเอาไว้ว่าจะได้ทำงานกับฟลูมิเนนเซ่ ทีมที่ผมเริ่มต้นฟุตบอลอาชีพ ผมต้องการที่จะกลับไปและแสดงให้เห็นว่า ผมมีพัฒนาการ และผมเชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีแน่นอน”
ณ ตอนนั้นเขาได้มีปากมีเสียงกับโรมาริโอ ยอดแข้งทีมชาติบราซิลอีกด้วย “นายคนนี้ไม่เคยขึ้นรถบัส แต่ยังอยากที่จะนั่นริมหน้าต่างซะงั้น” วลีของโรมาริโอ เปรียบว่ากาม่ายังไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมชุดใหญ่มาก่อน แต่ดันอยากจะเป็นเฮ้ดโค้ชทันทีเสียเอง
3. โอกาสในเอเชีย
ในขณะที่เขาพาทีม U-17 ของฟลูมิเนนเซ่ เข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติที่ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ และพาทีมคว้าแชมป์ได้สำร็จ เขาได้รับการยอมรับที่นั่น และได้รับการทาบทามให้ไปคุมทีมอัล วาห์ดา ที่อบูดาบี นี่เป็นการคุมทีมนอกประเทศบราซิลครั้งแรกของกาม่า และเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึงสองปี
ในปี 2009 เขาได้มีโอกาสยย้ายมาร่วมทัพกียองนัมในเกาหลีใต้ ในฐานะผู้ช่วยโค้ช จนในปี 2011 เขาได้รับโอกาสครั้งใหญ่ กับการเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ ที่ตอนนั้นมีซอน เฮือง มินอยู่ด้วย
ในปี 2013 เขากลับมาที่บราซิลอีกครั้ง พร้อมกับรับงานคุมทีมมาดูเรรา ในลีกซีรี่ย์ซี หรือลีกระดับสามของบราซิล และเขาได้รับการโหวตเป็นโค้ชยอดเยี่ยมอันดับสาม ของการแข่งขันคัมเปโอนาโต คาริโอกา (Campeonato Carioca) ลีกท้องถิ่นประจำเมืองริโอ เดอ จาเนโร และนั่นไม่ใช่เป้าหมายของเขา เขาต้องการที่จะคุมทีมในระดับซีรี่ย์ เอหรือลีกสูงสุดของบราซิล แต่แล้วสุดท้ายฝันสลาย ไม่มีทีมไหนติดต่อทาบทามเขามาเลย ทำให้เขาต้องระหกระเหิน กลับมายังเอเชียอีกครั้ง ในการคุมทีมอัล ชาฮานียา ในประเทศกาตาร์ ก่อนโชคชะตาจะนำพาให้เขามาคุมทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในช่วงกลางฤดูกาล 2014
4. กวาดทุกถ้วยในไทย
ในช่วงกลางฤดูกาล 2014 กาม่าเข้ามาคุมทัพปราสาทสายฟ้าต่อจากโบซิดาร์ บันโดวิช เพื่อพาทีมกลับมาคว้าแชมป์ให้ได้ และในฤดูกาล 2014 เขาก็ทำสำเร็จ พาบุรีรัมย์ไต่อันดับขึ้นมาคว้าแชมป์ไทยลีกได้สำเร็จ จากนั้นเขาก็ได้พาบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าทุกแชมป์ในไทยได้อย่างเกรียงไกรในฤดูกาล 2015 และในฤดูกาลเดียวกันนั่นเอง เขาก็ได้รับรางวัลหัวหน้าผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2015 อีกด้วย
การเข้ามาในไทย ถือเป็นช่วงเวลาทองของเขาอย่างแท้จริง กาม่าพาบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และเชียงราย ยูไนเต็ด กวาดไปทั้งสิ้น 12 แชมป์ภายใน 5 ปี ประกอบไปด้วย
แชมป์ไทยลีก 2 สมัย
แชมป์เอฟเอคัพ 3 สมัย
แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย
แชมป์ถ้วยก. 2 สมัย
แชมป์พรีเมียร์คัพ 1 สมัย
แขมป์แม่โขงคัพ 1 สมัย
แชมป์ไทยแลนด์แชมเปียนส์คัพ 1 สมัย
แถมยังได้มีโอกาสคุมทีมชาติไทยชุด U-23 อีกด้วย จนในปัจจุบันเขายังคงเป็นโค้ชของเมืองทอง ยูไนเต็ด ดังนั้นประสบการณ์การคุมทีมในไทยของเขานั้นมีมากเหลือเฟือ เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ลีกอาชีพที่มีพัฒนาการสูงมากลีกหนึ่ง ทั้งรูปแบบการแข่งชัน การถ่ายทอดสด และความเข้มข้นของเกม
“ลีกไทยตอนนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นลีกอันดับต้นๆของเอเชีย มีการลงทุนการจัดการที่เหมือนกับจีน, ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ตอนนี้ทีมจากไทยได้เล่นในระดับเอเชียนั้นยากที่จะเอาชนะในตอนนี้ แตกต่างจากในอดีตที่ทีมจากไทยนั้นแพ้คู่แข่งได้อย่างง่ายดาย” กาม่ากล่าวถึงพัฒนาการของลีกไทย
จากการทะเลาะกับโรมาริโอ สู่การเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในไทย ถึงแม้จะประสบความสำเร็จมากมายในแผ่นดินสยาม แต่กาม่าเองก็มีความฝันอยากจะกลับไปคุมทีมฟลูมิเนนเซ่ ทีมที่เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพ ทั้งนักเตะและโค้ชให้ได้ ต้องมารอดูกันว่า ความฝันชิ้นนี้ของกาม่า จะสำเร็จในอนาคตหรือไม่
#BuriramXII #BuriramUnited
โฆษณา